จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 54 เรื่องราวในอดีตของสำนักเทพ
ดรุณีน้อยหัวเราะ อิงแอบไปบนร่างของชายหนุ่มอย่างหวานชื่น
“ในตอนนั้น ต้าเจ๋อเปี๋ยที่ชื่อเสียงลือเลื่องทั่วที่ราบทุ่งหญ้า อายุเพียงยี่สิบปีก็แสดงพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์อันน่าครั่นคร้าม วิชาธนูไร้ผู้เทียบเทียม ‘ธนูรั้งจันทรา’ ของเขาเอาชนะยอดฝีมือธนูของที่ราบทุ่งหญ้ามาไม่รู้ต่อเท่าไหร่ จึงถูกยกให้เป็นหนึ่งในสี่เทพธนูของแผ่นดินใหญ่เสินโจว มีชื่อเสียงมาคู่กันกับหานอวี่แห่งทุ่งปิดภูผา ทหารม้า ‘วิหารเทพหมาป่า’ อันเหี้ยมโหดแปดร้อยนายที่เขาคุมยิ่งเยี่ยมยอดไร้เทียมทานในหมู่ชนเผ่าใหญ่แห่งทุ่งหญ้า ได้รับการขนานนามว่า ‘ปักษีตกหน้าเกาทัณฑ์ เมฆาพลันเคลื่อนคล้อย’ ช่างองอาจยิ่งนัก
เพียงแต่ ต้าเจ๋อเปี๋ยที่ชื่อเสียงเกรียงไกรผู้นี้ ภายหลังกลับยอมตกต่ำกลายเป็นศัตรูกับที่ราบทุ่งหญ้า แอบสานสัมพันธ์กับธิดาเทพหลิวจื่อหยวนแห่ง ‘สำนักบัณฑิตถามเต๋า’ หนึ่งในเก้าสำนักเทพจนเกิดความรักขึ้น ยังไม่ทันได้ตบแต่งก็ตั้งครรภ์ ให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่ง จากนั้นทั้งสองหนีตามกันไป ทำให้ ‘วิหารเทพหมาป่า’ และ ‘สำนักบัณฑิตถามเต๋า’ อับอายเป็นอย่างมาก ทั้งสองสำนักต่างไล่ล่าสังหาร น่าเสียดาย หลังจากต่อสู้ติดพันหลายครั้ง คนที่ควรตายทั้งสองกลับหนีไปได้ ราวกับมัจฉาคืนกลับสู่มหานที ไร้ซึ่งร่องรอย”
ประวัติศาสตร์ที่ฝุ่นจับหนานานหลายปีถูกเอ่ยจากปากของหญิงสาวใสบริสุทธิ์เท้าเปลือยเปล่า ราวกับเล่านิทานก็ไม่ปาน
ชายหน้าหยินหยางคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
แต่ไม่นานเขาก็ส่ายหน้า “ไม่ใช่ นี่ยังไม่ถูก หากเป็นต้าเจ๋อเปี๋ยคนนั้นจริงย่อมมีฝีมือเช่นนี้แน่นอน แต่ไม่ง่ายเลยกว่าต้าเจ๋อเปี๋ยและหลิวจื่อหยวนจะพ้นเคราะห์รอดมาได้ ไม่ใช่ว่าควรจะหลบซ่อน ไม่เปิดเผยร่องรอยหรอกหรือ ไยเขาจึงสังหารอู่เปียวที่ไร้ซึ่งความแค้นต่อกันที่นี่? หากตัวตนเปิดเผย การล่าสังหารจากสองสำนักเทพจะมาเยือนทันที พวกเขาไม่มีทางโชคดีอีก…นี่ไม่สมเหตุผล”
หญิงสาวใสซื่อเท้าเปล่าเปลือยยิ้มกว้างกล่าว “ทีแรกข้าก็คิดเหมือนท่าน แต่หากท่านพิจารณารูธนูบนเชิงผานี้ให้ถี่ถ้วน ก็จะไม่คิดเช่นนั้นแล้ว”
“รูธนู?” ชายหน้าหยินหยางตะลึง ก่อนจะโคจรพลังที่ดวงตา มองรอยธนูที่ใหญ่ราวหลุมลึกบนเชิงผาข้างถนนสายหลักที่ไกลออกไปหลายร้อยจั้ง
ใบหน้าด้านซ้ายของเขาดำทมิฬ ด้านขวาขาวสะอาด แต่หลังจากที่โคจรวิชาเนตรบางอย่าง นัยน์ตาซีกหน้าดำข้างซ้ายขาวราวหิมะ ส่วนนัยน์ตาซีกหน้าขาวข้างขวาดำมืดราวหยดหมึก แสงสลัวเป็นสายพุ่งออกมาจากดวงตา
หลังจากนั้นหลายอึดใจ
ดวงตาทั้งสองข้างของชายคนนั้นกลับคืนสู่สภาวะปกติ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่า “จุดลึกของรูธนูมีพลังของแก่นดวงจันทร์กระจายอยู่ เป็น ‘ธนูรั้งจันทรา’ ไม่ผิดแน่ ต้าเจ๋อเปี๋ยแห่งที่ราบทุ่งหญ้าคือผู้ลงมือจริงๆ…ยังเป็นน้องหญิงที่รอบคอบเช่นเคย ข้าเกือบจะพลาดเรื่องใหญ่ไปแล้ว ฮ่าๆๆ”
พูดจบเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ไม่หัวเราะไม่ได้
เพราะในเรื่องเล่าที่ลึกลับนี้ ในตัวของคู่สามีภรรยาที่หนีภัยมีของล้ำค่าอยู่ชิ้นหนึ่ง นั่นเป็นถึงของที่ปีศาจจากนอกโลกทิ้งเอาไว้ ต่อให้เป็นเก้าสำนักเทพก็อยากได้มาครอบครองทั้งนั้น
ตอนนั้นที่พวกเขาถูกล่าสังหาร ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเหมือนดั่งที่เห็น
ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะแอบหนีตามกัน แต่อีกครึ่งใหญ่นั้นเป็นเพราะคนไร้ความผิด ผิดที่ถือครองหยก[1]
“ไม่ใช่แค่เท่านี้ พี่ชายท่านลองตรองดูให้ดี จะพบว่าพลังแก่นจันทรานั่นกระจัดกระจาย มีรูปแต่ไร้จิตวิญญาณ ด้วยพลังของต้าเจ๋อเปี๋ยในตอนนั้นจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? นี่หมายถึงอะไรล่ะ?” หญิงสาวขยิบตา
“หรือจะเป็นผู้สืบทอดของเขาลงมือ? หรือว่า…” ชายหน้าหยินหยางนึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง โดนพูดเสียจนเริ่มเป็นทุกข์เป็นร้อน
“คิกๆๆ พี่ชาย หากความคิดท่านได้สักครึ่งหนึ่งของพละกำลัง จะยังหยุดอยู่ที่ตำแหน่งผู้คุมกฎขวาไม่ก้าวหน้าได้อย่างไร?” สตรีใสซื่อเท้าเปล่าเปลือยส่ายหน้าอย่างจนปัญญาแล้วกล่าวขึ้น “ต้าเจ๋อเปี่ยหลบหนีเร้นกาย จะมีผู้สืบทอดได้ที่ไหน?”
“เช่นนั้นมันอย่างไรเล่า?” ชายหน้าหยินหยางอึ้งไป ก่อนจะยิ้มขื่น “ข้าความคิดหลักแหลมเช่นน้องหญิงเสียที่ไหนเล่า จะว่าไปแล้ว ข้ามี ‘สตรีเจ้าแผนการ’ ที่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องเช่นเจ้าอยู่ข้างกาย ต้องคิดให้มากเองไปทำไม… ”
สตรีไร้เดียงสากลอกตามองเขาด้วยท่าทีชวนหลงใหล
นางกล่าว “ยามนั้นต้าเจ๋อเปี๋ยและหลิวจื่อหยวนถูกไล่ล่าอยู่หลายปี สู้รบเหนือใต้ บาดเจ็บไม่น้อย จากการคาดเดาของข้าจะต้องเป็นเพราะเขาบาดเจ็บสาหัส ระดับลดฮวบ ไม่อาจดึงพลัง ‘ธนูรั้งจันทรา’ ออกมาได้อย่างสมบูรณ์ จึงทิ้งร่องรอยเช่นนั้นเอาไว้ในการต่อสู้ ส่วนที่ว่าเหตุใดเขาจึงสังหารอู่เปียวโดยไม่ถือสาที่จะเปิดเผยตัวตน อาจมีเหตุผลอื่นซึ่งพวกเราไม่รู้ แต่สิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้ก็คือคู่สามีภรรยาต้าเจ๋อเปี๋ยต้องอยู่ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์อย่างแน่นอน โอกาสของพวกเรามาถึงแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเราก็รีบลงมือค้นหาทั้งในและนอกอำเภอขาวพิสุทธิ์ เชื่อว่าจะต้องหาพวกเขาเจอแน่ ขอแค่จับคนชั่วช้าของสำนักเทพทั้งสองนี้ได้ ไม่ใช่แค่เพียงจะได้รับรางวัลจากสองสำนักเทพ แม้แต่ของวิเศษในตำนานนั่นก็อาจได้มาด้วย…”
สีหน้าของชายหน้าหยินหยางลิงโลด
แต่สตรีใสซื่อกลับส่ายหน้ากล่าว “ไม่ได้ แจ้งสำนักให้สำนักส่งคนมาเถิด”
“อะไร? เนื้อมาถึงปากไยจึงต้องส่งให้ผู้อื่นกินเล่า?” ชายหน้าหยินหยางไม่เห็นด้วย
หญิงสาวใสบริสุทธิ์ยกนิ้วชี้ไปยังชายหนุ่ม แย้มยิ้มน่ารักพลางเอ่ย “พี่ชายคนโง่ของข้า เนื้อมาถึงปากน่ะใช่ แต่ต้องกินมันลงไปได้ด้วยซิ สามีภรรยาคู่นี้น่ากลัวถึงเพียงใด สองสำนักเทพไล่ล่ามานานหลายปียังสังหารพวกเขาไม่ได้ ต่อให้ต้าเจ๋อเปี๋ยแห่งที่ราบทุ่งหญ้าบาดเจ็บสาหัสพลังลดลง แต่ท่านอย่าลืมว่าหลิวจื่อหยวนก็เป็นบุคคลชั้นยอดของสำนักเทพในวันวานเช่นกัน จะดูแคลนไม่ได้”
ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง พยักหน้าตอบ “ก็จริง”
เขาเป็นผู้ที่หยิ่งทะนงเป็นอย่างมาก แต่ในใจเขาก็ต้องยอมรับ ชายหญิงที่เคยสร้างระลอกคลื่นลูกใหญ่ให้กับแผ่นดินใหญ่เสินโจวคู่นั้นเป็นบุคคลชั้นยอด น่ากลัวอย่างยิ่ง
บุคคลที่ทรงอิทธิพลถึงเพียงนั้น ต่อให้ตกอับโดนรังแก ก็ใช่ว่าใครจะเอาชนะพวกเขาได้
ทว่าเบาะแสที่ราคาล้ำค่ามหาศาลเช่นนี้ หากนำไปแจ้งกับสำนัก ใจของเขายังรู้สึกปล่อยวางไม่ลง
ความคิดของชายหนุ่มไยหญิงสาวจะมองไม่ออก นางยิ้มบางๆ พลางบอก “บางครั้งต้องยอมสละบางส่วนถึงจะให้ได้มา ของที่พวกเรากินลงไปไม่ได้ก็ให้คนอื่นกินไปก่อน คนอื่นคิดอยากกินได้อย่างสบายใจ ก็ต้องตักอะไรให้เรามาบ้าง”
ชายหนุ่มมองมือปราบของอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่ยุ่งวุ่นวายเหมือนมดตรงทางแยกฮั่นด้านล่าง ก่อนจะพยักหน้า นับว่าสุดท้ายเห็นด้วยกับแผนการของหญิงสาว
“ก็ดี…ครั้งนี้แต่เดิมแค่อยากประลองกับไป๋หรูซวง คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับโอกาสเช่นนี้ น้องหญิง หลังจากแจ้งข่าวแล้ว เจ้าไปอำเภอขาวพิสุทธิ์กับข้าสักครั้งเถอะ” เขาเอ่ยปากพูดอีกว่า “ไป๋หรูซวงยามนี้น่าจะอยู่ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้ว ข้าต้องไปวัดพลังกับเขาเสียหน่อย ผู้สืบทอดของสำนักดับนิวรณ์และสำนักหมาป่าสวรรค์ ควรจะตัดสินให้รู้ดำรู้แดงกันนานแล้ว”
“ได้ ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่าน” สตรีใสบริสุทธิ์อิงแอบอยู่ในอ้อมอกของชายหนุ่ม พยักหน้าพลางหัวเราะ
……
“อู้ว พอใจสุดๆ ไปเลย”
หมิงเยวี่ยน้อยปากมันแผล็บ บิดขี้เกียจอย่างพึงพอใจ
หลังจากที่สวาปามหมูหันสามตัว ขาแกะย่างสองขา และต้มปลาหม้อใหญ่ไปแล้ว นางก็ตบหนังท้องกลมตึง ลุกจากโต๊ะอาหารไปอย่างอาลัยอาวรณ์ในที่สุด แล้วมาเอนกายบนเก้าอี้ยาวด้านข้างราวกับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
หลี่มู่มองแม่หนูน้อยโลลิด้วยสีหน้าตกใจสงสัย
ตอนนี้ฟันธงได้แน่นอนว่าแม่เด็กคนนี้มีปัญหาแน่นอน
เด็กอายุไม่ถึงสิบขวบบ้านไหนกันจะกินได้มากมายถึงขนาดนี้?
หลี่มู่ผ่านศึกใหญ่มาเมื่อคืน ใช้พลังหมดไปไม่น้อย ทั้งยังดวลดาบกับ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวจนได้รับบาดเจ็บ ถึงแม้บาดแผลจะสมานตัวได้เร็วยิ่ง แต่ก็ต้องใช้พลังงานมากกว่าคนอื่น เช้าวันนี้เขาหิวจนแทบทนไม่ไหวถึงออกจากห้องฝึกยุทธ์มาหาอะไรกิน แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็กินสู้แม่หนูน้อยโลลินี่ไม่ได้
“ไม่รู้ทำไม ช่วงนี้หิวง่ายอยู่เรื่อยเลย เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด…” โลลิน้อยสัมผัสได้ถึงสายตาของหลี่มู่ จึงเช็ดคราบน้ำมันบนปากอย่างเขินอาย
พูดจบนางก็ร้องลั่นขึ้นมาอย่างเกินเหตุ “โอ๊ย ปวดท้อง…เหมือนว่าท้องจะเสียเลย…ข้าไปแล้วๆ”
ว่าจบก็เผ่นแผล็วไป
หลี่มู่จนคำพูด
จะทำอย่างไรดี?
ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ยัยเด็กนี่จะกินจนล้มละลายเลยไหมเนี่ย?
เขารู้สึกปวดหัว
ทำไมคนพื้นเมืองของดาวดวงนี้ถึงได้ผิดปกติขนาดนี้กันเล่า
“การต่อสู้ของสองสำนักจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่?” หลี่มู่มองไปยังเฝิงหยวนซิง
เขาเคยชินกับวิธีการนับเวลาของโลก ยังไม่ค่อยทันวิธีการนับเวลาแบบชั่วยามของโลกนี้สักเท่าไหร่ คร่าวๆ ก็คือหนึ่งชั่วยามของโลกนี้เท่ากับสองชั่วโมงบนโลก หนึ่งก้านธูปเหมือนจะประมาณสิบห้านาที
“เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามขอรับ” เฝิงหยวนซิงบอก
หลี่มู่พยักหน้า
ครึ่งชั่วยาม เช่นนั้นก็หนึ่งชั่วโมง
เวลายังอีกนาน
“ข้ากลับไปพักก่อนก็แล้วกัน”
หลี่มู่หมุนตัวเดินไปที่พักด้านหลัง เข้าไปในห้องฝึกยุทธ์
เฝิงหยวนซิงและเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงใบหน้าขื่นขม อยากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
ใต้เท้าหนอ ท่านจะเอาใจใส่หน่อยได้หรือไม่
นี่เป็นการนัดประลองของสองสำนักเชียวนะ การปะทะกันของยอดฝีมือวิถียุทธ์ที่มีชื่อเสียง พลังทำลายล้างก็น่าพรั่นพรึงอยู่แล้ว อีกทั้งในเมืองยังรวมคนในยุทธภพไว้มากมายขนาดนั้น แต่ละคนล้วนเป็นพวกเดนตายไม่เสียดายชีวิต หากสู้จนเลือดขึ้นหน้า การต่อสู้ขยายวงกว้างไปจะทำอย่างไร?
ในห้องฝึกยุทธ์
หลี่มู่อ่าน ‘เพลงดาบโลกันตร์’ อีกรอบ
กระบวนท่า หลักการลึกล้ำ วิธีโคจรพลัง การเปลี่ยนกระบวนท่า โอกาสออกดาบ เขาจดจำเอาไว้ในสมองอย่างแม่นยำแล้ว
แต่เขาไม่รีบร้อนฝึกฝน
ทว่าเลือกกลับมาสำแดงท่าเริ่มต้นฝึกกำลังขาของ ‘หมัดยุทธแท้’ ‘ค้อนทะยานฟ้า’ และ ‘ลิ่มสวรรค์’ สามกระบวนท่า
หากใช้การยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมง่ายๆ มาอธิบายก็คือ การฝึก ‘หมัดยุทธแท้’ ที่จริงแล้วคล้ายกับโยคะของโลก แน่นอนว่าหลักเช่นการเปลี่ยนแปลงกระบวนท่าหรือการส่งพลังของกล้ามเนื้อล้ำลึกซับซ้อนกว่าโยคะมาก ทุกครั้งที่เขาฝึกฝน หลังจากที่สำแดงจบจะรู้สึกว่าในกายเกิดพลังใหม่ไม่หยุด แล้วผสานเข้าไปตามองคาพยพ
นี่เป็นประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังของตนราวกับสายธารที่ไหลเอื่อยสู่ทะเลสาบไม่ขาดสาย กำลังยกระดับขึ้นอย่างแท้จริง
ส่วนเนื้อที่กินลงท้องไปก่อนหน้านี้ก็ถูกย่อยไปด้วยความเร็วสูงสุด
ความรู้สึกว่าท้องว่างเกิดขึ้นตามมาทันที
……………………………………………………
[1] คนไร้ความผิด ผิดที่ถือครองหยก เป็นสำนวนที่เอาไว้เปรียบเปรยว่าคนคนหนึ่งถูกใส่ร้ายป้ายสีหรือถูกสังหาร เพราะถูกคนอิจฉาริษยาในสิ่งที่เขามี หรือพรสวรรค์ที่เขามีเพื่อช่วงชิงเอามาเป็นของตน