จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 48 เป็นดาบที่รวดเร็วยิ่งนัก
ดวงตาของ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวที่อยู่ข้างล่างหรี่ลง
“ท่านเป็นใครมาจากที่ใด?” เสียงของเขาก้องไปในพงไพรท่ามกลางแสงจันทร์ “ไยจึงมาขวางทางข้า?”
บนยอดหินผา
หลี่มู่ที่แปลงเป็นคนแก่ร่างกายกำยำไม่ได้เอ่ยปาก
เท้าซ้ายของเขากระทืบไปบนพื้นเบาๆ
พลังแข็งแกร่งไร้รูปร่างแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นวายุ ปะทุออกไปโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
ลิ่วล้อค่ายลมโชยที่ยืนแข็งทื่อทั้งหมด รวมทั้งผู้ดูแลหกที่ตายจนไม่ต้องผุดต้องเกิดแล้วถูกพัดปลิวตกลงไปจากยอดหินผา ร่วงลงมากลางอากาศ สามารถมองเห็นได้รางๆ จากแสงจันทร์ว่า ระหว่างตกลงมาร่างพวกนั้นเหมือนกับรวงข้าวที่ชาวนาใช้เคียวเกี่ยวขาด แยกออกจากกันเป็นสองท่อน
ภายใต้ ‘ตัดอสุนี’ กระบวนท่าที่สองของหกดาบวายุเมฆา ลิ่วล้อพวกนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายอย่างไร
“แสงจันทร์ทอกระจ่างกลบแสงดาว เหมันต์หนาววิหคผิณบินลงใต้…”[1]
หลี่มู่เพิ่งจะเอ่ยปากขึ้นในเวลานี้
อันที่จริงเขาเห็นจันทร์กระจ่างกลางท้องฟ้า แต่เดิมคิดจะท่องกลอนโบราณจากโลกสักบทหนึ่งเป็นกลอนเบิกโรงให้ร่างแปลงนี้ เพื่อสร้างบรรยากาศและถือโอกาสวางท่าเสียหน่อย
แต่อ้าปากท่องออกไปสองประโยค ก็พลันรู้สึกว่าวรรคหลังไม่เหมาะกับสถานการณ์เช่นนี้เท่าไหร่นัก
หลี่มู่หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะวางท่าต่อไปอย่างไร
นี่มันช่างกระอักกระอ่วนเหลือเกิน
หลี่มู่ชะงักไป กระนั้นแล้วจึงจำต้องเอ่ยขึ้นใหม่ เปลี่ยนคำพูดวางท่าเป็นอีกประโยคจากโลกแทน เขายืนตระหง่านอยู่บนยอดหินผา ทำท่าทางราวกับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือทางโลก เอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าท่านปกครองค่ายลมโชย มีเพลงดาบล้ำเลิศ หนึ่งดาบปลิดวิญญาณ ทั้งยังมีศีรษะอันงดงาม ชื่อเสียงก้องไกลไปทั่ว ข้าเฝ้าใฝ่ฝันถึงนัก วันนี้ภายใต้จันทร์ทั้งสองจึงคิดอยากจะขอยืมศีรษะของท่านไปใช้สักนิด ขอท่านอย่าได้ตระหนี่ไป”
สีหน้าของ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวเย็นเยือกราวเหมันตฤดู “เจ้าเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับต้วนสุ่ยหลิว? คนที่คิดอยากจะเด็ดหัวข้าแซ่อู่มีมากนัก เกรงว่าเจ้าจะไม่มีปัญญา” เพียงพูดจบ ปากของเขาก็ผิวเสียงประหลาดออกมา
‘เสือดำลายเบญจมาศ’ ที่เขาขี่อยู่พลันกระโจนออกไป ราวกับเปลี่ยนเป็นสายอัสนีสีดำ แบกอู่เปียวตะบึงไปยังยอดหินผาดุจพายุ
นัยน์ตาของหลี่มู่หรี่ลง
เร็วเหลือเกิน!
เสือดำลายเบญจมาศตัวนี้เป็นสัตว์ป่าอสุรกายอย่างแน่นอน ไปมาเงียบงันไร้ร่องรอย ทะยานหนึ่งครั้งก็ไปได้ไกลกว่าสามจั้ง พุ่งกระโจนเพียงแค่สองสามอึดใจก็มาถึงตีนเขาหินแล้ว
เห็นเพียงสี่ขาของมันปลดปล่อยพลังออกมาพร้อมกัน กระโดดขึ้นมาสูงถึงกว่าหกจั้ง แค่ตะปบลงไปหินผาก็แตกทลายออกเหมือนตะปบเต้าหู้ จากนั้นจึงอาศัยแรงสะท้อนกลับแบกอู่เปียวกระโดดขึ้นไปอีกสามสี่จั้ง
ดวงตาของหลี่มู่วาววับ
“ฮ่าๆ นอกจากหัวของเจ้า แมวดำตัวโตตัวนี้ข้าก็จะเอาด้วย”
เขาซัดฝ่ามือใส่หินผาขนาดสูงประมาณคนคนหนึ่งที่อยู่ข้างกาย
ครืน!
หินก้อนมหึมาที่ตระหง่านอยู่บนยอดหินผามายาวนานสะบั้นลอยออกไปทางหนึ่งคนหนึ่งเสือดำเบื้องล่างราวกับดาวตกพร้อมด้วยแรงปะทะมหาศาล
จังหวะและมุมแม่นยำงดงามราวละมั่งแขวนเขา
“ฮ่าๆๆ…แหลกไปซะ”
อู่เปียวคำรามลั่น ร่างโผจากหลังเสือดำดุจนกตัวใหญ่ ดาบยักษ์สีเลือดในมือฟันออกไป ประกายแสงโลหิตสะท้อนขึ้นกลางท้องฟ้า
ฉัวะ!
เสียงเหมือนกระดาษขาดดังขึ้น
หินยักษ์ที่มีแรงกระแทกหลายหมื่นจิน[2]แตกออกเป็นสองเสี่ยงราวเต้าหู้ ก่อนจะพุ่งออกไปสองข้าง เฉียดร่างทั้งซ้ายขวาของอู่เปียวแล้วร่วงลงหน้าผาไป
หลี่มู่สูดลมหายใจเฮือก
เป็นเพลงดาบที่เลิศล้ำยิ่งนัก
ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่มาจากอีกดาวในตอนนั้นอีกต่อไป เขาเข้าใจวิถียุทธ์ของโลกใบนี้ลึกซึ้งในระดับหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะวิชาดาบ มองแวบแรก ถึงแม้เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ มองหลักการลึกล้ำในดาบของอู่เปียวไม่ทะลุปรุโปร่ง แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่าดาบนั้นน่ากลัวนัก
ชั่วขณะที่ความคิดหมุนอย่างรวดเร็ว หลี่มู่พลิกมือจับด้ามดาบยาว
ท่าทางการจับดาบของเขาแปลกประหลาดยิ่ง
ด้ามดาบอยู่ข้างหน้า คมดาบอยู่ข้างหลัง เหมือนจะชักดาบแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
เท้าของหลี่มู่กางออกยืนมั่น ร่างเหยียดตรง สูดหายใจเข้าลึก แน่นิ่งไม่ไหวติง คงท่าทางประหลาดเอาไว้ กลิ่นอายแปลกพิลึกบางอย่างแผ่ออกมา
ในขณะเดียวกัน เสือดำตัวนั้นคำรามก่อนจะกระโดดมาอีกครั้ง
มันรับอู่เปียวที่ร่วงลงมาได้อย่างแม่นยำกลางอากาศ
คนและสัตว์คู่นี้ร่วมมือกันเป็นอย่างดี ขณะอาศัยแรงนี้ ร่างของอู่เปียวทะยานขึ้นราวเหยี่ยวอีกครั้ง ถลามาเหนือยอดหินผาในพริบตา ร่างเข้าใกล้หลี่มู่รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด แล้วจึงลงดาบอีกครั้งหนึ่ง
“ดาบแยกโลกันตร์…สังหาร!”
เขาคำรามลั่น เสียงที่ราวกับอัสนีบาตดั่งเสียงคำรามของสัตว์ยักษ์สมัยบรรพกาล
ประกายดาบสีเลือดพุ่งลงมา ดุจแม่น้ำเลือดแห่งนรกไหลทะลัก
หลี่มู่นิ่งไม่ไหวติงราวรากงอก ยังคงย้อนจับด้ามดาบยาวเอาไว้ สายตาจ้องเขม็งไปยังประกายดาบสีเลือด
จากการปรับเสริมของ ‘พลังก่อนกำเนิด’ สัมผัสต่างๆ ของเขาว่องไวเป็นอย่างยิ่ง การมองเห็นเทียบเท่าเหยี่ยว คนอื่นไม่มีทางจับทางของประกายดาบสีเลือดได้เลย แต่ในสายตาของเขากลับมองเห็นคมดาบได้อย่างชัดเจน กระทั่งสามารถมองเห็นคมดาบเฉือนอากาศ ฟันคลื่นลมโปร่งแสงเป็นชั้นๆ ออกมา
เสี้ยวขณะหนึ่งในพัน หลี่มู่ก็ลงดาบเช่นกัน
“ชักดาบสะบั้น!”
หลี่มู่คำรามก้องฟ้าดิน
เคร้ง!
สองดาบปะทะกัน
สะเก็ดไฟแตกกระจายท่ามกลางแสงจันทร์
เงาร่างสอดประสาน อาภรณ์สะบัดเสียงดัง
อู่เปียวราวกับเหยี่ยวตัวยักษ์ทะยานข้ามหัวหลี่มู่ ร่อนลงข้างหลังเขาห่างไปประมาณสามจั้ง
ส่วนหลี่มู่ก็เป็นเหมือนศิลามหึมา ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เพียงแต่ท่าจับดาบเปลี่ยนไป จากย้อนจับด้ามดาบคมชี้ไปข้างหลังกลายเป็นคมดาบหันออกข้างนอกแล้วชี้ขึ้นเหมือนธูปบูชา
ทุกอย่างเงียบสงัด
ภายใต้แสงจันทร์ บนยอดหินผา ร่างคนสองคนคล้ายแข็งค้างไป
ลมภูเขาก่อตัว พัดผ่านไปทั่วขุนเขา
แมกไม้เขียวขจีกระเพื่อมราวคลื่น
เสียงเพรียกของภูเขาทั้งล้ำลึกและไกลห่าง ลึกลับดั่งคลื่นมหาสมุทร
บนทางข้างล่างยังมีลิ่วล้อของค่ายลมโชยเหลือรอดอีกหลายสิบคน
พวกมันหลบอยู่หลังก้อนหินต้นไม้ต่างๆ ด้วยความหวาดกลัวเหลือคณา พลางเงยหน้ามองไปยังยอดเขาอย่างเคร่งเครียด เห็นเงาร่างสองคนนั้นได้รางๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใดกันแน่ที่ชนะ
โดยเฉพาะผู้ดูแลสองที่มีบทบาทเป็นแม่ทัพในกองกำลังค่ายลมโชย เขาเห็นท่าไม่ดีรีบหลบก่อน จึงรอดตายจากลูกศรเหล่านั้นของหลี่มู่
ตอนนี้ เขากำลังแอบอยู่หลังหินใหญ่ก้อนหนึ่งอย่างระมัดระวัง พร้อมทั้งมองยอดหินผาอย่างเคร่งเครียด อู่เปียวเป็นหรือตาย สำหรับเขาแล้วสำคัญยิ่งนัก
บนยอดหินผา
เงียบสงัดดุจไร้ลมหายใจ
หลังจากนั้นประมาณห้าหกอึดใจ
อู่เปียวเก็บดาบ หมุนกายมาอย่างช้าๆ
“เป็นเพลงดาบที่รวดเร็วยิ่งนัก” ใบหน้าของเขาเผยความตื่นตระหนก คลับคล้ายกำลังย้อนนึกถึงวัฏจักรการพลิกผันความเป็นตายในเสี้ยวขณะที่เข้าปะทะกัน ก่อนจะกล่าวขึ้น “ชีวิตข้าทั้งชีวิตได้พบกับยอดฝีมือวิชาดาบนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็น ‘ดาบแยกเงา’ จางอวี้หนิง อันดับสี่ในกลุ่มสี่จอมดาบแห่งสำนักเทพ ‘ทุ่งปิดภูผา’ ดาบเขาก็ยังเร็วสู้เจ้าไม่ได้”
สายลมพัดผ่าน แขนเสื้อของอู่เปียวปลิวไปตามลม
หลี่มู่ก็หมุนตัวกลับมาช้าๆ เช่นเดียวกัน
สีหน้าของเขาขาวซีดเล็กน้อย หยดเลือดปรากฏขึ้นที่บริเวณไหล่ซ้าย จากนั้นเลือดหยดแล้วหยดเล่าก็ไหลรินออกมา
เลือดสดๆ ไหลย้อมชุดนักพรตจนแดงฉาน
เสื้อของเขาค่อยๆ เกิดรอยปริออก สามารถมองเห็นรอยดาบเส้นบางบนผิวที่อยู่ข้างใต้ เลือดกำลังทะลักออกมาจากรอยดาบนี้
“หนึ่งดาบกระชากวิญญาณ…เป็นเพลงดาบที่เยี่ยมยอดจริงๆ”
หลี่มู่เองก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เคร้ง!
ดาบยาวในมือเขาแตกร้าวมาจากจุดที่คมที่สุดของดาบ ท่อนบนร่วงลงบนพื้น
ดาบเหล็กกล้าที่ขุนนางเมืองคนก่อนของอำเภอขาวพิสุทธิ์ทิ้งไว้ในห้องฝึกยุทธ์เป็นของเยี่ยมยอดในหมู่ของเยี่ยมยอด ตัวดาบคมกริบยิ่ง แต่กลับไม่อาจเทียบกับดาบสีเลือดเล่มใหญ่ในมืออู่เปียวได้
แต่ว่าหลี่มู่ไม่สนใจการได้มาหรือเสียไปของดาบเล่มหนึ่งมากนัก
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกใจและพ่ายแพ้อย่างแท้จริงคือ ในเสี้ยวขณะที่ประกายดาบปะทะเข้าด้วยกัน เขาจับวิถีโค้งของดาบสีเลือดเล่มใหญ่นั้นได้แล้วแท้ๆ ทั้งยังรวบรวมกำลังออกท่า ‘ชักดาบสะบั้น’ ที่ไม่เคยลงมือมาก่อน หากพูดถึงเรื่องพลัง เพลงดาบสองท่าในหกดาบวายุเมฆาที่เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ‘ชักดาบสะบั้น’ หนักหน่วงและล้ำลึกกว่า ‘ตัดอสุนี’ เป็นดาบที่เพียงโจมตีก็ถึงแก่ชีวิต และพลังจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นจากการตั้งใจรวบรวมพลังของหลี่มู่…
แต่เขากลับพ่ายแพ้ระหว่างการปะทะกันซึ่งหน้า
ผู้ที่มีชื่อเสียงย่อมไม่ใช่คนไร้ความสามารถ
ผู้แข็งแกร่งด้านการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงมานมนานมีจุดที่น่ากลัวของพวกเขาจริงๆ ด้วย
อู่เปียวคนนี้พลังน่าครั่นคร้าม เป็นจอมยุทธ์ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดและโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่หลี่มู่ได้พบหลังจากมาถึงดาวดวงนี้ วิชาดาบที่ครอบครองก็แข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน จะต้องเป็นตำราลับระดับเก้าขึ้นไป ขั้นแปด หรือกระทั่งอาจจะเป็นขั้นเจ็ด
นี่ไม่ใช่ความแตกต่างของพลัง
แต่เป็นความแตกต่างของกลยุทธ์วิชาดาบ
อย่างไรเสียหลี่มู่ก็เป็นชาวยุทธ์มือใหม่
ต่อให้ได้การช่วยเหลือจากวิชาเซียน ‘พลังก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ที่ซินแสเฒ่าสอนให้ แต่ความรู้ด้านศิลปะการต่อสู้ ทฤษฎี และประสบการณ์สู้จริงของเขามีจำกัด ดังนั้นเพลงดาบที่คิดค้นขึ้นเองจึงยังไม่อาจต้านทานวิชาดาบแท้จริงซึ่งปรมาจารย์ศาสตร์ต่อสู้ผู้ล่วงลับมากมายของโลกนี้สรุปและขัดเกลาออกมา ซ้ำยังผ่านการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง
แต่เขาก็ไม่ได้ท้อถอยและถอดใจ
เพราะหลี่มู่รู้ดี สิ่งใดก็ตามที่เป็นทักษะ จะต้องทดลองทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าและผสานให้เป็นหนึ่งเดียวจึงจะสมบูรณ์แบบโดยแท้จริง หกดาบวายุเมฆาเป็นก้าวแรกที่เขาเดินออกมาจากการทดลองฝึกฝนเท่านั้น
ลมภูเขาหวีดหวิว แสงจันทร์เย็นเยียบ
อู่เปียวสีหน้าเย็นยะเยือก มือกุมดาบสีเลือดเล่มใหญ่ ค่อยๆ เดินเข้ามาหา
“เป็นดาบที่รวดเร็วดี…น่าเสียดายที่ถึงแม้ดาบของเจ้าจะเร็ว แต่รากฐานไม่มากพอ กำลังในตอนท้ายตื้นเขิน เจ้าคิดจะเดินทางสายหลักที่เรียบง่ายที่สุดอย่างนั้นรึ? น่าเสียดาย เส้นทางสายหลักซับซ้อนกว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร หากอยากทำให้ง่ายอย่างแท้จริง จำต้องศึกษาให้หลากหลายลึกซึ้ง จากซับซ้อนจึงจะเรียบง่ายได้โดยแท้ นับแต่ใดมาวิทยายุทธ์สายดาบก็ไม่มีทางเปลี่ยนจากง่ายมาสู่ง่าย ไม่เคยพบเต๋าอันยิ่งใหญ่ แล้วจะเข้าสู่เต๋าได้อย่างไร”
หลี่มู่จำต้องยอมรับ เขาพูดถูกแล้ว
นี่คือความเข้าใจของจอมยุทธ์สายดาบต่อการฝึกฝนวิชาดาบ ทุกคำพูดล้ำค่า ควรค่าแก่การทบทวน
หลี่มู่รู้สึกนับถือ จึงประสานมือพูดขึ้น “ขอบคุณที่ชี้แนะ แต่ว่า เจ้ากล่าวคำชี้แนะอันสูงค่าต่อหน้าข้าเช่นนี้ หรือเจ้าคิดว่าชนะข้าแน่แล้ว?”
อู่เปียวหัวเราะ “สังหารยอดฝีมือคนหนึ่งคือความเพลิดเพลินที่สุขสำราญที่สุด และการสังหารยอดฝีมือสายดาบเช่นเจ้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือความสุขที่สุดของที่สุด…หากโดน ‘ดาบแยกโลกันตร์’ ของข้าเข้าไป กระดูกจะหัก ปราณดาบจะสะเทือนทำลายอวัยวะภายใน เจ้าไม่มีแรงโต้ตอบกลับใดๆ อีกแล้ว”
……………………………………………………
[1]แสงจันทร์ทอกระจ่างกลบแสงดาว เหมันต์หนาววิหคผิณบินลงใต้ มาจากบทกลอน ‘ต้วนเกอสิง’ ผู้แต่งคือเฉาเชา (โจโฉ) โดยเฉาเชาต้องการเปรียบเนื้อหากับเหล่าผู้มีความสามารถที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกอยู่ฝ่ายใด ให้เลือกข้างให้ถูกมาอยู่กับตนเสีย ภายหลังซูซื่อนักกวีสมัยราชวงศ์ซ่งหยิบยืมประโยคนี้ไปใช้ในบทกลอนของตนเช่นกัน แต่ใช้ในอีกแง่หนึ่งคือ กังวลกับอนาคตที่จะเกิดขึ้น
[2] จิน เป็นมาตราชั่งของจีน 1 จิน มีน้ำหนักเท่ากับ 500 กรัม