จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 37 ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน
“คุณชาย เรื่องนี้ยอมไม่ได้นะเจ้าคะ รีบนำคนไปสังหารพวกมันเถอะ” เด็กน้อยหมิงเยวี่ยเผยด้านโง่ทึ่มและป่าเถื่อนออกมา กล่าวอย่างดุดันว่า “สังหารพวกมันไม่ต้องปรานี มอบบทเรียนให้กับพวกไร้ค่าในยุทธภพ ให้มันเข้าใจว่าในอำเภอขาวพิสุทธิ์ใครมีอำนาจเด็ดขาด”
โป๊ก
หลี่มู่ยกมือเขกหัวหมิงเยวี่ยอีกที
หมิงเยวี่ยกุมศีรษะทั้งน้ำตา “เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ…”
“ใต้เท้า ข้าขอความช่วยเหลือจากทางเมืองฉางอันไปแล้ว…” เฝิงหยวนซิงกล่าวถึงสิ่งที่เขาได้ทำไป พยายามแสดงความสามารถของตนออกมาสุดตัว เพื่อไม่ให้ใต้เท้ารู้สึกว่าเขาไร้ค่าและน่าผิดหวัง
“ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน” หลี่มู่พูดอย่างโกรธเคือง
“ใต้เท้ามองการณ์ไกล กล่าวตรงประเด็น ข้าน้อยรู้สึกเช่นเดียวกันขอรับ” เฝิงหยวนซิงบุ่มบ่ามกล่าวประจบ
ใครจะรู้ว่าเมื่อหลี่มู่กล่าวจบประโยคนั้น เขาจับคางพลางหรี่ตา เริ่มคิดอย่างจริงจัง ทันใดนั้นก็หัวเราะ ก่อนเอ่ยกลับคำเหมือนหักหน้าตัวเองว่า “เฮ้อ เอาเถอะ…ขอความช่วยเหลือไปแล้วกัน ข้าต้องเก็บตัวฝึกตนเพื่อเผชิญหน้ากับ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ อีก ให้ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวของข้าช่วยจัดการเรื่องวุ่นวายเหล่านี้เถอะ”
“อา? ใช่แล้วๆๆ ใต้เท้าช่างปราดเปรื่อง มองการณ์ไกล กล่าวตรงประเด็นนัก” เฝิงหยวนซิงตบคำเยินยอได้ทะเล่อทะล่ากว่าเดิม
หลี่มู่ ชิงเฟิง และหมิงเยวี่ยต่างก็มองไปที่เขาด้วยสายตาดูแคลนยิ่ง
เฝิงหยวนซิงรู้ตัวว่าคำเยินยอของตนไม่ได้เรื่อง จึงรีบเสริมอีก “ผู้คนในยุทธภพพวกนี้ช่างเป็นคนไร้ค่า จะฆ่าไก่ด้วยเขาวัวได้อย่างไร ไม่จำเป็นต้องถึงมือของใต้เท้าอยู่แล้วขอรับ”
หลี่มู่ถึงค่อยพยักหน้าอย่างพอใจ
“จิ๊” หมิงเยวี่ยน้อยแสดงสีหน้าดูหมิ่น
ทว่าเด็กชายรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงมีสีหน้ากังวล มีคนตลบตะแลงที่ประจบสอพลอเช่นนี้อยู่ข้างคุณชาย นับเป็นเรื่องดีที่ไหนกันเล่า
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปเก็บตัวฝึกตนต่อ” หลี่มู่หันกลับไปทางด้านหลังที่ว่าการ ขณะเดินก็พูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวของข้าเป็นคนหล่อเหลา แข็งแกร่งโดดเด่น บุคลิกน่าเชื่อถือ ซื่อสัตย์ทั้งยังน่ารัก เป็นที่เคารพของผู้คนทุกช่วงวัย กล่าววาจามีอารยะ ยึดถือหลักแปดเกียรติยศแปดอัปยศ[1] ฝึกฝนอย่างหนัก พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เก่งกาจพอจะกวาดล้างพวกเลวทรามต่ำช้าทั้งหมดโดยแท้ นายทะเบียนเฝิง อีกสักครู่ยามเขาออกมา จงให้ความร่วมมือกับเขาสุดกำลัง คำพูดเขาเปรียบเสมือนคำพูดข้า…อีกอย่าง หากพวกเจ้าทั้งสามไม่มีเรื่องอะไร ไม่สิ ไม่ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ห้ามมารบกวนข้าเด็ดขาด…นี่ พวกเจ้าหยุดเสีย ไม่ต้องตามมารบกวนข้า”
หลังจากหลี่มู่สั่งห้ามคนทั้งสามอย่างคร่ำเคร่ง ก็หัวเราะเสียงดังลั่น เงาร่างหายไปจากมุมของประตูข้างอย่างรวดเร็ว
เฝิงหยวนซิง ชิงเฟิง และหมิงเยวี่ยทั้งสามต่างมองหน้าสบตากันด้วยความมึนงงอยู่ในห้องโถงนั้น
ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าใต้เท้าปรากฏตัวครั้งนี้แปลกไปนัก
สักครู่ต่อมา
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวที่หล่อเหลากำยำผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงพร้อมรอยยิ้มระรื่น
“เจอกันอีกแล้ว” บนใบหน้าหล่อเหลาของเขาประดับรอยยิ้มอบอุ่น กล่าวทักทายคนทั้งสามด้วยเสียงหัวเราะ “ข้าเพิ่งเจอศิษย์น้องหลี่มู่ เขาต้องการเก็บตัวฝึกตน บอกว่ามีเรื่องยุ่งยากบางอย่างอยากให้ข้าช่วยจัดการ นายทะเบียนเฝิง มีเรื่องอะไรกันแน่?”
ยามนี้เฝิงหยวนซิงไม่กล้าเหลวไหล เล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยพูดกับหลี่มู่ก่อนหน้านี้ให้ฟังอีกรอบ
“คนในยุทธภพพวกนี้กำลังก่อปัญหาในเมือง ใกล้จะยกพวกปล้นบ้านผู้คนแล้ว” เฝิงหยวนซิงกล่าว “ท่านขุนนางเมืองมอบหมายให้ท่านจัดการเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าท่านคิดจะจัดการอย่างไร”
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวหัวเราะ “จะทำอย่างไรได้? แน่นอนว่าข้าจะไปเล่นงานมารดาพวกมัน”
…
หอโบตั๋น โรงเตี๊ยมที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์
ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ อาหารแนะนำ ‘โบตั๋นหลากชนิด’ และ ‘ไก่น้ำเต้า’ เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ทั้งยังมีเหล้าข้าวบ่มเองซึ่งมีมนต์เสน่ห์มายาวนาน ทำให้การค้าเฟื่องฟูรุ่งโรจน์มาโดยตลอด
ในช่วงหลายวันมานี้เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์โกลาหลวุ่นวาย หอโบตั๋นกลายเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์สำหรับเหล่าคนในยุทธภพ
เวลาเที่ยงตรง ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า
เมื่อถึงเวลาอาหาร หอโบตั๋นอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ล้วนสะพายดาบและกระบี่ ร่ำสุราเล่นสนุก ส่งเสียงดังอื้ออึง จ้อกแจ้กจอแจ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่มีคำหยาบคายทุกชนิด กลิ่นสุราโชยอยู่ทั่ว
ในโถงรับรองชั้นแรก คนในยุทธภพประมาณยี่สิบถึงสามสิบคนดูคุ้นเคยกันดี แต่ละคนร่างใหญ่กำยำ กำลังดื่มสุราสรวลเสเฮฮา ครึกครื้นกันยิ่ง
“ฮ่าๆ วันนี้ข้ามีความสุขจริงๆ จัดการคนทัพเรือพวกนั้นจนร่ำไห้โหยหวน ทำให้พรรคป่าไผ่ของเรามีชื่อเสียงน่าครั่นคร้าม เงยหน้าอย่างภาคภูมิใจได้” ชายร่างอ้วนที่มีแผลเป็นจากดาบบนใบหน้าดื่มสุราข้าวครึ่งไหหมดในรวดเดียว แล้วโยนไหลงบนพื้น ร้องลั่นอย่างคึกคะนอง
ไหสุราแตกกระจายเป็นชิ้นๆ ทันที
เสี่ยวเอ้อร์ในห้องโถงเห็นเข้า ใบหน้าขมขื่นก็กระตุก แต่กลับไม่กล้าพูดสักประโยค เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนเสี่ยวเอ้อร์ผู้หนึ่งในร้านอดกล่าวเตือนไม่ได้ เนื่องด้วยเสียดายถ้วยสุรา ผลคือถูกบุรุษจอมยุทธ์พวกนี้หักขา ตอนนี้ยังต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน หมอที่โรงหมอกล่าวว่าแม้บาดแผลจะหายดีแล้วก็อาจต้องพิการ ชีวิตนี้นับว่าจบสิ้นแล้ว
อีกด้านหนึ่ง เถ้าแก่เนี้ยที่ยืนอยู่บริเวณโต๊ะรับแขกก็แสดงสีหน้าเจ็บปวดเช่นกัน
เหล่าคนที่เรียกกันว่าจอมยุทธ์พวกนี้ เพื่อแสดงความองอาจห้าวหาญของตน ไม่ว่าจะยามสุขใจหรือไม่สมใจ พูดคุยรื่นหูหรือไม่รื่นหู ทะเลาะวิวาทชนะหรือไม่ ก็ล้วนเขวี้ยงถ้วยสุราเสมอ ไม่เพียงแต่จะทำลายถ้วยสุรา ยังรวมไปถึงไหสุรา จานชาม และจอกเหล้า หลังจากกินดื่มอย่างจุใจ พวกมันทิ้งไว้เพียงเศษเงินก้อนหนึ่ง และตะโกนว่า “เถ้าแก่เนี้ย…ไม่ต้องทอน” อันที่จริงเศษเงินนี้มีมูลค่าไม่พอสุราถ้วยหนึ่งด้วยซ้ำ
โรงเตี๊ยมดีๆ แห่งหนึ่ง ทุกวันนี้จอมยุทธ์ในยุทธภพพวกนี้สร้างความเดือดร้อนให้จนใกล้จะล่มจมแล้ว
เป็นฝูงหนูฝูงตั๊กแตนที่คอยสร้างปัญหาโดยแท้
เถ้าแก่เนี้ยอยู่ในช่วงกลางคน แต่ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน พอจะมองออกว่าสมัยยังสาวเป็นหญิงงามที่ชื่อเสียงระบือไกล ทว่ายามนี้กลับมีรอยฝ่ามือบนใบหน้าของนาง รอยนี้เกิดขึ้นเมื่อวานในขณะที่นางถูกเหล่าจอมยุทธ์สั่งให้มาบริการอาหารด้วยตนเอง และถูกประมุขพรรคป่าไผ่แทะโลมเกี้ยวพา นางทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงแสดงสีหน้าเย็นชาสองสามครั้ง เป็นเหตุให้ประมุขพรรคป่าไผ่ที่อับอายจนโกรธตบเข้าฉาดหนึ่ง
แม้นางจัดว่าเป็นผู้มั่งคั่งในอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้ว หนึ่งฝ่ามือนี้ก็นับว่าเจ็บเปล่าๆ เช่นกัน
ยามนี้ เถ้าแก่เนี้ยนึกเสียดายชามและตะเกียบเหล่านั้น ทว่าไม่กล้าปริปาก ด้วยกลัวว่าจะเจอเรื่องร้ายที่ไม่คาดฝันอะไรอีก
‘เจ้าพวกเดรัจฉานสมควรตาย…’ เถ้าแก่เนี้ยสาปแช่งในใจ
“ฮ่าๆ เถ้าแก่เนี้ย เจ้ามัวยืนงงอะไรอยู่ สุราไม่เหลือแล้ว ยังไม่รีบไปเอามาอีก ฮ่าๆๆ…” ศิษย์ของพรรคป่าไผ่ผู้หนึ่งจงใจทุบโต๊ะเสียงดังพลางหัวเราะร่า
“ฮ่าๆๆๆ…”
“ใช่แล้ว เถ้าแก่เนี้ย รีบเอาเหล้ามาสิ”
“ถึงไม่ให้ประมุขพวกข้าลิ้มรสชาดบนปากเจ้า ก็ต้องเอาสุรามาให้ดื่มกระมัง มิเช่นนั้นจะเปิดโรงเตี๊ยมไปทำไม”
ศิษย์คนอื่นๆ ของพรรคป่าไผ่หัวเราะร่วนอย่างเข้าขากันนัก
ใบหน้าเถ้าแก่เนี้ยแสดงออกถึงความกลัว ไม่กล้าซ่อนตัวอีก นางรีบแสร้งหัวเราะตามและเดินออกมาจากหลังโต๊ะรับแขก กล่าวว่า “แขกทุกท่าน เหล้าบ่มจากข้าวของร้านข้าขายไปหมดแล้ว แต่ยังมีเหล้าไผ่เขียวอีกหลายไห พวกท่านอยากลองดื่มหรือไม่?”
“ฮึ ข้าไม่ดื่มเหล้าอื่น ข้าผู้นี้อยากดื่มเหล้าข้าวที่เจ้าบ่มเอง” ประมุขพรรคป่าไผ่นามว่าจ้าวหรงเฉิง ชื่อฟังดูสง่างาม แต่รูปลักษณ์กลับเป็นชายแข็งแรงกำยำดุจหมี สูงเกินหกฉื่อ แผ่นหลังกว้างเอวหนา บนใบหน้าดุร้ายมีรอยบากทางหนึ่ง ยิ่งเสริมความเหี้ยมให้อีกหลายส่วน เขาเหลือบมองเถ้าแก่เนี้ยพลางถามอย่างหยาบกระด้าง
“คือว่า…ประมุขจ้าว พวกท่านมากันจำนวนมาก เหล้าข้าวของข้าหมดแล้วจริงๆ” เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ประมุขพรรคป่าไผ่จ้าวหรงเฉิงยิ้มกว้างทันควัน รอยแผลเป็นบนใบหน้ายิ่งทำให้ดูดุร้ายน่ากลัว “ขายหมดแล้ว? ข้าไม่เชื่อ! เจ้าต้องกำลังดูถูกพวกข้าว่าไม่มีปัญญาจ่ายเป็นแน่?…หึๆ เว้นแต่เจ้าจะพาข้าไปตรวจที่ห้องเก็บสุราหลังร้านด้วยตัวเองข้าจึงจะเชื่อ…ฮ่าๆ”
มีประกายร้อนแรงลุกวาบในดวงตาของเขา
บุรุษทุกคนรู้ว่าหมายถึงอะไร
ในใจของเถ้าแก่เนี้ยเย็นยะเยือก นางได้ยินมาว่าในช่วงนี้หญิงบางคนถูกคนในยุทธภพย่ำยี หากนางไปยังห้องเก็บสุรากับคนหยาบช้าผู้นี้เพียงลำพัง ผลที่ตามมานั้นยากจะคาดเดา
“คือ…ข้า…” เถ้าแก่เนี้ยก้าวถอยอย่างต่อเนื่อง
จ้าวหรงเฉิงทะยานตัวขึ้น คว้าข้อมือของเถ้าแก่เนี้ยไว้ เปรียบดั่งคีมเหล็กสีดำกำลังหนีบรากบัวสีเขียวหยก สองสีเทียบกันแล้วน่าพรั่นพรึงนัก เขายิ้มชั่วร้ายพลางโน้มเข้าไปพูดว่า “หึๆ เถ้าแก่เนี้ย นี่เป็นความผิดของเจ้า เจ้าดูถูกพี่น้องพรรคป่าไผ่ของข้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าผู้นี้จะทุบทำลายร้านของเจ้าเสีย?”
“ไม่…ท่านปล่อยข้า…ปล่อยข้า…” เถ้าแก่เนี้ยหวาดกลัวมาก พยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ไม่สามารถสลัดหลุดได้
“ท่านแม่ ท่านแม่…เจ้าคนชั่วช้า รีบปล่อยท่านแม่ของข้านะ…” เด็กสาวอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีพลันวิ่งออกมาจากในครัวด้านหลัง ใบหน้าของนางตื่นกลัว แต่ยังพยายามรวบรวมความกล้า ใช้กำปั้นเด็กน้อยตีเข้าใส่จ้าวหรงเฉิง ผิวของเด็กสาวขาวนวล คิ้วตางดงามดั่งภาพวาด ใบหน้าน่ารักชวนให้คนหลงใหล เมื่อนางปรากฏตัว เสียงดังเอะอะรอบๆ ร้านพลันเงียบลง หลายคนรู้สึกเบื้องหน้าสว่างไสวเมื่อเห็นสาวงามคนนี้
“จู๋เอ๋อร์ เจ้าออกมาทำไม รีบกลับเข้าไปเดี๋ยวนี้…เจ้า…ฟังคำแม่ กลับเข้าไปซะ” ใบหน้าของเถ้าแก่เนี้ยเต็มไปด้วยความตกใจกลัว
ทุกวันนี้ ผู้คนที่เข้าออกในโรงเตี๊ยมส่วนใหญ่เป็นพวกต่ำช้าหยาบคาย เถ้าแก่เนี้ยซ่อนบุตรสาวของนางไว้ในครัวมาโดยตลอด เพราะกลัวว่าคนในยุทธภพที่หื่นกระหายเหล่านี้เห็นเข้าจะมักมาก อย่างไรในเมืองก็มีเหล่าบุปผางามถูกโจรต่ำช้าย่ำยีแล้วหลายราย ไม่นึกว่าเมื่อเห็นมารดาถูกคุกคาม เด็กสาวผู้โง่เขลาจะพุ่งออกมา
ไม่ผิดคาด จ้าวหรงเฉิงประมุขพรรคป่าไผ่ตาลุกวาวทันใด ทันทีที่เห็นจู๋เอ๋อร์ก็ยิ่งทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหัวเราะลั่นออกมา “เถ้าแก่เนี้ย ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีลูกสาวที่งดงามเช่นนี้ ฮ่าๆๆ ทำไมเจ้าไม่รีบออกมาปรนนิบัติพวกข้าล่ะ เด็กน้อย เจ้าต้องการให้ข้าปล่อยท่านแม่เจ้าใช่หรือไม่ เอาอย่างนี้ ทำไมไม่ลองใช้ปากเล็กๆ ของเจ้าป้อนเหล้าข้าดูสักสองสามจอก แล้วข้าจะยอมปล่อยมารดาเจ้าไป เป็นอย่างไร…”
…………………………..
[1] แปดเกียรติยศแปดอัปยศ เป็นหลักการประพฤติตนที่พึงกระทำแปดข้อและไม่พึงกระทำแปดข้อของสาธารณรัฐประชาชนจีน