จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 42 คุณชายน้อย·สำนัก
สามจักรวรรดิและสำนักเทพทั้งเก้าร่วมกันจัดตั้งหน่วยพิพากษาขึ้นเพื่อจัดการข้อพิพาทระหว่างทางการกับเหล่าคนในยุทธภพโดยเฉพาะ ครั้งหนึ่งเรียกได้ว่ามีอิทธิพลทั้งแปดทิศ จอมยุทธ์ทุกคนบนแผ่นดินใหญ่เสินโจวต่างหน้าเปลี่ยนสีหลังจากได้ยินชื่อนี้ กลุ่มขนาดย่อมมากมายถูกปราบปรามจนไม่กล้าก่อเรื่อง และมักมีการทำลายสำนักอยู่บ่อยครั้ง แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวของหน่วยพิพากษานี้น้อยลงทุกที ข่าวลือว่ากันว่าหน่วยพิเศษนี้เกิดการขัดแย้งภายใน จึงทุ่มเทกำลังและแรงใจกับปัญหาที่ว่า ทำให้กองกำลังขนาดเล็กจำนวนมากเริ่มฟื้นตัวกลับมา
เมื่อเฝิงหยวนซิงยังเยาว์วัย เขาทุ่มความสนใจให้หนังสือและบทกวี ทั้งยังศึกษาเรื่องราวในยุทธภพอีกเล็กน้อย เขานับเป็นคนมีความสามารถ โชคไม่ดีที่เกิดมาฐานะต่ำต้อย ไม่อาจปีนป่ายถึงตำแหน่งสูงๆ ได้เป็นนายทะเบียนของอำเภอหนึ่งก็ถึงที่สุดแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเขาปรับตัวตามกระแสน้ำ ค่อยๆ เข้าร่วมกับพวกโจวอู่และเจิ้งหลงซิง คนหนุ่มที่เชื่อมั่นว่าจะ ‘สอบติดขุนนางและมีอนาคตไกล’ ในปีนั้น กลายเป็นชายวัยกลางคนจิตใจเหี้ยมโหดไปแล้ว กลางดึกที่เงียบสงัด เขาเคยรู้สึกเศร้าโศกและละอายใจอย่างมาก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดและเพราะเหตุใด เขาถึงกลายเป็นคนจำพวกที่ตัวเขาในวัยรุ่งโรจน์รังเกียจมากที่สุดไปได้
“บางทีอาจถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว ล่องลอยไปตามกระแสน้ำอย่างไรก็ดีกว่าฝืนทวนมัน”
เฝิงหยวนซิงทอดถอนใจอยู่ข้างใน
เขาติดตามศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวจนกลับไปถึงที่ว่าการอำเภอ
“ข้าต้องการพักผ่อน อย่ามารบกวนข้าจนถึงพรุ่งนี้เช้า”
ทันทีที่กลับมาถึงที่ว่าการอำเภอ ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวก็กล่าวหนึ่งประโยคแล้วหายตัวไปด้านหลังที่ว่าการ
ในห้องโถงหลักของที่ว่าการส่วนหน้า
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง
ส่วนหมิงเยวี่ยกลับกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี นางเฝ้าดูวีรกรรมของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวตั้งแต่ต้นจนจบ สำหรับคนชอบชมเรื่องสนุกไม่ว่าเล็กหรือใหญ่อย่างนาง เหตุการณ์วันนี้ถึงอกถึงใจนัก
“หวังว่าศิษย์พี่ใหญ่จะได้เปิดฉากสังหารอีกในวันพรุ่งนี้ ข้าอยากบูชาเขาเสียเหลือเกิน” ดวงตาของเด็กน้อยผู้โง่งมและชื่นชอบความรุนแรงมีดวงดาววิบวับ
“คาดว่าน่าจะมีชาวยุทธ์ที่ยังอยู่ในเมืองวันพรุ่งนี้น้อยลงกว่าครึ่ง” ชิงเฟิงนวดขมับ กล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างผู้ใหญ่ “ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวไม่ได้ต้องการกำจัดให้สิ้นจริงๆ หรอก เขาล่าสังหารในวันนี้ก็แค่จะคุกคามข่มขู่ให้ตกใจกลัว พวกจอมยุทธ์ที่กระทำความผิดไว้ต้องเป็นวัวสันหลังหวะ วิ่งหนีไปเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่ายเป็นแน่ พรุ่งนี้คงหนีหายไปจนหมด”
“หืม? ไม่หรอกกระมัง?” หมิงเยวี่ยรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ได้ยิน กล่าวว่า “พวกมันจะหายไปหมด? ศิษย์พี่ใหญ่จะปล่อยให้คนเลวเหล่านั้นหนีไปได้อย่างไร?”
“คนชั่วในยุทธภพก็เหมือนต้นกุยช่ายในท้องทุ่ง ถ้าเจ้าตัดมากอหนึ่ง อีกกอหนึ่งก็จะเติบโตขึ้นมาอีก ไม่มีวันถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์” เฝิงหยวนซิงคิดถึงบางสิ่ง ก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่อยู่ “นอกจากนี้ในยุทธภพล้วนถือหางพรรคพวกตนมาแต่ไหนแต่ไร การสังหารคนคนหนึ่งอาจยั่วยุอาจารย์และบรรดาญาติมิตรของคนคนนั้น เท่ากับมีปัญหาตามมาอีกพรวน จะฆ่ากันจบสิ้นได้ที่ไหน”
หมิงเยวี่ยได้ยินแล้วกลับมีประกายแน่วแน่ฉายวาบในดวงตาฉ่ำน้ำคู่งาม “ยั่วยุคนเป็นกลุ่มจะกลัวอะไร ตราบใดที่พวกมันเป็นคนเลว แค่ฆ่าทิ้งให้หมดก็พอแล้วมิใช่หรือ?”
เฝิงหยวนซิงยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
สิ่งเหล่านี้ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่โง่เขลาคนนี้เข้าใจ
หมิงเยวี่ยจับคางของตนพลางพูดขึ้นด้วยความผิดหวัง “เฮ้อ..ช่างน่าเสียดายจริงๆ! พรุ่งนี้ข้ายังอยากชมเรื่องตื่นเต้นอีก หลังจากนี้ก็ไม่มีเรื่องสนุกแล้วสิ”
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากประตูข้างของห้องโถงหลัก “แม่เด็กโง่ที่กลัวแต่ว่าโลกจะไม่โกลาหล เจ้าอยากเห็นเรื่องตื่นเต้นอะไรอีก”
นั่นเป็นเสียงของหลี่มู่
จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาทางประตูข้าง
“คุณชาย ท่านยุติการเก็บตัวแล้ว?” หมิงเยวี่ยกระโดดโลดเต้นขึ้นมาทันที ถามว่า “ทำไมครั้งนี้ถึงเร็วนัก”
“ข้าแค่หิวนิดหน่อยน่ะ” หลี่มู่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
สายตาของเขามองไปที่เฝิงหยวนซิงแล้วถามว่า “ในเมืองเกิดอะไรขึ้นบ้าง ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
เฝิงหยวนซิงไม่กล้าละเลย เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟัง
หลี่มู่พยักหน้าและกล่าวอย่างพอใจ “อืม…วิชาดาบของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวยังคงไร้เทียมทานเหมือนเคย ฮ่าๆๆ…ได้ความช่วยเหลือของศิษย์พี่ ตอนนี้ข้าก็วางใจเก็บตัวฝึกฝนวิชาได้แล้ว”
“ข้าเกรงว่าเรื่องราวจะไม่ราบรื่นดังที่คิด” ชิงเฟิงที่กำลังนวดขมับเปิดปากช้าๆ เอ่ยราวกับเป็นผู้ใหญ่ว่า “คุณชาย แม้ว่าวันนี้ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวจะข่มขวัญคนบางกลุ่มแล้ว ทว่าก็ไม่อาจได้ผลกับทุกคน ดังเช่นสำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้า ศึกในวันพรุ่งนี้เป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยง ทั้งยังมี ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวจากค่ายลมโชยอีก ด้วยลักษณะนิสัยของเขา หากได้ยินเรื่องการตายอนาถของบุตรชาย จะต้องพาพวกบุกมาสู้ตัดสินให้ตายตกไปตามกันแน่ พรุ่งนี้จะเกิดปัญหามากขึ้น การใช้ความรุนแรงปะทะความรุนแรงนั้นมิใช่วิธีที่ดีที่สุด จะต้องใช้ปัญญานะขอรับ”
หลี่มู่มองเด็กชายรับใช้บัณฑิตด้วยความประหลาดใจมาก ก่อนจุปากเอ่ยอย่างทึ่งๆ “เด็กน้อยผู้นี้ เจ้ายังอายุไม่ถึงสิบขวบดี ทำไมคิดวิเคราะห์รู้ความได้ถึงเพียงนี้? นิสัยของ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อะไรนั่นเจ้าก็วิเคราะห์ได้อีก?”
“คุณชายน้อยเกิดมาปราดเปรื่อง ฉลาดรอบรู้ คิดอ่านเป็นระบบ มีพรสวรรค์ด้านการทหาร แม้แต่ข้าน้อยเองก็รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้” เฝิงหยวนซิงที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ตระหนี่คำประจบประแจง กล่าวขึ้นอย่างเรียบง่ายและไม่ประดิษฐ์ประดอย
พูดจบก็กล่าวต่อไปว่า “หลายวันมานี้คุณชายน้อยนั่งตำแหน่งผู้นำของที่ว่าการ เขารวบรวมข้อมูลจากทุกทาง ทั้งยังศึกษาเรื่องยอดฝีมือในยุทธภพกับกลุ่มอิทธิพลที่น่าจับตามองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ได้ข้อมูลมาครบถ้วนหลายอย่าง ใต้เท้ามีเด็กเปี่ยมพรสวรรค์และรอบรู้เช่นนี้อยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือสุดความสามารถ เปรียบได้กับเป็นพยัคฆ์ติดปีกจริงๆ”
หลี่มู่หัวเราะพลางยกมือเขกหัวชิงเฟิงทีหนึ่ง “เป็นเด็กตัวน้อยคนหนึ่ง วันๆ เอาแต่คิดมากมายอย่างนี้ ไม่กลัวจะแก่เกินวัยหรือ”
ชิงเฟิงยกมือลูบศีรษะ เจ็บจนกัดฟันแน่น
เมื่อเห็นสีหน้าของเด็กชาย หลี่มู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่คิดอะไรมาก “เจ้าดู…ปฏิกิริยาแบบนี้ค่อยเหมือนเด็กอายุน้อยกว่าสิบปีหน่อย มิฉะนั้นข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นปีศาจจริงๆ…จะว่าไป ข้าเคยคิดมาตลอดว่าข้างตัวข้ามีเพียงปีศาจชื่อหมิงเยวี่ย ตอนนี้ดูเหมือนปีศาจที่แท้จริงจะไม่ใช่หมิงเยวี่ยเสียแล้ว แต่เป็นใต้เท้าน้อยผู้นี้ต่างหาก”
หมิงเยวี่ยหัวเราะอย่างมีความสุขในความทุกข์คนอื่น
นางมักจะถูกหลี่มู่เขกศีรษะเสมอ ในที่สุดวันนี้ชิงเฟิงก็โดนบ้างแล้ว ทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
เฝิงหยวนซิงนิ่งเงียบอย่างรู้ความยิ่ง
เขามองออกว่านี่เป็นเพียงวิธีการสื่อสารที่พิเศษจำเพาะระหว่างขุนนางเมืองกับเด็กรับใช้บัณฑิตสองคน ยิ่งแสดงให้เห็นชัดถึงความสนิทสนมไว้ใจซึ่งกันและกัน
ชิงเฟิงขมวดคิ้วนิ่วหน้าเอ่ย “คุณชายขอรับ ต้องระวังสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ พรรคมังกรฟ้า และค่ายลมโชยไว้ให้ดี โดยเฉพาะกลุ่มหลังสุด” เขารู้สึกใจสลายเพราะคุณชายที่เหลาะแหละไม่เอาการเอางานของตนจริงๆ
เฝิงหยวนซิงยังกล่าวอีกว่า “ใต้เท้า คุณชายน้อยกล่าวได้ถูกต้อง หากคนบ้าค่ายลมโชยพาพรรคพวกบุกเข้ามาในเขตเมืองจริงต้องเกิดหายนะขึ้นอย่างแน่นอน ผู้คนจะบาดเจ็บล้มตาย ทั้งยังจะกระทบชื่อเสียงและผลงานของใต้เท้าอีกด้วย”
หลี่มู่เบะปาก พูดในใจว่าฉันเป็นคนจากอีกดาว จะต้องการผลงานทำบ้าอะไร
อย่างไรก็ตาม พลเรือนที่อาศัยอยู่ในเมืองบริสุทธิ์อย่างแท้จริง หลี่มู่รู้ดีว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดจากตนเอง ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ ความรับผิดชอบที่เขาต้องแบกรับก็ต้องทำไปให้ถึงที่สุด
“ระยะทางจากค่ายลมโชยมาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ไกลแค่ไหน?” หลี่มู่ถาม
เด็กชายรับใช้บัณฑิตตอบอย่างไม่ลังเล “ค่ายลมโชยตั้งอยู่ในเขาลมโชยซึ่งเป็นสาขาของเขาขาวพิสุทธิ์ ห่างจากเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์สามร้อยลี้ แม้ว่าเส้นทางจะขรุขระ แต่ม้ายังวิ่งได้ ถ้าการคำนวณของข้าถูกต้อง ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวจะได้รับข่าวช้าสุดคืนนี้ ขณะที่โทสะครอบงำจิตใจ เขาจะเร่งเดินทางข้ามคืนโดยไม่สนใจกำลังของม้า และนำกำลังคนมาถึงเมืองพรุ่งนี้แต่เช้าตรู่”
“นำกำลังคนมาถึงเมือง? ในค่ายลมโชยมีกองกำลังอยู่กี่คน?” หลี่มู่เอ่ยปากถาม
“มีเพียงทหารม้าเท่านั้นที่จะมาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้ได้ ค่ายลมโชยมีทหารม้าหกร้อยนาย เป็นทหารชั้นยอดทั้งสิ้น” เด็กรับใช้ตอบ
เห็นได้ว่าเด็กชายได้ตระเตรียมข้อมูลไว้จริง อีกทั้งยังสามารถคำนวณปัจจัยที่เป็นไปได้ทั้งหมด เขาคาดการณ์ระยะเวลา เส้นทาง และกำลังทหารที่ค่ายลมโชยจะมาโจมตีเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้อย่างแม่นยำ สิ่งเหล่านี้คือทุกอย่างที่กุนซือเข้าขั้นผู้หนึ่งจะทำได้แล้ว
‘มารดามันเถอะ เจ้าเด็กนี่มันปีศาจจริงๆ ด้วย’
หลี่มู่ด่าอยู่ในใจ เจ้าหลี่มู่ในโลกนี้ไปเก็บเด็กประหลาดสองคนนี้มาจากที่ไหนกัน?
“ใต้เท้า ถ้าตั้งรับอยู่ในเมือง เรายังสามารถตั้งรับได้สักพัก แต่ในเมืองมีชาวยุทธ์มากมาย เกรงว่าถึงเวลานั้นจะร่วมตีขนาบทั้งด้านในด้านนอก…” เฝิงหยวนซิงเอ่ยด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง
แต่ก่อนที่เฝิงหยวนซิงจะพูดจบ หลี่มู่ก็ขัดจังหวะโดยพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป ข้าแจ้งเรื่องนี้กับทางสำนักเรียบร้อยแล้ว จะมีคนไปรับมือกับ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อะไรนั่น และกองกำลังของค่ายลมโชยก็บุกมาไม่ถึงเมืองแน่ พรุ่งนี้ให้ศิษย์พี่ใหญ่ออกไปกำจัดสำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้าก็พอแล้ว”
ในระหว่างที่พูด มีข้ารับใช้นำอาหารที่เตรียมไว้มาจัดเรียงบนโต๊ะ เป็นกับข้าวหกจานและน้ำแกงหนึ่งชาม อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก
หมิงเยวี่ยร้องอย่างยินดี จากนั้นรีบพุ่งตรงไปที่โต๊ะอาหาร
“อ๊ะ? ช้าก่อน….เหลือให้ข้าบ้าง…” หลี่มู่ก็รีบพุ่งเข้าไปเช่นกัน
เด็กชายรับใช้บัณฑิตเปลี่ยนสีหน้าทันใด เมื่อเขานึกถึงท่าทางกินเรียบไม่เหลือของทั้งสองก็เลิกสงวนท่าที กระโจนเข้าไปเช่นเดียวกัน
เฝิงหยวนซิงยืนอยู่ที่เดิมอย่างหมดคำพูด
หนึ่งหนุ่มสองเด็ก คนพิเศษสามคน
แค่กินข้าวเท่านั้น จะยื้อแย่งกันไปทำไม
ใช่ว่ากินหมดมื้อนี้แล้วจะไม่มีกินอีกเสียหน่อย
แต่สำนักของใต้เท้าขุนนางเมืองมีภูมิหลังอย่างไรกันแน่ ก่อนหน้านี้มีศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวที่อาละวาดไปสี่ทิศ ยามนี้แม้แต่ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวกับทหารม้าหกร้อยนายจากค่ายลมโชยก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา หรือว่าเขาเป็นคนสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์? ไม่ถูกต้อง สำนักนี้ขึ้นชื่อเรื่องวิชากระบี่ แต่ไรมาศิษย์ในสำนักไม่เคยฝึกวิชาดาบนี่
……
“สำนัก? ฮ่าๆ ตัวข้าคนเดียวก็นับเป็นสำนักแล้วละ”
ในห้องฝึกยุทธ์
หลี่มู่หัวเราะเหมือนทำแผนชั่วสำเร็จอยู่หน้ากระจก
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวย่อมเป็นตัวตนที่เขาสร้างขึ้นอยู่แล้ว
การฝึกฝนพิสูจน์ให้เห็น หลังจากเชื่อมหมัดยุทธ์แท้ท่าที่หนึ่ง ‘ค้อนทะยานฟ้า’ และท่าที่สอง ‘ลิ่มสวรรค์’ เข้าด้วยกัน การควบคุมกล้ามเนื้อและกระดูกของร่างกายก็ไปถึงขั้นเหนือกว่าคนทั่วไป เขาใช้วิธีใหม่ที่สร้างขึ้นนี้ฝึก ‘ยอดวิชาเปลี่ยนร่างย้ายกล้ามเนื้อแปรกระดูก’ จนสำเร็จ สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง ถึงขั้นส่วนสูงและขนาดตัวยังเปลี่ยนได้ ด้วยเหตุนี้ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวจึงถือกำเนิดขึ้น
…………………………………..