จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 38 ทุกคนที่นี่คือขยะ
ครั้นได้ยิน สีหน้าของเถ้าแก่เนี้ยสิ้นหวังหวาดกลัว กล่าวว่า “มะ…ไม่…ไม่…ประมุขจ้าว…จู๋เอ๋อร์ยังเล็ก ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง นางไม่รู้เรื่องอะไร ปล่อยนางไปเถอะ ข้า…ข้ายินดีพาท่านไปดูห้องเก็บสุรา ข้าไปกับท่านเอง…” มารดาที่น่าสงสาร เมื่อเห็นบุตรสาวคนเดียวถูกคุกคาม นางก็ตื่นตระหนกสิ้นหวัง ศักดิ์ศรีทั้งมวลหายไป และพร้อมที่จะแลกทุกอย่างเพื่อลูก
พวกพรรคป่าไผ่พากันระเบิดเสียงหัวเราะ
จ้าวหรงเฉิงยิ้มเย็นชา จงใจทรมานนาง “แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าอยากเปลี่ยนมาลิ้มรสอะไรที่อ่อนนุ่มกว่าหน่อย…เด็กน้อย เจ้าต้องการช่วยมารดาของเจ้าหรือไม่ ถ้าอยากละก็ จงทำตามคำสั่งข้า ไม่อย่างนั้น…หึๆ…”
กล่าวไม่ทันจบ มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“พรรคป่าไผ่เป็นกลุ่มสัตว์เดรัจฉานจริงๆ ด้วย”
เสียงที่ชัดเจนและหนักแน่นยิ่งดังมาจากประตูทางเข้าหอโบตั๋น
“เจ้าเป็นใคร? บังอาจกล่าววาจาสามหาวเช่นนี้ อยากตายหรือ?” จ้าวหรงเฉิงสีหน้าเย็นชา หันไปมองทางประตู
ศิษย์คนอื่นๆ ของพรรคป่าไผ่ต่างตบโต๊ะ คว้าจับอาวุธอย่างโหดเหี้ยม
“มีคนมาท้าทายถึงที่”
“มารดามันเถอะ…ไม่นึกว่าจะกล้ามาหาเรื่องพรรคป่าไผ่เรา”
“มันเป็นใคร จัดการสับมันเสีย”
ชั่วแวบเดียว โถงชั้นแรกของหอโบตั๋นเต็มไปด้วยแสงดาบเงากระบี่ บรรยากาศน่าสะพรึงกลัวแผ่ปกคลุมไปทั่ว ผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัดสองคนที่กินอาหารอยู่ต่างผุดลุกขึ้นแนบตัวเข้ากับผนังขณะสั่นระริก เพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลงจากพรรคป่าไผ่
“พวกลูกหมาลูเซอร์แห่งยุทธภพ พวกเจ้าคงไม่อยากมีชิวิตอยู่แล้ว ถึงได้วิ่งมาทำอวดเบ่งที่อำเภอขาวพิสุทธิ์แบบนี้?” ตรงประตูทางเข้า ชายที่กล่าวเยาะหยันผู้นั้นก้าวเข้ามาทีละก้าว
ยามนี้ผู้คนมองเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา มีรัศมีอำนาจที่ห้าวหาญน่าครั่นคร้าม สามารถบรรยายได้ด้วยคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นบุรุษรูปงามจำพวกที่หญิงสาวนับไม่ถ้วนเห็นแล้วเกิดรักแรกพบได้
คนผู้นี้ยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา
แม้คนทั้งหลายไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ลูเซอร์’ แต่พวกเขาเข้าใจว่าลูกหมาหมายถึงอะไร เมื่อรวมสองคำนี้เข้าด้วยกันชัดเจนว่าเป็นการเยาะเย้ยคนพรรคป่าไผ่ ไม่ใช่คำดีอะไร ทว่าวาจาของหนุ่มรูปงามคนนี้ก็โอหังเกินไปแล้ว เขาดูแคลนคนในยุทธภพทั้งหมดอย่างโจ่งแจ้ง โจมตีกันเป็นวงกว้างทีเดียว หรือเขาไม่กลัวว่าจะกระตุ้นความโกรธของมวลชน?
“ท่านเป็นใคร?” จ้าวหรงเฉิงคลายมือปล่อยเถ้าแก่เนี้ยและเสี่ยวจู๋แล้วยืนขึ้น เขาคว้าไม้พลองเหล็กสีดำสนิทสูงเทียมคิ้วอันหนา พร้อมกับแสดงท่าทีดุร้าย
“ข้าเป็นคนของทางการ”
ชายหนุ่มรูปงามเดินเข้ามาอย่างเอ้อระเหย
ข้างหลังเขามีคนหลายสิบคนตามมา ทั้งหมดสวมเกราะอ่อนของทหารมือปราบประจำที่ว่าการ เฝิงหยวนซิงผู้ดูแลจัดการบ้านเมืองในช่วงนี้ก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย
“คนของทางการ?” จ้าวหรงเฉิงแสยะยิ้ม
เหล่าสมาชิกพรรคป่าไผ่ที่เหลือแผดเสียงหัวเราะ
การเพิกเฉยในช่วงที่ผ่านมาทำให้ทางการกลายเป็นตัวตลกในอำเภอขาวพิสุทธิ์ไปแล้ว เปรียบเสมือนพยัคฆ์ที่ปราศจากเขี้ยวเล็บ ไม่อยู่ในสายตาของใครๆ อีกทั้งไม่กี่วันก่อน นายทะเบียนเฝิงหยวนซิงยังถูกพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ขับไล่ออกจากฐานที่มั่น จนถึงตอนนี้แม้กระทั่งกลุ่มอิทธิพลเล็กๆ บางกลุ่มยังไม่เกรงอำนาจของทางการกันแล้ว
ชายหนุ่มรูปงามไม่แยแส คลี่ยิ้มบางและพูดว่า “ขอแนะนำตัวก่อน ชายรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าผู้นี้คือศิษย์พี่ของขุนนางเมืองหลี่มู่ นามคือต้วนสุ่ยหลิว ทุกคนต่างเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว มาเพื่อกำจัดขยะโดยเฉพาะ”
“กำจัดขยะ?” จ้าวหรงเฉิงแค่นเสียงหยัน “เจ้ากำลังพูดว่าพรรคป่าไผ่ของข้าคือขยะ?”
“ไม่ๆๆ อย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิด ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้า” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวพลันหัวเราะกับตัวเองเหมือนนึกถึงเรื่องตลกบางอย่าง ขำจนท้องคัดท้องแข็ง ต้องใช้เวลานานพอสมควรจึงสงบลงได้ ชายหนุ่มกล่าวว่า “ข้าหมายถึงเหล่าจอมยุทธ์ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ตอนนี้ พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นขยะ!”
ภายในและภายนอกโรงเตี๊ยมมีเสียงสูดลมหายใจเฮือกเป็นแถบ
แม้แต่เฝิงหยวนซิงขุนนางใหญ่ที่มาพร้อมกับศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวกับทหารมือปราบฝีมือดียี่สิบคนต่างก็อึ้งงันไปเล็กน้อย ศิษย์พี่ของท่านขุนนางเมืองผู้นี้พูดมากเกินไปแล้ว ต้องดึงดูดความโกรธแค้นเป็นแน่ ทุกคนโดนด่ารวมไปหมดเลยนา
“ฮ่าๆๆๆ ช่างพูดจาโอหังใหญ่โตนัก อย่างเจ้านับเป็นอะไรได้?” จ้าวหรงเฉิงหัวเราะดังลั่น กระทุ้งไม้พลองเหล็กชั้นดีอันหนาลงพื้น ทั่วทั้งหอโบตั๋นคล้ายสั่นสะเทือน จากนั้นแผดเสียงดัง พูดว่า “เจ้ารับไม้พลองนี้ของข้าให้ได้แล้วค่อยว่ากัน”
สิ้นคำ จ้าวหรงเฉิงระเบิดพลังใต้ฝ่าเท้า ชนโต๊ะเก้าอี้ข้างๆ กระจายออก เหมือนหมีดำตัวใหญ่ทะยานตึงตึงเข้ามา พลองเหล็กในมือกวัดแกว่งแยกคลื่นอากาศ ก่อนกลายเป็นแสงดำสายหนึ่งฟาดลงไปทันที
อานุภาพของพลองเหล็กเปรียบได้กับภูเขาถล่ม
เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นกลางอากาศ
จ้าวหรงเฉิงชายผู้นี้มีร่างกายพิเศษ เกิดมาพร้อมกับพลังเหนือธรรมดา เมื่อเข้าสู่ขั้นรวมปราณก็ยิ่งแสดงพลังพรสวรรค์ที่สะพรึงกลัวออกมา จอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงหลายคนล้วนไม่กล้างัดข้อกับหมีดำตัวนี้ซึ่งหน้า
ชายหนุ่มรูปงามคนนั้นกลับยืนนิ่งกับที่ ราวกับตกใจจนทึ่มทื่อไปแล้ว
“คุณชาย ระวัง…” เฝิงหยวนซิงส่งเสียงเตือนอย่างอดไม่ได้
แต่ในตอนนี้เอง ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวพลันยกมือขึ้น ยื่นมือไปโดยไม่แยแสเหมือนคนโง่ แล้วใช้นิ้วทั้งสองหนีบไปยังพลองเหล็กน่าสะพรึงกลัวที่เหมือนทุบทำลายภูเขาได้ ภาพเช่นนี้ทำให้คนมองแทบคลั่ง แต่ขณะที่ทุกคนคิดว่าต่อมาจะเห็นกระดูกแตกหักเลือดสาดกระเซ็น เงาของพลองเหล็กที่ปกคลุมทั่วกลับหายวับไป
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวคีบปลายด้านหนึ่งของพลองเหล็กด้วยสองนิ้วที่เกลี้ยงเกลาดุจหยกขาว
มือของเขากลับปลอดภัยไร้บาดแผล
“เจ้า…” จ้าวหรงเฉิงประมุขพรรคป่าไผ่เปลี่ยนสีหน้า
เขาไม่อาจยอมรับได้ว่าพลองเหล็กที่อัดพลังลงไปอย่างเต็มที่กลับถูกศัตรูรับไว้ได้ง่ายๆ ด้วยสองนิ้วเปล่า
“หลีกไป…” สองแขนของเขาออกแรง เส้นเลือดบนแขนปูดนูนขึ้น เขาคิดจะดึงพลองเหล็กกลับมา แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าปลายด้านหนึ่งของพลองเหมือนถูกเหล็กร้อนหลอมเข้าไปในผนังเหล็กกล้า ไม่ว่าจะออกแรงเท่าใดก็ไม่อาจขยับได้
อาวุธที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดและใช้อยู่ทุกวัน กลับกลายเป็นหนักอึ้งไม่คุ้นเคย
ผู้คนในหอโบตั๋นจำนวนนับไม่ถ้วนต่างตะลึงกับภาพที่เห็น
เหล่ายอดฝีมือพรรคป่าไผ่ที่เย่อหยิ่งต่างเผยสีหน้าเหลือเชื่อ พวกเขารู้ดีว่าประมุขพวกตนมีพลังไม่ธรรมดาอย่างไร เมื่อเหวี่ยงพลองเหล็กนี้ อย่าว่าแต่มนุษย์ผู้หนึ่งเลย แม้แต่ก้อนหินก็ยังถูกทุบเป็นผุยผง แต่ทว่า…
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวหัวเราะลั่น กล่าวกับเฝิงหยวนซิงที่อยู่ข้างหลังว่า “ยืนงงอะไร ประกาศโทษสิ!”
“อา อือ อืม…” เฝิงหยวนซิงจึงค่อยดึงสติกลับมาจากความตกใจ รีบหยิบม้วนหนังสือยาวเหยียดมาจากทหารข้างหลัง เปิดพลิกอยู่หลายหน้าก่อนจะอ่านออกมาเสียงดัง “จ้าวหรงเฉิงประมุขพรรคป่าไผ่และสมาชิกรวมสี่สิบเอ็ดคน เข้าเมืองมาเมื่อวันที่สิบเดือนห้า ทะเลาะวิวาทสิบเก้าครั้ง ทำร้ายผู้อื่นบาดเจ็บยี่สิบสามคน สังหารหกคน ห้าคนในนั้นเป็นคนในยุทธภพ อีกหนึ่งคนเป็นพลเรือนที่อาศัยในเมือง ข่มเหงสตรีสามคน สองคนในนั้นฆ่าตัวตาย อีกหนึ่งคนเสียสติ”
ในตอนแรกเสียงของเขาอยู่ในระดับที่ดังชัด แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงหลังเสียงกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกถ้อยคำดังราวกับระฆัง กังวานชัดเจนในหูของทุกคน
ยิ่งได้ฟังมากเท่าไหร่ ผู้คนในหอโบตั๋นก็ยิ่งตื่นตะลึงมากขึ้นเท่านั้น
ที่แท้หลายวันมานี้ ทางการอำเภอไม่ได้นิ่งนอนใจอยู่เฉยๆ แต่รวบรวมข้อมูลทั้งหมดอย่างเงียบๆ จนครบถ้วน เมื่อมองดูข้อมูลหนาเป็นปึกในมือเฝิงหยวนซิง แม้แต่คนโง่ยังคาดเดาได้ว่าบนนั้นไม่เพียงแต่บันทึกความผิดของพรรคป่าไผ่ไว้ เกรงว่าเหล่าจอมยุทธ์ที่เข้ามาในอำเภอขาวพิสุทธิ์ทุกคนอยู่ในบันทึกกันทั้งสิ้น
“ฟังจบแล้ว เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวบีบพลองเหล็กในสองนิ้วมือ สายตาจ้องมองจ้าวหรงเฉิง
“ย้าก…ข้าจะพูดว่ามารดาเจ้า ข้า…” จ้าวหรงเฉิงหน้าแดงก่ำ ระเบิดเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ทั้งตัวเขาถูกปกคลุมด้วยหมอกสีแดงจางๆ ชั้นหนึ่ง นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการกระตุ้นกำลังภายในถึงขีดสุด เขาพยายามบิดพลองเหล็กอย่างบ้าคลั่งดั่งหมีดำที่โกรธจัด
“จิ๊ๆๆ ช่างหยาบคายนัก”
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวส่ายหัวและสะบัดข้อมือเล็กน้อย
“อั่ก…”
จ้าวหรงเฉิงพ่นเลือดออกจากปาก
เขารู้สึกแต่เพียงพลังที่ไม่สามารถบรรยายได้ไหลทะลักเข้ามา ง่ามนิ้วพลันฉีกออก ไม่ช้าก็ถือพลองเหล็กไม่ได้อีกต่อไป ผิวหนังกล้ามเนื้อตรงข้อมือและแขนบิดเป็นคลื่น ได้ยินเสียงกระดูกแตกร้าวลั่นกรอบแกรบ กระดูกในแขนสองข้างหักเป็นเสี่ยงๆ เนื้อแตกเละแทบกลายเป็นกองเลือด…
ตึง!
เขาลอยออกไปกระแทกโต๊ะข้างหลังล้มคว่ำ จากนั้นชนสมาชิกของพรรคป่าไผ่ราวห้าหกคนจึงค่อยยืนมั่นคงได้
“เจ้า…” สีหน้าจ้าวหรงเฉิงประหวั่นพรั่นพรึง
เขาถึงขั้นลืมความเจ็บปวดจากกระดูกที่แตกหัก มองศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวอย่างเหลือเชื่อ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายเพียงแค่บิดข้อมือเล็กน้อยก็สะบัดเขากระเด็นได้ เหตุใดถึงมีพลังที่น่ากลัวขนาดนี้แฝงอยู่?
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวยิ้มบางๆ กำพลองเหล็กไว้ต่อหน้าทุกคน จากนั้นสองฝ่ามือส่งพลังเล็กน้อย บีบพลองเหล็กหนาจนกลายเป็นกลุ่มก้อนเช่นเดียวกับการนวดเส้นบะหมี่ ก่อนที่สิบนิ้วมือจะออกแรงบีบช้าๆ เหล็กชั้นดีไหลลงมาจากร่องมือเขาทีละก้อนๆ ดุจโคลน
ผู้คนในหอโบตั๋นต่างเงียบกริบราวกับมีคนตาย
รวมทั้งเฝิงหยวนซิงและเหล่าทหารมือปราบทั้งยี่สิบคน ทุกคนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ราวกับวิญญาณถูกดึงออกจากร่าง ยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ ดวงตาเบิกกว้างแทบถลนออกมา
สมาชิกพรรคป่าไผ่หลายคนขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น คิดว่ากำลังเห็นภาพหลอนเสียอีก
สวรรค์ นั่นเป็นถึงเหล็กชั้นดี พลองเหล็กยักษ์ที่มีน้ำหนักมากถูกบดเป็นเหล็กเหมือนบีบนวดโคลน นี่ล้อเล่นกันหรือ? มือของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวคนนี้ทำมาจากอะไร? เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?
………………………….