จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 36 ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว
ผลที่สังเกตเห็นได้มากที่สุดคือทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกทั้งร่างกายได้รับการชำระล้างในขั้นสูงสุด ขจัดสิ่งสกปรกภายในออกไปอีกครั้งหนึ่ง ทั้งยังมีชั้นน้ำมันสีเทาเนื้อละเอียดถูกขับออกผ่านรูขุมขน ระดับความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ กระดูก หลอดเลือด และผิวหนังย่อมยกระดับขึ้นสูงมากด้วย
หลี่มู่รู้สึกได้อย่างชัดเจน เมื่อเชื่อมโยงทั้งสองกระบวนท่าแล้ว ภายใต้การกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง การควบคุมร่างกายของตัวเองก็ชำนาญขึ้นไปอีกระดับ
ความเชี่ยวชาญประเภทนี้ไม่ได้เป็นปฏิกิริยาตอบสนองในแบบทั่วไป ไม่ใช่แม้กระทั่งความชำนาญในการใช้ส่วนอื่นๆ เช่นมือเท้า พลัง หรือแขนขา แต่เรียกได้ว่าเป็นความชำนาญระดับละเอียดอ่อน เขาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อ ผิวหนัง รูขุมขน กระดูกและเส้นเอ็นได้ในระดับหนึ่ง ตัวอย่างเช่นเขาเพียงรวบรวมสมาธิ ก็สามารถปิดรูขุมขนบนผิวหนังบางจุดได้อย่างสมบูรณ์
นี่หมายความว่าหากหลี่มู่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ในอนาคต เขาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณบาดแผลเพื่อปิดปากแผล หลีกเลี่ยงไม่ให้เสียเลือดมากเกินไป และรักษาพลังกายให้อยู่ในระดับสูงสุดได้
การควบคุมถึงขั้นนี้ แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือศิลปะการต่อสู้ก็ยังไม่สามารถทำได้
‘ ‘พลังก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เกินกว่าสุดยอดวิชายุทธ์ใดๆ บนดาวดวงนี้ไปแล้ว ที่ซินแสเฒ่าบอกว่าเป็นวิชาเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก ระดับการพัฒนาศักยภาพร่างกายกับพลังการต่อสู้ประเภทนี้เป็นพลังระดับตำนานสำหรับจอมยุทธ์บนดาวดวงนี้เลย’
ยิ่งหลี่มู่ชำนาญพลังของวิชาทั้งสองนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ในใจเขายิ่งตื่นตะลึงและปลงอนิจจัง
ซินแสเฒ่าเป็นเซียนโดยแท้
หนึ่งชั่วยามกว่าต่อมา หลี่มู่ยุติการเก็บตัวฝึกฝนครั้งนี้ลง
เขาตระหนักได้ว่าขอบเขตการเปลี่ยนแปลงรอบนี้หยุดอยู่แค่ตรงนี้แล้ว
หากอยากจะพัฒนาต่อไปอีกขั้น หลี่มู่ต้องผ่านการต่อสู้อีก รวมทั้งต้องศึกษาตำราวรยุทธ์กับวิชาการต่อสู้เพิ่มเติม และสั่งสมความรู้ประสบการณ์ ขยายโลกทัศน์ต่อไป
มิฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะมีสองวิชาระดับเซียนอยู่ในมือ ก็ไม่สามารถปิดตัวเองไม่สนใจโลกภายนอกได้
หลี่มู่ยืนขึ้นแล้วเดินไปยังประตูห้องฝึกยุทธ์
“เอ๋?”
ขณะที่ผ่านชั้นวางโบราณ หลี่มู่กวาดตามองโดยไม่ได้ตั้งใจ และเห็นหนังสือเล่มหนึ่งอยู่บนนั้น
ยอดวิชาเปลี่ยนร่างย้ายกล้ามเนื้อแปรกระดูก!
หลี่มู่สนใจเคล็ดวิชานี้เป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่จำต้องมีการสนับสนุนจากกำลังภายใน หลี่มู่จึงไม่สามารถฝึกฝนได้ ในใจรู้สึกเสียดายนัก
แต่ทันใดนั้น หลี่มู่พลันนึกขึ้นได้ ในเมื่อเขาได้หลักการควบคุมกล้ามเนื้อและกระดูกหลังจากสำเร็จ ‘ค้อนทะยานฟ้า’ และ ‘ลิ่มสวรรค์’ ทั้งสองท่าในขั้นต้นแล้ว เช่นนั้นหมายความว่าต่อให้ไม่มีกำลังภายใน เขาก็อาจคิดหาหนทางอื่น และฝึกฝนวิชาเปลี่ยนร่างนี้ผ่านการควบคุมกล้ามเนื้อได้มิใช่หรือ?
คิดถึงตรงนี้ หลี่มู่ตัดสินใจยังไม่รีบร้อนยุติการฝึกฝน หยิบหนังสือขึ้นมาแล้วหันกลับไปศึกษาอย่างละเอียด
……
“แย่แล้ว จะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี?”
เฝิงหยวนซิงเดินกระสับกระส่ายไปมาเหมือนมดบนหม้อร้อนอยู่ในห้องโถงใหญ่ของที่ว่าการอำเภอ
เด็กรับใช้บัณฑิตสองคนก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ต่างแสดงสีหน้าจนปัญญา
หนึ่งวันสุดท้ายก่อนศึกตัดสินระหว่างสำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้าในอำเภอเมือง ทั่วทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์ชุลมุนวุ่นวาย ผู้คนของสองสำนักใหญ่มารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ มีการต่อสู้เกิดขึ้นตลอดเวลา พลเรือนจำนวนมากจำต้องอพยพพาครอบครัวออกจากเมืองไปเพื่อหลบลูกหลง แต่มีรายงานว่ามีเหล่าโจรดักซุ่มปล้นชิงอยู่นอกเมือง ผู้ลี้ภัยบางคนออกจากอำเภอเมืองไปได้ไม่นานก็ต้องจบชีวิตลง
ชาวประชาอดอยากยากแค้นโดยแท้
เฝิงหยวนซิงพยายามลงแรงรักษาสถานการณ์อย่างเต็มที่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าใด
เหตุผลหลักคือในช่วงเวลานี้ หลี่มู่ในฐานะขุนนางเมืองของอำเภอขาวพิสุทธิ์เอาแต่เก็บตัวฝึกฝน ผู้คนต่างคิดว่าหลบหนีไปก่อนนานแล้ว ภายใต้ข่าวลือต่างๆ ความน่าเกรงขามของทางการอำเภอขาวพิสุทธิ์ลดลงเป็นอย่างมาก ไม่เหลืออิทธิพลอีก และไม่อยู่ในสายตาของคนในยุทธภพปานนั้นแล้ว แม้ว่าเฝิงหยวนซิงพยายามกว่านี้ ไปเจรจาต่อรองกับพรรคทั้งสองด้วยตนเอง ก็กลับถูกขับไล่ออกมา ไม่สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้เลย
เฝิงหยวนซิงยังได้ข่าวมาอีกว่า นอกเหนือจากสถานการณ์ที่ทั้งสองพรรคจะก่อศึกใหญ่ในเมือง ยังมีกองกำลังขนาดเล็กบางกลุ่มเตรียมฉวยโอกาสนี้กระทำการบางอย่างในเมืองด้วย โดยเฉพาะกลุ่มโจรที่ถึงขั้นจะอาศัยความวุ่นวายนี้ปล้นชิงอย่างเปิดเผย
ทำเอาเฝิงหยวนซิงเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนอย่างไม่เคยมีมาก่อน กำลังทหารในอำเภอขาวพิสุทธิ์มีไม่เพียงพอ อีกทั้งส่งม้าเร็วขอกำลังเสริมไปทางเมืองฉางอันสิบกว่าชุดแล้ว ก็ล้วนเหมือนวัวดินจมสมุทรทั้งสิ้น ไม่มีข่าวคราวกลับมา กำลังเสริมไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อใด ชัดเจนว่าไร้ความหวังแล้ว
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เฝิงหยวนซิงที่เสพติดอำนาจขุนนางพอแล้วรู้สึกถึงแรงกดดันของผู้ปกครองเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังทำให้เขาตระหนักว่าขุนนางเมืองที่สูงส่งใช่ว่าจะสะดวกสบายและมีอิสระกว่าพวกเขาเหล่าขุนนางชั้นผู้น้อย ผู้มีตำแหน่งสูงต้องแบกรับแรงกดดันที่มากกว่า
เฝิงหยวนซิงร้อนใจจนผมจะขาวหมดหัวแล้ว
โดยเฉพาะข่าวลือสารพัดในช่วงนี้ที่ล้วนคิดว่าหลี่มู่หลบหนีไปแล้ว ในใจเฝิงหยวนซิงก็ไม่มั่นใจเช่นกัน ผ่านไปนานขนาดนี้ยังไม่เห็นหลี่มู่ ท่านขุนนางเมืองคงไม่ได้แอบหลบหนีไปจริงๆ กระมัง?
เขากังวลจนเดินวนเป็นวงกลม
อีกด้านหนึ่งหมิงเยวี่ยน้อยอยู่ในท่าเท้าคาง ใบหน้าเล็กที่อวบอิ่มไม่ทุกข์ไม่ร้อน เอ่ยอย่างรำคาญว่า “นี่ เจ้าคนขี้ประจบ อย่าเอาแต่วิ่งวนไปมาสิ ทำคนอื่นตาลายไปหมดแล้ว”
“ข้าร้อนใจอยู่ไม่ใช่หรือไร?” เฝิงหยวนซิงกล่าวอย่างขมขื่น
เขายอมรับที่เด็กทึ่มหมิงเยวี่ยเรียกเขาเป็นคนประจบสอพลอโดยไม่รู้ตัว
“คุณชายน้อยชิงเฟิง ไม่อย่างนั้นท่านไปพบใต้เท้าที่ห้องฝึกยุทธ์สักหน่อย บอกให้ใต้เท้ายุติการเก็บตัวออกมาจัดการสถานการณ์ภายนอก” เฝิงหยวนซิงทอดมองอย่างวิงวอนไปยังเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง ในหลายวันมานี้ การคิดแผนและวางหมากเยี่ยงผู้ใหญ่ของเด็กชาย ทำให้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างเฝิงหยวนซิงต้องมองมุมใหม่ และทำเหมือนเด็กที่โตก่อนวัยผู้นี้เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันไปแล้ว
ชิงเฟิงได้ฟังก็หัวเราะอย่างขมขื่น นวดขมับตามความเคยชินพลางเอ่ยว่า “ข้าขอพบมาหลายครั้งแล้ว แต่คราวนี้คุณชายเก็บตัวฝึกฝนแบบปิดตาย ไม่เหมือนอย่างในอดีต ข้าก็จนปัญญาจะเคาะเรียก” ความจริงยามนี้สหายตัวน้อยก็ปวดหัวไม่แพ้กัน แม้ว่าเขาชาญฉลาดและเป็นผู้ใหญ่เกินวัย แต่ก็ยังเป็นแค่เด็ก ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เปรียบได้กับภรรยาดีหากไม่มีข้าวก็ไม่อาจปรุงอาหาร[1]
“แล้วจะทำอย่างไรกันดี หากใต้เท้ายังไม่ออกมาอีก พรุ่งนี้ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์เกรงว่าจะหลั่งเลือดนองเป็นสายน้ำ” เฝิงหยวนซิงกล่าวอย่างร้อนใจ
เอ่ยยังไม่ทันจบดี
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เลือดนองเป็นสายน้ำอะไร?”
ร่างคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาจากประตูข้าง
บุคคลนี้อยู่ในชุดนักพรตที่เฝิงหยวนซิงและเด็กทั้งสองค่อนข้างคุ้นตา รูปร่างสูงใหญ่กำยำ กล้ามเนื้อแข็งแรง ใบหน้าเด็ดเดี่ยว คิ้วกระบี่ตาเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากกว้าง สัดส่วนร่างกายสมบูรณ์แบบเป็นที่สุด รัศมีบุรุษห้าวหาญองอาจโชยมากระทบหน้า เป็นคนรูปงามชั้นหนึ่งที่พบเห็นได้ยาก บนเรือนร่างราวกับมีประกายที่ทำให้คนนึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่โดยธรรมชาติ
“เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงออกมาจากหลังที่ว่าการได้? แล้วคุณชายของข้าล่ะ?”
เด็กโง่หมิงเยวี่ยตอบสนองเป็นคนแรก นางผลุงตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน รูม่านตาหดเล็กดั่งรูเข็ม ก่อนจะร้องถามเสียงต่ำ ให้ความรู้สึกเหมือนสัตว์ป่าที่ตกอยู่ในอันตราย
เฝิงหยวนซิงและชิงเฟิงเพิ่งตอบสนองเอาตอนนี้
นั่นสิ ชายคนนี้คือใคร? ทำไมถึงไม่เคยเห็นเขา ทำไมถึงเดินออกมาจากเรือนหลังที่ว่าการแล้วเข้ามายังห้องโถงใหญ่ได้? คงไม่ใช่นักฆ่ากระมัง?
ชายรูปงามร่างกำยำคลี่ยิ้มประหลาด กล่าวว่า “ทั้งสามคนไม่ต้องกังวล ข้าไม่ใช่ศัตรู”
“เช่นนั้นเจ้าคือใคร รีบบอกมา” หมิงเยวี่ยร้องเสียงต่ำ เส้นผมใกล้ตั้งชันขึ้นแล้ว เหมือนสัญญาณเตรียมจู่โจมของแมวป่าตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“เอ่อ…ข้าคือ…” ชายรูปงามร่างสูงใหญ่ขบคิดไปมา พูดว่า “ข้าเป็นศิษย์พี่ของหลี่มู่…ใช่ ข้าเป็นศิษย์พี่ของเขา ฮ่าๆ ข้าชื่อต้วนสุ่ยหลิว ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวคือข้าเอง” เขาเหมือนคิดถึงบางสิ่งที่น่าขำยิ่ง จึงหัวเราะกับตัวเอง
ช่างเป็นคนประหลาดเสียจริง
เฝิงหยวนซิงมองประเมินอย่างระมัดระวัง แล้วถามว่า “นายท่าน คำพูดไร้หลักฐาน ท่านจะพิสูจน์อย่างไร”
“เอ๋ เจ้าคนขี้ประจบช่างระแวดระวังนัก…” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวขมวดคิ้วพูด “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเรียกให้หลี่มู่ออกมาพิสูจน์เอง” จากนั้นเขาก็หันหลังมุ่งกลับไปเรือนหลังที่ว่าการ อีกสามคนยังไม่ทันห้าม เบื้องหน้าก็พร่าเลือน ร่างคนผู้นั้นหายวับไปแล้วดุจสายฟ้าแลบ
“หืม?…ทำไมเขาถึงรู้ว่าเจ้าเป็นคนขี้ประจบ” นัยน์ตาของเด็กโง่หมิงเยวี่ยกลับเป็นปกติ นางหันไปหาเฝิงหยวนซิงและถามว่า “เจ้ารู้จักรึ?” จุดสังเกตของนางแตกต่างออกไปดังคาด
เฝิงหยวนซิงส่ายหัวอย่างไม่ลังเล “ไม่เคยพบเลย”
“เจ้าจะมัวงงอะไรอยู่ รีบไล่ตามไปสิ หากเขาเป็นโจรบุกเข้ามาเล่า?” เด็กโง่หมิงเยวี่ยตวาดเสียงดัง
“ขโมยอะไร?” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
ร่างของหลี่มู่ปรากฏขึ้นที่ประตูด้านข้าง และเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
“คุณชาย…”
“นายท่าน ในที่สุด…ท่านก็ออกจากการเก็บตัวฝึกฝน?”
เมื่อพวกเขาสามคนเห็นหลี่มู่ก็ดีอกดีใจยกใหญ่
หลี่มู่พยักหน้ายิ้มๆ กล่าวว่า “ใช่ ออกมาแล้ว ใช้เวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านานสักหน่อย หืม?…ศิษย์พี่ต้วนสุ่ยหลิวล่ะ? เมื่อครู่ข้าให้เขาออกมายังโถงนี้ก่อนแท้ๆ ทำไมถึงไม่เห็น?”
“เข้าไปอีกครั้งน่ะเจ้าค่ะ” เด็กโง่หมิงเยวี่ยทำหน้าระริกระรี้ ขยับเข้ามาเอ่ย “คุณชายเจ้าคะ ศิษย์พี่ใหญ่ของท่านช่างหล่อเหลานัก เขาเป็นคนที่ใด แต่งงานแล้วหรือไม่?”
หลี่มู่พูดไม่ออก เขายกมือเขกหน้าผากเด็กทึ่ม จากนั้นหันไปมองเฝิงหยวนซิงและถามว่า “สถานการณ์ในเมืองตอนข้าเก็บตัวฝึกตนเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ เฝิงหยวนซิงพลันหลั่งน้ำตาออกมา
ในที่สุดท่านก็รู้จักบริหารบ้านเมืองแล้วใช่หรือไม่?
เฝิงหยวนซิงเหมือนเด็กนักเรียนที่มีเรื่องจะฟ้องมากมายหาครูประจำชั้นพบ เขารายงานสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองช่วงนี้ ความจองหองและอหังการต่างๆ ของคนในยุทธภพ พูดออกมาหมดเปลือกโดยไม่เก็บงำไว้
“มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นด้วย?”
ยังฟังไม่จบดี หลี่มู่ก็โมโหถึงขีดสุดแล้ว
คนในยุทธภพเหล่านี้เป็นเหมือนก้อนเนื้อร้ายจริงๆ
นี่มันกระตุกหางเสือชัดๆ
สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือ คนโง่พวกนี้ลือกันว่าเขาหนีไปแล้วเสียได้…แม้ว่าข้ามีแผนการจะหนีอยู่จริงก็เถอะ แต่ทำไมคนต่างดาวที่โง่เขลาถึงคาดเดาได้แม่นยำขนาดนี้ ยกโทษให้ไม่ได้แล้ว
……………………………………
[1]ภรรยาดีหากไม่มีข้าวก็ไม่อาจปรุงอาหาร อุปมาว่า แม้เป็นผู้มีความสามารถ หากขาดปัจจัยจำเป็นไปก็ทำสำเร็จได้ยาก