จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 39 แสงดาบที่ชวนให้ใหลหลง
“ตัวประหลาด ตัวประหลาด…เจ้า…เจ้ามันตัวประหลาด” จ้าวหรงเฉิงวิญญาณหลุดลอย พึมพำเหมือนไม่เต็มเต็งไปแล้ว
เขาเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงเรื่องพละกำลังมหาศาล มีพลังเหนือมนุษย์แต่กำเนิด ย่อมต้องเข้าใจยิ่งกว่าว่าต้องใช้ความแข็งแกร่งทางกายระดับใดในการบีบแท่งเหล็กด้วยมือเปล่าเหมือนก้อนแป้ง นั่นคือความแข็งแกร่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่มีทางครอบครองได้ เขารู้สึกสิ้นหวัง ชายรูปงามที่อยู่ตรงหน้าลึกล้ำเกินกว่าจะคาดเดา เขาไม่มีโอกาสสู้ชนะสักนิด แม้แต่โอกาสจะหลบหนียังไม่มีด้วยซ้ำไป
สายตาที่หวาดเกรงจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปที่ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว
ยอดฝีมือ!
ยอดฝีมือที่แท้จริง!
ชายหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นจอมยุทธ์ตัวจริงที่น่าหวาดหวั่นถึงที่สุด
เกรงว่าเขาไปถึงขั้นรวมจิตแล้วกระมัง?
มีบุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ปรากฏขึ้นในอำเภอขาวพิสุทธิ์ตั้งแต่เมื่อไหร่?
หัวใจของเหล่าชาวยุทธ์ในที่นี้ต่างบีบรัด
“รับไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวงั้นหรือ ช่างเสียเวลาข้านัก ยังไม่ยอมรับอีกว่าตัวเองเป็นเศษขยะ…ดูเหมือนเจ้าคงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวมองไปที่จ้าวหรงเฉิง จากนั้นหันไปกล่าวกับเฝิงหยวนซิงว่า “ตามกฎหมายของจักรวรรดิ ความผิดของพรรคป่าไผ่จะลงโทษอย่างไร?”
“เข่นฆ่าผู้คน ขืนใจสตรี ให้ลงโทษด้วยการตอน สักใบหน้า…”
เฝิงหยวนซิงคืนสติแล้วรีบร้อนพูด
ถึงเวลานี้ ในสายตาที่เขามองศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวมีความยำเกรงอย่างลึกล้ำอยู่แล้ว
ไม่ทราบท่านขุนนางเมืองมาจากสำนักแบบใด เหตุใดในสำนักถึงมีศิษย์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้
“ดี เอาดาบมา” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวยื่นมือมา
ทหารนายหนึ่งก้าวออกมาทันที ชักดาบยาวข้างเอวตนแล้วส่งให้
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวคว้าด้ามดาบยาว สะบัดจนเกิดเสียงดังชัด เกิดเป็นประกายดาบเย็นเยือก ก่อนเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เถ้าแก่เนี้ยที่กอดบุตรสาวของนางซ่อนตัวอยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มพูดขึ้นว่า “พาลูกสาวเจ้ากลับไปที่ห้องครัวก่อนเถอะ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้อาจมีเลือดตกยางออกเล็กน้อย ไม่เหมาะจะให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เห็น”
เถ้าแก่เนี้ยราวกับตื่นขึ้นมาจากความฝัน รีบพาบุตรสาวหนีไปยังห้องครัวด้านหลัง
ในเวลานี้ จ้าวหรงเฉิงประมุขพรรคป่าไผ่รู้ชะตากรรมของตนเองแล้ว ความดุร้ายปรากฏบนใบหน้าที่มีรอยบาก เขาฝืนลุกขึ้นยืนโดยไม่สนความเจ็บ คิดจะจับสองแม่ลูกเป็นตัวประกัน…
ทว่ามีคมดาบสายหนึ่งวาบผ่านไป
ร่างของเขาพลันหยุดนิ่ง แข็งทื่ออยู่กับที่
ความคิดเองก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
ชั่วเวลานั้น ทุกคนในหอโบตั๋นเคลิบเคลิ้มลุ่มหลงราวกับตกอยู่ในความฝัน แสงดาบที่ปรากฏเพียงพริบตานั้นช่างงดงามดุจแสงจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง มีสีสันเหมือนความฝันที่มอมเมาจิตวิญญาณ ช่างสวยงามนัก คล้ายล่อลวงสติและจิตใจของพวกเขาไปแล้ว
นี่คือแสงจากคมดาบแบบใดกัน
เป็นวิชาดาบประเภทใด
เปรียบดั่งอสุนีฟาดผ่า
ผู้คนที่เห็นประกายของดาบล้วนถูกมอมเมาจนยากจะถอนตัว
ใบหน้าของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวปรากฏแววประหลาดใจ ราวกับเขาก็ไม่คาดคิดว่าดาบจะมีพลังขนาดนี้
บนดาบทหารมือปราบที่แสนจะธรรมดาเล่มนี้ไม่มีแม้แต่รอยเลือด
ไม่มีร่องรอยดาบ เลือดสักหยดก็ไม่มี
“ฮ่าๆๆ วิชาดาบดี เมื่อมีดาบอยู่ในมือ ข้าจะใช้มันตัดความอยุติธรรมทั้งหมด…” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวย้อนนึกถึงความรู้สึกช่วงที่ลงดาบนี้ ท้ายที่สุดจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะงอนิ้วดีดตัวดาบเบาๆ
เสียงสั่นไหวจากโลหะดังขึ้น ปลุกคนที่จิตใจถูกมอมเมาให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ของแสงดาบสายนั้น
“วิชาดาบนั่น…”
“เหมือนข้าเห็นแสงดาวตกวิ่งผ่านไป…”
“เหมือนสายฟ้า”
คนส่วนหนึ่งอุทานโดยไม่ได้ตั้งใจ
ส่วนจ้าวหรงเฉิงยังคงแข็งทื่ออยู่กับที่เหมือนโดนสกัดจุด ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
“คนชั่วพรรคป่าไผ่ที่เหลือ พวกเจ้ามีใครยังอยากจะขัดขืนอีกหรือไม่?” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวเลื่อนสายตามามองสมาชิกพรรคคนอื่นๆ
‘บุรุษจอมยุทธ์’ ที่เคยอหังการทะนงตนมาจนถึงเมื่อครู่ ในเวลานี้ตกใจหวาดกลัวจนไม่กล้าก้าวออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น และไม่กล้าสบตากับต้วนสุ่ยหลิว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องขัดขืนต่อสู้เลย ภาพนิ้วทั้งสอง การสะบัดมือ รวมถึงดาบอันน่าสะพรึงปรากฏวนเวียนในห้วงความคิดของพวกเขา ท้ายที่สุดทั้งหมดทรุดตัวลงคุกเข่า ยอมให้จับแต่โดยดี
ฉึบ!
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวพลิกมือซัดไปโดยไม่หันมอง
ดาบยาวเหมือนสายอสุนีมีชีวิต พุ่งกลับไปยังฝักดาบในมือของทหารคนนั้นในพริบตา
“พวกเจ้า…ไปคุมตัวพวกมันให้ข้า”
ชายหนุ่มเหยียดร่างสูงใหญ่ ดุจขุนเขาลูกยักษ์ลุกขึ้น สร้างความกดดันให้ทุกคนเป็นอย่างมาก
ด้านนอกหอโบตั๋น ทหารมือดีหลายร้อยนายของที่ว่าการซึ่งจัดกระบวนพลนานแล้วรีบกรูเข้ามาทันทีที่ได้ยินคำสั่ง จอมยุทธ์ของพรรคป่าไผ่ทุกคนถูกคล้องโซ่เหล็กชั้นดี ส่งเข้ารถขนนักโทษ และถูกนำตัวไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
“มา…ไปหารายต่อไป” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวหมุนตัวเดินออกไปยังนอกโรงเตี๊ยม ท่าทางองอาจผ่าเผยนัก “ข้าต้องรีบทำเวลา ภายในวันนี้ต้องเก็บกวาดผู้กระทำผิดทั้งหมดในอำเภอขาวพิสุทธิ์…ในบันทึกรายต่อไปเป็นใคร?”
เฝิงหยวนซิงพลิกเปิดม้วนเอกสาร กล่าวว่า “คือค่ายลมโชยที่ถนนวารีหวนขอรับ”
“ดี…ไปที่ถนนวารีหวน” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวเดินออกจากบริเวณโถงโรงเตี๊ยม
ทหารมือปราบที่เหลืออีกหลายสิบคนกำลังเก็บกวาดสถานที่
บรรยากาศในหอโบตั๋นค่อยๆ คลี่คลายลงในที่สุด
เหล่าคนที่ไม่ใช่พวกของพรรคป่าไผ่ต่างหน้าซีดและหวาดวิตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำเรื่องเลวร้ายในเมืองในช่วงที่ผ่านมา ในใจมีเพียงความคิดเดียวคือหลบหนีออกจากอำเภอขาวพิสุทธิ์โดยเร็วที่สุด ไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ไกลเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการเผชิญหน้าเทพปีศาจอย่างศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวอีก
“เถ้าแก่เนี้ย เงินค่ากินดื่มที่พรรคป่าไผ่ติดค้างเจ้าทั้งหมด ให้ไปเอาที่ที่ว่าการอำเภอในวันพรุ่งนี้” หัวหน้ามือปราบผู้หนึ่งพูดด้วยสีหน้ายินดียิ่ง
ถึงอย่างไรคนพรรคป่าไผ่ก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของท่านขุนนางเมืองแล้ว คงจะถูกเค้นความผิดจนไม่เหลือซาก กลยุทธ์พวกนี้ล้วนมาจากท่านขุนนางเมืองที่วางแผนไว้อย่างดีแล้วก่อนจะส่งทหารออกมา
“ขอบพระคุณใต้เท้า ขอบคุณทุกท่านเจ้าค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยออกมาจากห้องครัวด้านหลังในสภาพที่ยังคงหวาดกลัวอยู่ และโค้งคำนับขอบคุณติดต่อกัน
มีเพียงเผชิญความสิ้นหวังหวาดกลัวยามที่ชีวิตและครอบครัวถูกคุกคามในช่วงกลียุคเท่านั้น เราจึงจะตระหนักว่าความรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงที่ได้คืนกลับมานั้นสำคัญมากเพียงใด
นี่คือผู้รอดจากหายนะโดยแท้จริง
“อยากขอบคุณ ก็ไปขอบคุณท่านขุนนางเมืองผู้ผดุงความยุติธรรมเถอะ” หัวหน้ามือปราบผู้นั้นยิ้มเอ่ย
กล่าวตามตรง ทุกวันนี้ภายใต้การปกครองของหลี่มู่ แม้ว่าเขามิค่อยเข้ามาบริหารจัดการบ้านเมืองและไม่ยุ่งเกี่ยวกับการทหาร ทว่าการพัฒนาในทุกด้านสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เบี้ยเลี้ยงทหารและค่าสิ่งของที่ค้างชำระมาตลอดก็ถูกจ่ายอย่างทันท่วงที หนี้ค้างชำระก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็ได้รับครบเต็มจำนวน ทหารทุกคนต่างรู้สึกซาบซึ้งและสนับสนุนการบริหารรูปแบบใหม่นี้
จะอย่างไรในสภาพสังคมเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ยอมเสี่ยงเข้าร่วมกองทัพเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวกันทั้งนั้น
“เอาละ คุมตัวพวกมันไปยังห้องขังให้หมด” หัวหน้ามือปราบเอ่ยสั่งเสียงดัง
นายทหารผู้หนึ่งถือโซ่ตรวน พันธนาการร่างของประมุขพรรคป่าไผ่ที่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวเกิดขึ้น เมื่อทหารคนนั้นสัมผัสร่างกายเขาก็ได้ยินเสียงดังตุ้บ ศีรษะของจ้าวหรงเฉิงร่วงลงพื้นกลิ้งหลุนๆ ทันทีโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า รอยแผลเรียบเหมือนกระจกปรากฏที่คอ
ยามนี้เอง เลือดจึงค่อยพุ่งกระฉูดออกมาจากบาดแผล
ถึงตอนนี้ทุกคนถึงเพิ่งกระจ่างแจ้ง ศีรษะจ้าวหรงเฉิงถูกตัดขาดพร้อมกับชีวิตของเขาด้วยประกายดาบที่ชวนฝันเมื่อครู่นี้แล้ว
ดาบนั้นต้องรวดเร็วถึงเพียงไหน จึงสามารถบั่นคอยอดฝีมือขั้นรวมปราณผู้หนึ่งได้โดยที่ศีรษะยังค้างอยู่กับที่ ซ้ำยังไร้ซึ่งโลหิต?
“จอมมารถือกำเนิดขึ้นแล้ว หากมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นต้องมีการนองเลือดเป็นแน่”
จอมยุทธ์ชราผู้หนึ่งกล่าวกับตนเองเบาๆ
…….
ถนนวารีหวน
เฝิงหยวนซิงถือม้วนบันทึก กำลังส่งเสียงอ่านประกาศเสียงดัง
“จากที่กล่าวมา ความผิดที่ค่ายลมโชยได้กระทำตั้งแต่เข้าเมืองมาหกวัน ตามข้อบัญญัติกฎหมายของจักรวรรดิ หัวหน้าของค่ายลมโชยต้องถูกลงทัณฑ์โดยการตัดร่าง ผู้ดูแลสี่ ห้า และเจ็ดต้องโทษบั่นศีรษะ สิบหกคนต้องถูกเนรเทศออกไปสามพันลี้ สมาชิกอีกห้าสิบสี่คนที่เหลือต้องโทษโบยหลังสามสิบไม้…”
บนถนนวารีหวน มีชาวยุทธ์มากมายมารวมตัวกันที่นี่
คนของค่ายลมโชยระเบิดเสียงหัวเราะ มองเฝิงหยวนซิงที่กำลังประกาศคำพิพากษาราวกับกำลังดูตัวตลกซึ่งแสดงบทบาทสุดความสามารถ
พวกเขามีทั้งหมดเจ็ดสิบสี่คน นำโดยอู่เฟยหลง ผู้ดูแลสี่ ห้า เจ็ดทั้งสามคน และยังมีลิ่วล้ออีกเจ็ดสิบคน จัดได้ว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง ทุกคนเป็นสมาชิกมีฝีมือที่ได้รับการคัดเลือกมาจากค่ายลมโชย ช่วงที่ผ่านมานับว่ามีชื่อเสียงบ้างแล้วในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ซึ่งเป็นศูนย์รวมยอดฝีมือ อำเภอขาวพิสุทธิ์ในตอนนี้กลายเป็นเมืองที่ภูตผีปีศาจอาละวาด ทางการเสื่อมอำนาจ เหล่าชาวยุทธ์มีชัยเหนือกว่า
คนพวกนี้จึงไม่กลัวเกรงเจ้าหน้าที่ของทางการเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้มีคนมองออกแล้วว่าผู้อ่านประกาศคือนายทะเบียนเฝิงหยวนซิง หนึ่งในบุคคลชั้นนำของที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์ แต่แล้วจะอย่างไร ก็แค่ขยะที่สำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้าขับไล่ออกมามิใช่หรือ
“อ้อ นายทะเบียนงั้นหรือ? เจ้าอ่านจบแล้วใช่หรือไม่” อู่เฟยหลงหัวหน้าโจรผู้น้อยแสดงสีหน้าไร้อารมณ์
ปีนี้เขาอายุยี่สิบห้า เมื่ออายุสิบขวบก็เริ่มติดตามบิดาเข่นฆ่าปล้นชิงผู้คน เรียกได้ว่าเป็นคนใจเหี้ยมที่ฆ่าคนไม่กะพริบตา ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน เขาจงใจหัวเราะและเอ่ยสัพยอกเฝิงหยวนซิง “อ่านจบแล้วก็จงไสหัวไป ฮ่าๆ ขยะอย่างพวกเจ้าทำได้แค่เอากฎหมายมาข่มขู่คนเท่านั้นแหละ ฮ่าๆๆ กฎหมายจักรวรรดิผูกมัดพวกเราเหล่าชาวยุทธ์ได้เสียที่ไหน…”
“ฮ่าๆๆ!”
“เจ้านี่มันสุนัขของทางการที่ถูกสองพรรคใหญ่ขับไล่นี่…”
“ถ้าเจ้าไม่สวมเครื่องแบบ ข้าควักหัวใจของเจ้าออกมากินแกล้มเหล้านานแล้ว”
“หึๆ จะว่าไป อำเภอขาวพิสุทธิ์นี้มีทิวทัศน์งดงาม ผู้คนถูกขุนจนอ้วนท้วน หัวใจนุ่มเนื้อแน่น เคี้ยวแล้วกรุบกรอบ กระชุ่มกระชวยนัก”
ลิ่วล้อกลุ่มนั้นหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน
“เฮ้อ ข้าละอิจฉาพวกเจ้าจริงๆ” เสียงมีชีวิตชีวาดังขึ้น ศิษย์พี่ต้วนสุ่ยหลิวที่ตลอดเวลานั่งอยู่บนเก้าอี้มีพนักซึ่งทหารแบกมายืนขึ้นเอ่ย “การที่ยังหัวเราะอย่างมีความสุขก่อนตายได้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแสนสุขยามที่ไร้สมองเช่นกัน”
ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าสามก้าว แล้วพลิกมือยื่นไปข้างหลัง “นำดาบมา”
หัวหน้าทหารมือปราบรีบก้าวไป สองมือส่งดาบคาดเอวให้
……………………….