จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 46 พลังของศรเทพ
ฝีมือยิงธนูของหลี่มู่เหนือกว่าฝีมือธนูล่าสัตว์หม่าจวินอู่ ตอนนี้ศิษย์ล้ำหน้าเหนือกว่าอาจารย์แล้ว
ธนูล่าสัตว์ดอกแรกที่ยิงออกไปสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เรียกได้กระทั่งว่าเป็นธนูสังหาร
ใต้แสงจันทรายามราตรี จิตวิญญาณของหลี่มู่ผสานเป็นหนึ่ง พลังโคจรอยู่ในร่างกาย
กระดูกสันหลังของเขาปลดปล่อยพลังปะทะออกมาราวกับมังกร พลังที่แข็งแกร่งทะลักออกมาจากแขนทั้งสองข้าง ธนูสีเงินถูกง้างออกหนึ่งในสามแล้วอย่างเงียบงัน นี่เป็นระดับมากที่สุดเท่าที่เขาง้างสายธนูได้ จากนั้นนิ้วมือก็ปล่อยออก ลูกศรเขี้ยวหมาป่าแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าดำมืดฉีกแยกท้องฟ้ายามราตรี
……
บนถนนภูเขา
อู่เปียวควบพาหนะตะบึงไปอย่างบ้าคลั่ง
จิตสังหารและความโกรธแค้นในใจของเขาลุกไหม้ดุจไฟอันร้อนแรง ราวกับจะแผดเผาให้ทุกสิ่งสูญสิ้นอย่างไรอย่างนั้น
บุตรชายตายแล้ว
สายเลือดของเขาสิ้นสุดลงแล้ว
ถึงแม้ไม่กี่ปีมานี้เขาฉุดสาวงามมาไม่น้อย ฮูหยินโจรในค่ายลมโชยมีหลายสิบคน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไร อย่างไรก็ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้แม้แต่คนเดียว เขาจึงฝากความหวังสูงสุดไว้กับอู่เฟยหลงบุตรชายคนเดียวของตน สามารถพูดได้กระทั่งว่าเป็นหนึ่งในสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
แต่คิดไม่ถึงว่าบุตรชายคนสำคัญกลับตายอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีอันตรายอะไรแม้แต่น้อยแห่งหนึ่ง
อู่เปียวในเวลานี้ก็เหมือนกับภูเขาไฟที่อัดอั้นถึงขีดสุดจวนเจียนจะระเบิดออกมาเต็มที
ไฟแห่งโทสะนั้นปะทุออกมาเมื่อใด จะทำลายทุกแห่งหนให้ราพณาสูร
เขาอยากจะสังหารล้างบางเต็มที แทบจะรอให้ถึงเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ไม่ไหวแล้ว
เบื้องหน้าเห็นทางแยกฮั่นอยู่ลิบๆ
“ใกล้แล้ว ผ่านทางนี้ไปไม่ไกลก็เป็นเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้ว อาศัยช่วงกลางคืนบุกเข้าไปเผาฆ่าปล้นชิง เปลี่ยนให้ทั้งเมืองกลายเป็นนรกอสุรภูมิ สัตว์ใดๆ ก็ไม่ละเว้นไว้ ให้เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ หัวและตัวของทุกคนต้องแยกออกจากกัน พวกมันต้องตายตกไปพร้อมกับลูกชายข้า…ลูกเอ๋ย ให้พวกมันไปคุกเข่าสำนึกผิดกับเจ้าในนรกเถอะ”
อู่เปียวตั้งใจเด็ดเดี่ยว
แต่ในตอนนี้เอง สังหรณ์อันตรายที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุพลันทะลักล้นในใจของเขา
ความรู้สึกอันตรายที่น่าประหลาดปกคลุมเขาเอาไว้
‘แย่แล้ว…’
ในใจของเขาร้องลั่น ดาบพิชิตอาชาสีเลือดที่กำอยู่ในมือวาดฟันออกไปตามสัญชาตญาณ
บึ้ม!
สะเก็ดไฟระเบิดออกทันทีท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
ประกายไฟสาดกระจาย
ดาบยักษ์ฟันโดนอะไรบางอย่าง เศษเหล็กแตกกระจัดกระจาย เสียงครืนครานน่าสะพรึงกลัวดังขึ้นอย่างฉับพลัน
เสียงสนั่นหวั่นไหวก้องไปทั่วสามสี่สิบลี้
อู่เปียวรู้สึกเพียงว่าแขนทั้งสองสั่นสะท้าน บริเวณหูโข่ว[1]ร้อนวาบ ถึงแม้เขาจะโคจรกำลังภายในอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็เหมือนร่างกายยังคงลอยคว้างไปข้างหลังอย่างควบคุมไม่ได้ ส่วน ‘เสือดำลายเบญจมาศ’ ใต้ร่างส่งเสียงครวญคราง ท่ากระโจนหน้าชะงักค้าง กระเด็นโซซัดโซเซไปข้างหลัง
ตูม ตูม ตูม!
กองทหารม้าโลหิตไม่ทันตั้งตัว ได้รับความเสียหายมหาศาลทันที
ร่างราวเจดีย์เหล็กของอู่เปียวลอยกลับมา กระแทกเข้ากับม้าศึกตัวแรก
ได้ยินเสียงกระดูกแตกกรอบๆ ดังมาทันที
ม้าศึกและคนที่อยู่บนหลังม้าตัวระเบิดออกเป็นชิ้นเหมือนเศษเนื้อเละๆ
ร่างของอู่เปียวก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกระเด็นไปข้างหลัง ชนม้าศึกสี่ตัวและจอมยุทธ์ค่ายลมโชยสามคนตายติดๆ กันจึงจะร่วงถึงพื้น โซเซถอยหลังไปสี่ห้าก้าว ทิ้งรอยเท้าจมลึกสิบก้าวไว้บนหินผาถึงค่อยตั้งตัวได้
“ศัตรูโจมตี!”
“มีกับดัก”
“หยุดม้า เร่งป้องกัน!”
เสียงตะโกนตกใจลนลานดังรับกันเป็นช่วงๆ
กองทหารม้าโลหิตถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือของค่ายลมโชย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแค่โจรเท่านั้น ไม่ใช่กองกำลังทหารตามมาตรฐาน ประกอบกับก่อนหน้านี้ควบทะยานมาหลายสิบลี้อย่างบ้าคลั่งโดยไม่เสียดายกำลังม้า ทำให้เสียกำลังไปส่วนหนึ่ง ในตอนนี้พลังลดลงมาก จู่ๆ ถูกลอบโจมตีอย่างน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ จะไม่แตกตื่นวุ่นวายได้อย่างไร
เสี้ยวขณะที่อู่เปียวแตะพื้น ร่างกายชะงักไปเล็กน้อย พลังปราณภายในที่แข็งแกร่งโคจรจนถึงขีดสูงสุด
กำลังภายในถูกปลดปล่อยออกมา
พลังแสงสีแดงสดพันล้อมรอบกาย ราวกับเปลวไฟที่ลุกไหม้อย่างไรอย่างนั้น
เขากำดาบพิชิตอาชาเล่มใหญ่ยักษ์เอาไว้ สีหน้าราบเรียบดุจน้ำนิ่ง คำรามอย่างโกรธแค้น
“เจ้าหนูสกปรกจากที่ไหนมาทำตัวลับๆ ล่อๆ แอบซุ่มยิง ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก”
เสียงประดุจเหล็กและหินกระทบก้องแผ่มาด้วยคลื่นกำลังภายในที่ไร้เทียมทาน โหมซัดไปยังป่าลึกที่ดวงจันทร์สองดวงลอยเด่นราวกับคลื่นคลั่งกระทบโขดหิน สะเทือนจนต้นไม้โดยรอบล้มครืน ใบไม้ปลิวว่อน หินผาสั่นไหว พลังของเขาชวนให้คนหวาดกลัวยิ่งนัก
ทั่วรัศมีหลายลี้ หมู่นกมากมายนับไม่ถ้วนบินแตกตื่นหนีไป
เพียงชั่วพริบตาที่รวดเร็วยิ่งเมื่อครู่ อู่เปียวพิจารณาได้แค่ว่าพลังอันน่าหวาดหวั่นที่ลอบโจมตีตนเองคือธนูดอกหนึ่ง
แต่ลูกธนูที่แฝงพลังน่าสะพรึงดอกนี้ยิงมาจากทิศทางใดกันแน่ เขาไม่สามารถจับทางได้เลย
ในราตรีอันมืดมิด สายลมหวีดหวิว
เงามืดรอบบริเวณเต็มไปด้วยจิตสังหารนับไม่ถ้วน
ชั่วขณะนี้ ชื่อนักธนูยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดสามสี่คนในบริเวณหลายร้อยลี้ลอยขึ้นมาในหัวของอู่เปียว แต่เขาก็ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
เพราะนักธนูยอดฝีมือที่เขารู้จักพวกนี้ไม่มีทางยิงธนูสะเทือนเลื่อนลั่นเช่นเมื่อครู่ได้แน่นอน
อานุภาพของธนูดอกนั้นทำให้เขารู้สึกถึงความกลัวที่น่าขนพองสยองเกล้าเช่นกัน
หากไม่ใช่ว่าอู่เปียวบรรลุถึงขีดสูงสุดของขั้นรวมจิต ไปถึงจุดหักเหขั้นที่สูงยิ่งกว่า จนเกิดสัมผัสเหนือมนุษย์ รับรู้อันตรายได้ล่วงหน้าในชั่วพริบตา มิฉะนั้นถ้าถูกธนูดอกนี้ยิงเข้า เขาจะต้องกลายเป็นเศษเนื้อกลางกองเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่คือความเป็นตายในพริบตาอย่างแท้จริง
ยามนี้ ในที่สุดยอดฝีมือกองทหารม้าโลหิตแห่งค่ายลมโชยก็ตั้งสติได้เสียที
“ป้องกัน!”
ผู้ดูแลสองสงบสติลง คำรามส่งเสียงบัญชา
กองทหารม้าโลหิตกรูมารวมตัวกันราวกับเกลียวคลื่น ล้อมอู่เปียวเอาไว้ตรงกลาง
เสียงเสียดสีของโลหะดังขึ้นพร้อมกัน หอกยาวสีเลือดมากมายแทงออกไปข้างนอกอย่างพร้อมเพรียง
คมหอกวาววับส่องประกายเย็นเยียบของโลหะอยู่ใต้แสงจันทร์ มองจากไกลๆ กองทหารม้าโลหิตเหมือนเม่นเหล็กสีเลือดตัวยักษ์กำลังวางท่าป้องกัน
ในฐานะที่เป็นกองกำลังฝีมือดีของค่ายลมโชย พวกเขายังสำแดงแสนยานุภาพของกองกำลังอาวุธบนดาวดวงนี้ออกมาให้เห็นเล็กน้อย
รอบๆ หุบเขา แสงจันทร์เงินยวงดุจคมดาบ
เงาในป่าเขาเหมือนสัตว์ตัวใหญ่น่ากลัวอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดออกกว้าง
ทิวทัศน์บนเขาท่ามกลางแสงจันทร์ที่แต่เดิมงดงาม กลายเป็นความรู้สึกเหมือนกับปีศาจร้ายมากเล่ห์
ลมพัดผ่านป่าเขา เสียงหวีดหวิววังเวงละม้ายเหล่าภูตผีมาชุมนุมยามราตรี
ประกายแสงสีแดงฉายวาบในดวงตาของอู่เปียว
เขาโคจรพลังจนถึงขีดสูงสุดก่อนกวาดสายตาไปรอบผาสูงชัน แต่ในสามสิบจั้งกลับไม่อาจหาจิตสังหารที่เล็ดลอดออกมาหรือกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งที่หลบซ่อนอยู่พบเลย
ชะงักครู่หนึ่ง สีหน้าของอู่เปียวเย็นเยือก เอ่ยปากขึ้นอีกครั้งว่า “ยิงธนูน่าครั่นคร้ามนี้ออกมาได้ ไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงแน่นอน ไยจึงไม่กล้าปรากฏตัว หรือจะกลัวคมดาบโลหิตในมือของข้าแซ่อู่? หากเป็นเช่นนั้นก็เชิญไสหัวกลับไปเสีย”
คลื่นเสียงก้องดั่งโลหะกระทบกันดังกลับไปมาท่ามกลางหุบเขาใต้แสงจันทร์
ไกลออกไปสามสิบกว่าจั้ง บนยอดหินผา
หลี่มู่ที่อยู่ท่ามกลางเงามืดแอบเสียดาย
ผู้แข็งแกร่งขั้นรวมจิตเต็มขั้นมีลางสังหรณ์ว่องไวจริงๆ ด้วย
เสี้ยวขณะสั้นๆ ดุจสายฟ้าแลบ อู่เปียวก็รู้สึกถึงอันตรายที่มาเยือน ครั้นแล้วจึงตั้งรับทันที
นี่ยิ่งเหมือนสัญชาตญาณการตอบสนองของสิ่งมีชีวิต
และธนูดอกเมื่อครู่ ก็เป็นธนูที่รวมทักษะวิชาธนูและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดของหลี่มู่เอาไว้ มากพอที่จะตัดขุนเขาขยี้หินผาได้ แต่อู่เปียวกลับต้านทานไว้ได้ในช่วงเวลาคับขัน
วิชาธนูล่าสัตว์ การโจมตีแรกจะรุนแรงที่สุด สามารถเรียกได้ว่าเป็นธนูสังหาร
หากดอกแรกไม่ประสบความสำเร็จ ธนูดอกต่อไปก็ยากจะเกิดผลแล้ว
เมื่อได้ยินคำท้ารบและคำพูดเสียดสีจากอู่เปียว หลี่มู่หัวเราะหึๆ แบบไร้เสียง
‘ข้าในตอนนี้เลือกเล่นสาย ADC แน่นอนว่าต้องโจมตีระยะไกลสิ พวกโง่เท่านั้นแหละถึงจะออกไปสู้ประจัญบานกับเจ้าที่มาพร้อม ‘กองกำลังย่อมๆ’ อย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเพราะคำพูดแบบนั้น’
จากธนูเมื่อครู่ หลี่มู่สามารถประเมินพลังของอู่เปียวได้มากขึ้นแล้ว
หัวหน้าโจรค่ายลมโชยที่ได้สมญานาม ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในบรรดาจอมยุทธ์ที่พลังแข็งแกร่งที่สุดและน่ากลัวที่สุดซึ่งเขาได้พบหลังจากมาถึงโลกแห่งนี้
เขายืนอยู่บนยอดหินผา ก้มมองกระบวนพลป้องกันเม่นโลหะของกองทหารม้าโลหิตด้านล่าง แล้ววางแผนในหัวอย่างเร็วรี่ สายคันธนูเงินในมือถูกง้างออกอีกครั้ง บนสายธนูพาดลูกศรเขี้ยวหมาป่าดอกที่สอง
หัวลูกศรเล็งไปยังอู่เปียวที่อยู่ใจกลางกระบวนพลเม่นโลหะ
กองทหารม้าโลหิตมีมากถึงสิบกว่าชั้น แต่ในสายตาของหลี่มู่ก็เหมือนกับกระดาษ เขาสามารถยิงทะลุผ่านได้ด้วยธนูเพียงดอกเดียว
แต่เขาลังเลสักครู่ ก่อนจะเปลี่ยนความคิด
หัวลูกศรเบี่ยงทิศเล็กน้อย ไม่ได้เล็งไปที่อู่เปียวอีกต่อไป แต่เล็งไปยังผู้ดูแลสามของค่ายลมโชยข้างกายอู่เปียว
ธนูสังหารดอกแรกสังหารอู่เปียวที่ไร้การป้องกันไม่ได้ เช่นนั้นดอกที่สองก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้
เมื่อยอดฝีมือระดับนี้เกิดความระวังเริ่มป้องกันขึ้นเมื่อใด ก็จะกระตุ้นพลังทั้งหมด ปลดปล่อยสนามพลัง จะไม่มีช่องว่างให้โจมตีได้ จิตวิญญาณและปฏิกิริยาตอบสนองล้วนยกระดับถึงขีดสูงสุด ไม่มีทางทำร้ายเขาได้เลย
ดังนั้น มิสู้สังหารยอดฝีมือคนอื่นที่เหมือนผู้นำข้างกายเสียยังจะดีกว่า จะได้บั่นทอนกำลังของศัตรู
อย่างไรเสีย คนในค่ายลมโชยแต่ละคนต่างก็ก่อกรรมทำชั่วและมือเปื้อนเลือด ไม่มีทางที่จะมีผู้พลั้งมือสังหารคนดีอยู่แล้ว
ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวของหลี่มู่แล้วหายวับไป
ต่อมาเขาปล่อยนิ้วที่จับสายธนูออก
ท่ามกลางราตรีมืดมิด แสงสีดำสายหนึ่งกะพริบแล้วหายวับไป
แทบเสี้ยวขณะที่เขาปล่อยนิ้วออก กระบวนพลเม่นโลหะของกองทหารม้าโลหิตที่อยู่ไกลออกไปสามสิบจั้งก็ระเบิดเป็นรอยแยกเลือดประหนึ่งโดนฟ้าผ่าเข้าจริง
ลิ่วล้อชุดเกราะหน้าหลังรวมสิบเอ็ดชั้นทะลุเป็นรูจากพลังที่น่าสะพรึงนี้ เหมือนกับเสียบถังหูลู่[2]ก็ไม่ปาน
ส่วนผู้ดูแลสามบนม้าศึกตัวระเบิดโดยไม่ทันรู้ตัวและไม่ทันได้ตอบโต้ ดุจดั่งเครื่องกระเบื้องที่ถูกเครื่องยิงหน้าไม้ยิงเข้าใส่
พลังที่เหลือของลูกศรไม่ลดลงเลย ยิงทะลุลิ่วล้อหลายสิบคนที่อยู่ข้างหลังผู้ดูแลสามไปแล้ว
จากนั้นเสียงระเบิดดังขึ้น ขุนเขาตามรายทางระเบิดเป็นหลุมลึกกว้างสามฉื่อ ขอบของรูขนาดเท่านิ้วมือตรงใจกลางหลุมลึกไร้ก้นบึ้งร้อนระอุราวหินหนืด ฝุ่นควันลอยฟุ้ง…
ลูกศรเขี้ยวหมาป่าดอกนั้นทะลุเข้าไปในหินผาลึกไม่รู้กี่จั้ง
ละอองเลือดสาดกระเซ็น
กระดูกปลิวกระจาย
กองทหารม้าโลหิตของค่ายลมโชยคนอื่นๆ ทั้งหมดไม่รู้ตัวเลยว่าเสี้ยวขณะนี้เกิดอะไรขึ้น
สหายที่แต่เดิมมีชีวิตอยู่ จู่ๆ ก็ระเหยเป็นไอเลือด ทุกอย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ลิ่วล้อกองทหารม้าโลหิตที่ตายไปพวกนั้น แม้แต่เสียงร้องตื่นตระหนกก็ยังไม่ทันได้ร้องออกมา…
……………………………………………………
[1] บริเวณหูโข่ว (ปากเสือ) เป็นจุดชีพจรที่อยู่บริเวณระหว่างกลางของนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง
[2] ถังหูลู่ คือของรับประทานเล่นของจีน ทำจากผลไม้ประเภทต่างๆ เอาไปชุบน้ำเชื่อมเป็นชั้นๆ จนหนา