จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 51 สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา
คนทุกคนล้วนมีสองด้าน
ยามจิตสังหารพลุ่งพล่าน เขาคิดว่าสิ่งที่ตนทำทั้งหมดนั้นถูกต้อง แต่ตอนนี้มองซากศพที่เกลื่อนกลาดไปทั่วอีกครั้ง หลี่มู่อดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดทบทวนว่าตัวเองอาศัยคำว่าคุณธรรมเที่ยวฆ่าล้างสังหารหรือไม่
อย่างไรเสียเขาก็เป็นนักเรียนมัธยมต้นธรรมดาๆ คนหนึ่งจากโลก…อย่างน้อยเดือนสองเดือนก่อนก็ใช่ ถึงแม้จะเคยสังหารคนมาแล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงของจิตใจเช่นนี้จำต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อทำความคุ้นชิน
หลี่มู่ยืนอยู่ที่เดิมใต้แสงจันทรา นิ่งสงบไม่เคลื่อนไหวเหมือนก้อนหินต้นไม้
หลังผ่านไปนาน จิตใจของเขาก็สงบลง
เขามาถึงข้างล่างยอดหินผา
เศษเนื้อของ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวร่วงอยู่ตามก้อนหินและต้นไม้
พูดตามสภาพความจริงแล้ว พลังวิชาดาบของอู่เปียวแข็งแกร่งกว่าหลี่มู่มากนัก
หากเขาสามารถสู้กับหลี่มู่ด้วยจิตต่อสู้ที่พวยพุ่ง ไม่มีทางจะพ่ายแพ้ถึงแก่ชีวิตในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่นั้นแน่ ต่อให้สุดท้ายเขาอาศัยความเร็วและพละกำลังเอาชนะได้ ก็ทำได้แค่ชนะอย่างอเนจอนาถ กระทั่งไม่มีทางเอาชนะอู่เปียวในด้านเพลงดาบได้เลย
น่าเสียดาย พลังสมานกายเนื้ออันพิสดารของหลี่มู่และเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่พูดออกไปตามปากไม่กี่ประโยคทำให้อู่เปียวเสียกำลังใจจะต่อสู้โดยสิ้นเชิง ใจคิดหนีอย่างเดียว จึงตายเร็วเช่นนั้น
จิตมุ่งมั่นต่อสู้และความกล้าหาญสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับหลี่มู่แล้ว นี่คือบทเรียนที่ลึกซึ้งเช่นกัน
“ถึงเวลาที่ต้องกลับไปแล้ว”
หลี่มู่มองไปยังเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์
อาวุธของพวกทหารม้าโลหิตไม่เลวเลย สามารถให้ทหารของอำเภอมาเก็บกวาดสนามรบได้
……
ราตรีเนิ่นช้ายาวนาน แสงจันทรากระจ่างฟ้า
เงาร่างหนึ่งทะยานผ่านไปในเทือกเขา รวดเร็วดุจอัสนี
นั่นคือหลี่มู่ที่เดินทางกลับนั่นเอง
ลอบโจมตีพวกค่ายลมโชยครั้งนี้ หลี่มู่ได้ผลประโยชน์มหาศาล เขาอารมณ์ดีเป็นที่สุด
ไม่นานก็มาถึงใกล้ๆ หุบเขาสูงชันด้านหลังเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์
ผิวน้ำของน้ำตกเก้ามังกรยังคงเป็นประกายระยิบระยับ
ตอนนี้ดวงจันทร์ทั้งสองลาลับไปแล้ว แสงสว่างในท้องฟ้าอับแสงกว่าตอนที่หลี่มู่ไปเล็กน้อย ทำให้สีสันของน้ำในสระมืดหม่นเหมือนกับสระน้ำหมึก ยิ่งทำให้ดูลึกลับเกินหยั่ง กลิ่นอายดิบเถื่อนที่ชวนให้คนหวาดหวั่นลอยอวล
เมื่อเข้าใกล้ผืนน้ำนี้อีกครั้ง หลี่มู่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวเช่นนั้นอีกครา
เหมือนว่าในที่มืดมีสัตว์บรรพกาลตัวมหึมาที่น่ากลัวกำลังมองดูอยู่
“เวรเอ๊ย ในน้ำนี้ไม่ใช่ว่ามีสัตว์ประหลาดซุ่มอยู่หรอกมั้ง?”
หลี่มู่รู้สึกตื่นกลัว
เขาไม่หยุดอยู่อีกต่อไป รีบมายังตีนผาสูงชันทันที
ข้างบนละอองน้ำหนาทึบ
เขาแบกดาบสีเลือดที่หนักพันจินพุ่งทะยานขึ้นไปสิบสองจั้ง วนเวียนไปมาดุจเหยี่ยวตัวใหญ่
หลังจากพุ่งขึ้นลงหลายครั้ง หลี่มู่ก็มาถึงระดับความสูงร้อยยี่สิบจั้ง
เสียงกระหึ่มของน้ำตกที่อยู่เหนือหัวค่อยๆ เริ่มดังสนั่นหู
สามารถมองเห็นน้ำตกเก้ามังกรได้แล้ว
หลี่มู่ปรับเปลี่ยนทิศทาง กระโดดขึ้นอีกครั้งแล้วร่อนลงข้างๆ น้ำตกเก้ามังกร
เสื้อผ้าบนร่างของเขาเปียกชื้นเพราะละอองน้ำหนาทึบ
มองย้อนกลับไปจากทางนี้ ไกลออกไปสามสี่จั้งจะเห็นเสาน้ำต้นมหึมาหนาหลายสิบจั้งพวยพุ่งออกมาจากหน้าผาสูงชันได้อย่างชัดเจน ช่างเหมือนกับเทพมังกรสีเงินทะยานออกมาจากเขาสูงเสียจริงๆ
นี่เป็นน้ำตกสายที่อยู่ชายขอบที่สุด และเล็กที่สุดในบรรดาทั้งหมดของน้ำตกเก้ามังกร
แต่ก็มากพอที่จะทำให้คนใจสั่นไหวแล้ว อย่างน้อยในตอนที่อยู่บนโลก หลี่มู่ยังไม่เคยเห็นน้ำตกที่ใหญ่โตขนาดนี้มาก่อน
สามพันฉื่อวารีไหลริน ดุจดาราสินธุ์หลั่งรด[1]
หลี่มู่อดชื่นชมในใจไม่ได้
เขาโคจรการมองเห็น มองไปยังข้างหลังน้ำตก
จากรอยแยกม่านน้ำตกสามารถมองเห็นอุโมงค์คล้ายถ้ำได้รางๆ เช่นที่คิดไว้ มืดมิดเย็นเยือกไม่รู้ว่าทะลุไปที่ใด ชวนให้คนรู้สึกลึกลับ อันตราย ลึกล้ำ และมืดครึ้ม ข้างในเหมือนจะมีสิ่งมีชีวิตลึกลับอยู่
‘ในไซอิ๋วซุนหงอคงเจอถ้ำสุ่ยเหลียนต้งหลังน้ำตกฮวากั่วซาน ข้างหลังน้ำตกเก้ามังกรนี่จะมีสถานที่งดงามเหมือนกับถ้ำสุ่ยเหลียนต้งหรือเปล่านะ?’
หลี่มู่อดคิดเชื่อมโยงไม่ได้ ความคิดต่างๆ นานาผุดขึ้นมา
เขามีความรู้สึกอยากจะพุ่งเข้าไปในม่านน้ำตกแล้วสำรวจถ้ำข้างหลังนี้เสียหน่อย
แต่ลองคำนวนเวลาดู ห่างจากฟ้าสางไม่ถึงครึ่งชั่วยามแล้ว เขาจะต้องรีบกลับไปยังที่ว่าการอำเภอ มิฉะนั้นแล้วตัวตนจะถูกเปิดเผย อีกทั้งในเมืองยังมีเรื่องราววุ่นวายรอให้เขากลับไปจัดการ เรื่องแรกเลยก็คือ ‘นัดประลอง’ ระหว่างพรรคมังกรฟ้ากับสำนักเขี้ยวพยัคฆ์
“อย่างไรน้ำตกเก้ามังกรก็อยู่ที่นี่ตลอดเวลา ต่อให้อยากสำรวจก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ตอนนี้รอให้พลังยกระดับขึ้นอีกเล็กน้อย เตรียมตัวให้พร้อมยิ่งขึ้นแล้วค่อยมาก็ไม่สาย”
ตัดสินใจได้แล้ว หลี่มู่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
เขาโคจรวิชาตัวเบา ทะยานไปยังยอดผาสูงชันต่อไป
เพียงชั่วพริบตา ร่างของเขาก็หายไปในแสงจันทร์สลัวราง
หน้าผาสูงชันเหมือนกลับคืนสู่ความสงบ
น้ำตกเก้ามังกร สายน้ำมหึมาทั้งเก้าสายไหลบ่าลงมาจากเขาสูงชัน ส่งเสียงราวกับฟ้าร้อง ไหลลงมายังผืนน้ำเบื้องล่างนับร้อยจั้ง แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพลังธรรมชาติสร้างสรรค์ ไม่ใช่ความสามารถที่มนุษย์จะทำได้
หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป
แสงจันทร์กลุ่มสุดท้ายจากท้องฟ้าสาดส่องไปบนผิวสระน้ำ
ทันใดนั้น เงายาวหลายร้อยจั้งลอยขึ้นมาจากใต้น้ำ
นั่นมันคืออะไรกัน?
ราวกับมังกรร้ายปรากฏกายออกมาจากนรก
มันสะบัดตัว ความสงบบนผิวน้ำถูกทำลายในชั่วพริบตา
น้ำเดือดพล่านปั่นป่วนราวกับถูกต้ม
สิ่งมีชีวิตมหึมาที่คาดไม่ถึงนี้ทะยานออกมาจากผิวน้ำ ร่างเผยออกมาเพียงแค่บางส่วนก็ยาวหลายร้อยจั้ง ทั้งยังแผ่กระจายกลิ่นอายดุร้ายและดึกดำบรรพ์ที่ไร้เทียมทานออกมา
รอบด้านในบริเวณหลายร้อยจั้ง แม้แต่แมลงก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องเบาๆ
โดยรอบเงียบสงัด
มันอ้าปากมหึมา ใช้วิธีหายใจที่แปลกประหลาดยิ่งกลืนแสงจันทร์กลุ่มสุดท้ายลงไป
ดวงตาทั้งสองลืมขึ้น ดุจจันทร์สีเลือดที่เย็นชาไร้จิตใจสองดวงกลางนภา
น้ำในสระหลายพันลี้ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้แสงสีเลือดเช่นนี้ เกิดเป็นภาพที่แปลกประหลาดราวย้อมด้วยเลือด เหมือนเป็นเขตแดนประหลาดบางอย่างและนรกอสุรภูมิ
……
ยามเช้าตรู่ แสงอรุณกลุ่มแรกฉายไปในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่ไม่สงบสุข
หลังจากที่หลี่มู่กลับมายังที่ว่าการอำเภอแล้ว ก็เข้าไปในห้องฝึกยุทธ์ทันที และอ่านตำราลับ ‘เพลงดาบโลกันตร์’ อย่างอดใจไม่ไหว
นี่เป็นตำราวิชายุทธ์เกินระดับเก้าเล่มแรกที่เขาได้มาหลังจากมาถึงดาวดวงนี้ สำหรับเขาแล้วมีความหมายเป็นอย่างยิ่ง เขาหวังว่าจะได้เรียนรู้หลักวิถียุทธ์ระดับสูงขึ้นของดาวดวงนี้จากในตำราได้
ชิงเฟิงน้อยเตรียมอาหารเช้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงวางมันไว้หน้าห้องฝึกยุทธ์
ฟ้ายังไม่ทันแจ้ง นายทะเบียนเฝิงหยวนซิงก็มาถึงที่ว่าการอำเภอ
สีหน้าของเขาอิดโรย ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด ริมฝีปากแห้งแตก จิตใจร้อนรุ่มไปหมด
ที่แท้เมื่อคืนวานเขาแทบจะไม่ได้ข่มตาหลับเลย เพราะพานายทหารที่สามารถสู้รบได้ตรวจตราไปมาอยู่บนกำแพงเมือง เกรงว่าเพียงแค่หลับตาละเลยไปชั่วขณะ พวกโจรป่าค่ายลมโชยจะมาโจมตีเมือง นำภัยพิบัติเลือดและไฟมาให้กับเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์
“ใต้เท้าเล่า? ใต้เท้าออกจากการปิดด่านกักตนหรือยัง?”
เมื่อเฝิงหยวนซิงเดินเข้ามาก็ถามขึ้นอย่างร้อนรนทันที
หมิงเยวี่ยน้อยคนทึ่มที่กำลังกินโจ๊กอย่างไม่รีบร้อนยกมือทักทาย กล่าวทั้งยิ้มกว้าง “โอ๊ะโอ เจ้าคนขี้ประจบมาแล้วรึ ได้ยินว่าเมื่อคืนเจ้าพาทหารรักษาการณ์อยู่ที่กำแพงเมืองทั้งคืน จริงหรือนี่? ไยขุนนางชั่วช้าเช่นเจ้าถึงปฏิบัติหน้าที่สุดความสามารถขึ้นมาได้?”
เฝิงหยวนซิงจะร้องไห้ก็ไม่ได้หัวเราะก็ไม่ออก
หลายวันมานี้เขาชินกับวิธีการพูดแบบปากเสียของแม่เด็กนี่แล้ว
“ใต้เท้ายังไม่ออกจากการกักตน” ชิงเฟิงยิ้มขื่นพลางนวดขมับของตน ซึ่งเป็นท่าทางตามความเคยชินของเขา ก่อนจะถามขึ้น “ใต้เท้าเฝิง โจรป่าค่ายลมโชยปรากฏตัวขึ้นแล้วหรือยัง? มีเหตุการณ์อื่นๆ อะไรหรือไม่?”
เฝิงหยวนซิงส่ายหน้า พูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “เรื่องนี้พูดไปแล้วก็แปลก อู่เปียวไม่ปรากฏตัวอย่างที่กังวล เมื่อรุ่งสางข้าส่งทหารมือปราบใจกล้าไปลาดตระเวนหลายสิบลี้นอกเมือง ก็ไม่พบร่องรอยของพวกโจรป่าเลยแม้แต่น้อย”
ชิงเฟิงนวดขมับอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นแล้ว…หรือว่าอาจารย์ของคุณชายจะออกโรงแล้วจริงๆ? แต่ไม่เคยได้ยินว่าคุณชายมีอาจารย์อะไรเลยนี่นา”
พูดตามตรง เมื่อวานตอนที่หลี่มู่พูดอย่างน่าเชื่อถือว่าสำนักของตนจะส่งยอดฝีมือมาจัดการพวกค่ายลมโชย เฝิงหยวนซิงอย่างน้อยก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงไม่เชื่อเลย
เขารับใช้ข้างกายคุณชายมาหลายปี ไม่เคยได้ยินว่าคุณชายมีอาจารย์อะไร
เฝิงหยวนซิงสีหน้าเป็นกังวล กล่าวว่า “เรื่องค่ายลมโชยสามารถส่งคนไปลาดตระเวนดู วางเอาไว้ก่อนได้ แต่อีกหนึ่งชั่วยาม ศึกของพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ก็จะเริ่มแล้ว พวกมันสร้างเวทีชั่วคราวขึ้นที่ซากฐานที่มั่นพรรคเสินหนง การต่อสู้พร้อมปะทุขึ้นทุกเมื่อ ถึงแม้จะมีการข่มขวัญจากศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวเมื่อวานนี้ แต่ก็ยังมีคนในยุทธจักรมากมายรวมตัวไปที่ซากแห่งนั้น กลัวแต่ว่าถึงตอนนั้นการประลองของทั้งสองฝ่ายจะขยายขอบเขตออกไป ประชาชนทั่วทั้งเมืองต้องเจอกับหายนะน่ะซี”
“โอ๊ะ เจ้าคนขี้ประจบ ข้าต้องมองเจ้าใหม่จริงๆ เสียแล้ว ห่วงใยบ้านเมืองประชาราษฎร์เช่นนี้ ที่แท้เจ้าคือขุนนางกังฉินที่คลุมหนังขุนนางชั่วไว้นี่เอง” หมิงเยวี่ยน้อยหน้ามึนบ้องแบ๊วเหมือนจะช้าแต่แท้จริงแล้วรวดเร็ว เขมือบอาหารเช้าคนเดียวจนเกือบหมด พูดเหน็บแนมอย่างไม่ดูเวลาอีกครั้ง
ในตอนนี้เอง เสียงหนึ่งดังมาจากประตูข้างของเรือนพักด้านหลัง
“ทั้งที่ว่าการอำเภอ เด็กโง่อย่างเจ้านี่แหละที่เป็นขุนนางชั่วตัวเอ้”
หลี่มู่เดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี ยกมือขึ้นเหนือหัวของหมิงเยวี่ยน้อยแล้วเขกไปหนึ่งที
หมิงเยวี่ยน้อยหน้าบึ้ง ปากโค้งคว่ำสูงจนแทบจะแขวนขวดน้ำมันได้
“ศึกของสองสำนักจะเริ่มขึ้นเวลาใด?” หลี่มู่มองเฝิงหยวนซิงก่อนจะถามขึ้น
“ยังเหลืออีกหนึ่งชั่วยามขอรับ” เฝิงหยวนซิงรีบร้อนตอบ
หลี่มู่บิดขี้เกียจ ให้คนไปเตรียมอาหารเช้า พร้อมทั้งกำชับให้เพิ่มเนื้ออีกหลายจิน
จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นอย่างเกียจคร้าน “อ้อ อีกหนึ่งชั่วยามรึ เช่นนั้นก็ยังอีกนาน เจ้าส่งคนไปแอบสังเกตการณ์รอบนอกรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็พอ ห้ามไม่ให้ประชาชนในเมืองไปร่วมชุมนุม ส่วนคนในยุทธจักรพวกนั้นปล่อยให้ไปซะ คนยิ่งมากยิ่งดี ฮี่ๆ…”
เสียงฮี่ๆ สุดท้ายเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ชวนให้คนสันหลังเย็นวาบ
ก็ไม่รู้ทำไม หลังได้ยินใต้เท้าขุนนางเมืองหัวเราะเช่นนี้ เฝิงหยวนซิงก็ไม่ร้อนรนเป็นกังวลอีก
……………………………………………………
[1] มาจากบทกวี ‘ชมน้ำตกหลูซาน’ (望庐山瀑布) ประพันธ์โดยหลี่ไป๋นักกวีสมัยถัง กวีบทนี้เป็นบทชมน้ำตก เอ่ยถึงความงดงามและยิ่งใหญ่ของน้ำตกแห่งเขาหลูซาน