จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 59 อ่อนแอเกินไป
ชั่วพริบตาต่อมาก็รู้ผลแพ้ชนะ
พลังหัตถ์ขยี้ศิลาใหญ่สี่ฉื่อยังไม่ทันสัมผัสพลังหมัดในเสากระแสอากาศโปร่งแสง ก็พลันสลายไปราวกับเม็ดทรายในสายลม
เยวี่ยหยางรู้สึกเพียงว่ามีพลังมหาศาลทะลักมาจนฝ่ามือสั่นสะท้านรุนแรง ฝ่ามือที่ตนภาคภูมิใจระเบิดออก เลือดเนื้อสาดกระจาย ใช้การไม่ได้ทันที ส่วนตัวเขาก็ราวกับจมอยู่ในคลื่นโหมกระหน่ำ สูญเสียสติสัมปชัญญะไป
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ สำหรับทุกคนคือ ‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ เยวี่ยหยางถูกฝ่ามือของหลี่มู่ซัด สลายพลังหัตถ์ขยี้ศิลา กระเทือนจนสลบไปในอากาศทั้งยังเป็นๆ
ได้ยินเสียงดังตุบ
เยวี่ยหยางร่วงลงในเขตพื้นที่ที่มือปราบของอำเภอควบคุมอยู่ เขาถูกล่ามโซ่ตรวนเช่นกัน
“หมัดเทวะร้อยย่างก้าว?”
มีคนร้องตกใจ
หนึ่งหมัดกลางอากาศสลายพลัง ‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ ของเยวี่ยหยาง เอาชนะเขาขาดลอย วิชาหมัดนี้เหมือนกับ ‘หมัดเทวะร้อยย่างก้าว’ เคล็ดวิชาต่อสู้ระดับปรมาจารย์ในตำนานแทบจะทุกประการ
หรือขุนนางเมืองน้อยผู้นี้จะเป็นเคล็ดวิชาระดับปรมาจารย์ด้วย?
หากเป็นเช่นนั้น ตัวเขาคือปรมาจารย์อย่างนั้นหรือ?
รอบเวทีประลองฮือฮาไปทั่ว
ทุกคนต่างตกตะลึงไม่เบา
แม้กระทั่งพวก ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตงกับ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยนยังหน้าเปลี่ยนสี สายตาที่มองหลี่มู่ยังกล้าดูถูกอีกเสียที่ไหน
พวกเขาเริ่มรู้ตัวว่า ครั้งนี้เหมือนจะแกว่งเท้าเจอเสี้ยนเข้าแล้วเต็มๆ
ในข้อมูลที่พวกเขามีอยู่ แต่เดิมเหตุที่ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ท้าทายขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็เพราะการตายของนายตรวจการเจิ้งหลงซิง ทำให้พรรคจันทราโลหิตเสียขุนนางที่ทุ่มเทแรงใจบ่มเพาะมาเป็นอย่างดีไปคนหนึ่ง ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ที่ใจคิดแต่อยากจะยกระดับสำนักแค่ต้องการอาศัยกฎเก่าแก่ของแผ่นดินใหญ่เสินโจวสังหารขุนนางเมืองเพื่อวางอำนาจ ภายใต้เงื่อนไขที่จะไม่โดนทางการของจักรวรรดิต้าฉินตรวจสอบ ไม่ใช่เพราะพลังยุทธ์ของขุนนางเมืองผู้นี้ดึงดูดความสนใจ ‘จอมมารจันทราโลหิต’
ไม่ว่าจะเป็นเถี่ยเจิ้นตงหรือตงฟางเจี้ยนล้วนอวดอ้างว่าตนเป็นผู้รู้ข้อมูลที่แม่นยำ
พวกเขาวิเคราะห์หลายๆ ด้าน ก็ไม่รู้สึกว่าขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์จะมีพลังสู้กับ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ได้
ดังนั้นพวกเขาจึงกล้ากำเริบเสิบสานในอำเภอขาวพิสุทธิ์เช่นนี้
แท้จริงแล้วตามกฎหมายของจักรวรรดิ การท้าประลองระดับสำนักเช่นนี้หากยืนกรานจะจัดในเมืองอำเภอให้ได้ จะต้องได้รับการอนุญาตจากขุนนางบริหารส่วนท้องถิ่นของจักรวรรดิ หรือก็คือพวกเขาควรจะยื่นเรื่องต่อสู้กันในอำเภอขาวพิสุทธิ์ต่อขุนนางเมือง อย่างน้อยที่สุดควรบอกกล่าวกันก่อน
แต่เพราะพวกเขาคิดว่าจัดการหลี่มู่ได้แน่ๆ จึงไม่คำนึงถึงเรื่องนี้ตั้งแต่แรก
กระทั่งคิดจะใช้วิธีจงใจทำลายอำเภอของจักรวรรดิมาแสดงพลังที่แท้จริงของแต่ละสำนัก
แต่ตอนนี้จะทำเช่นไรดี?
เรื่องราวเหมือนว่าจะไม่อยู่ในการควบคุมสักเท่าไหร่แล้ว
ใบหน้าชราของ ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตงแดงก่ำ
เขารู้ว่าครั้งนี้ตนเองต้องก้มหัวแล้ว
เถี่ยเจิ้นตงประสานมือไปทางหลี่มู่ ทำความเคารพเล็กน้อย “ที่แท้ขุนนางเมืองหลี่เก็บซ่อนล้ำลึกถึงเพียงนี้ ครั้งนี้เป็นสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ของข้าทำไม่ถูก ข้าต้องขออภัยขุนนางเมืองหลี่ด้วย สำนักเขี้ยวพยัคฆ์ยินดีจะชดใช้ให้กับทางที่ว่าการในขอบเขตหนึ่ง ขอขุนนางเมืองหลี่โปรดละเว้นปล่อยซุนซินกับเยวี่ยหยางด้วยเถิด”
นี่คือการยอมก้มหัวทางอ้อมแล้ว
หลี่มู่ตบมือ ใช้สายตาประหลาดมองเขาแล้วเอ่ยขึ้น “ขออภัย? ฮ่าๆ นี่นับว่าขอโทษต่อข้ารึ?”
เถี่ยเจิ้นตงรู้ว่าหลี่มู่จงใจใช้คำพูดยั่วโทสะบีบเขา
ที่จริงในใจเขานั้นโมโหเป็นที่สุด
หลายปีที่ฟันฝ่าไปในยุทธภพทิศพายัพ ไม่เคยมีใครทำกับเขาแบบนี้ แต่สุดท้ายเขาก็อดกลั้นไว้ไม่ระเบิดอารมณ์ พยักหน้ากล่าวว่า “หากขุนนางเมืองหลี่เข้าใจเช่นนั้นก็ย่อมได้”
“โอ้ ขอโทษจริงๆ รึเนี่ย” หลี่มู่พยักหน้าหงึกๆ “นึกว่าพวกเจ้าวีรบุรุษผู้กล้าในยุทธจักรจะไม่รู้สึกว่าตัวเองผิดเสียอีก…แต่ว่า ข้าไม่รับคำขอโทษลมปากที่ไร้ซึ่งความจริงใจเช่นนี้หรอก หากคำขอโทษมีประโยชน์ เช่นนั้นจะมีตำรวจ…มือปราบของจักรวรรดิไว้เพื่ออะไร?”
พูดจบหลี่มู่ก็ไม่รอเถี่ยเจิ้นตงเอ่ยอะไรอีก มองไปยังนายทะเบียนเฝิงหยวนซิงที่อยู่ไกลๆ แล้วสั่งการ “ ‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ เยวี่ยหยาง โจมตีทหารของจักรวรรดิต่อหน้าข้าในช่วงกลางวันแสกๆ ประพฤติผิดเฉกเช่นขายชาติ ให้ร้อยกระดูกสะบัก ควบคุมอย่างเข้มงวด”
“น้อมรับคำสั่ง”
เฝิงหยวนซิงเอ่ยเสียงดัง
ฉึก ฉึก
ตะขอเหล็กแทงทะลุกระดูกสะบักของ ‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ เยวี่ยหยาง ล่ามเขาเอาไว้ทันที
“อ๊าก…” เยวี่ยหยางเจ็บจนตื่น ดวงตาโกรธแค้นเบิกกว้าง
นี่เป็นตะขอเหล็กที่ทำพิเศษมาเพื่อกักขังยอดฝีมือในยุทธจักรโดยเฉพาะ แค่แทงทะลุกระดูกสะบัก เส้นทางการโคจรกำลังภายในครบรอบจะถูกทำลาย ไม่อาจรวมปราณได้ ต่อให้พลังฝึกแข็งแกร่งก็ไม่อาจโคจรได้ ยิ่งใช้ร่วมกับโซ่ตรวนที่เท้าและมือ จะปิดตายความเป็นไปได้ที่จะหลบหนีของยอดฝีมือได้อย่างสมบูรณ์
ใน ‘ไซอิ๋ว’ หนึ่งในสี่วรรณกรรมเอก[1]ของจีนบนดาวโลก เมื่อสวรรค์จับซุนหงอคงได้ก็ร้อยสะบักเช่นเดียวกัน การทำเช่นนี้ทำให้ซุนหงอคงไม่อาจแปลงกาย ไม่สามารถสำแดงกลวิชาอภินิหารต่างๆ แม้จะแตกต่างกับวิธีกักขังยอดฝีมือในยุทธจักรของดาวนี้แต่ก็มีจุดคล้ายกัน
แต่ว่า ตะขอเหล็กสร้างความเสียหายให้กับร่างกายอย่างใหญ่หลวง ทั้งยังนำความเจ็บปวดแสนสาหัสมาให้อีกด้วย
หากมิใช่ผู้ชั่วช้าสามานย์ ไม่มีทางรับทัณฑ์หนักเช่นนี้เด็ดขาด
‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ เยวี่ยหยางอวดดียิ่งนัก ต่อหน้าหลี่มู่ไม่เพียงจะช่วย ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินเท่านั้น ยังจะสังหารมือปราบของที่ว่าการอำเภอ สร้างความโมโหให้กับหลี่มู่ และทำให้บรรดาขุนนางกับทหารมือปราบโกรธกริ้วเป็นอย่างยิ่ง สมควรแล้วที่จะตกอยู่ในสภาพนี้
“ทุกท่าน วีรบุรุษทั้งหลายโปรดยอมรับข้อเสนอของข้าก่อนหน้านี้ด้วย” ท่าทางของหลี่มู่จริงใจนัก ชี้ไปยังพวกเฝิงหยวนซิงที่อยู่ไกลๆ แล้วเอ่ยขึ้น “มีสำนึกเสียหน่อย อย่าได้สร้างความลำบากให้ทหารมือปราบของจักรววรดิที่เป็นลูกน้องข้า พวกเขายังต้องไปรักษาความปลอดภัยของบ้านเมือง ไม่มีเวลาสนใจพวกเจ้าที่ว่างมาเที่ยวก่อเรื่องวุ่นวาย…อืม ถ้าพวกเจ้าเห็นด้วยกับความคิดข้าก็ไปเข้าแถวดีๆ ไม่ต้องแย่งกัน ล่ามโซ่ตัวเองแล้วเดินเข้าคุกแต่โดยดีเสีย จะได้ไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัว”
หลังจากพูดจบ ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปทันใด
เขาไม่โอนอ่อนเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป แต่ดุดัน เย่อหยิ่งอวดดี วางอำนาจข่มขู่คน
ส่วนมือปราบก็ลากหีบเหล็กใบใหญ่ออกมาตามคำหลี่มู่ จากนั้นโยนโซ่ตรวนที่เร่งให้ช่างตีเหล็กของที่ว่าการทำข้ามวันข้ามคืนลงบนพื้นเสียงดัง
โซ่ตรวนสะท้อนแสงสีดำน่ากลัวภายใต้แสงอาทิตย์ เสียงกระทบที่เย็นเยือกรับกับคำพูดของหลี่มู่ ทำให้จอมยุทธ์ยอดฝีมือที่อยู่ที่นั่นล้วนสัมผัสถึงไอเยียบเย็น
ใครก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะดำเนินมาถึงขั้นนี้
“หากไม่เห็นด้วยเล่า?” ‘กระบี่มังกรเมฆา’ มู่เหรินหลงที่ยังยืนอยู่บนเวทีแค่นเสียงเย็น
อย่างไรเขาก็เป็นคนอายุน้อย หัวแข็งดื้อดึง ท่องไปในยุทธจักรจนชินแล้ว เคยโดนข่มขู่เช่นนี้เสียที่ไหนกัน
โครม!
ทุกคนรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพร่าเลือน มีเสียงหนักดังขึ้น
หลี่มู่ตบ ‘กระบี่มังกรเมฆา’ มู่เหรินหลงลอยถลาไปไกลหลายสิบจั้งเหมือนสุนัขตาย กระทั่งร่วงลงหน้ากองโซ่ตรวนอย่างแม่นยำ
เขาที่มีสมญานามหนึ่งในสี่กระบี่ไวของยุทธจักรแถบตะวันตกเฉียงเหนือ วิชากระบี่ที่ตนภาคภูมิใจไม่อาจสำแดงออกมาได้ ก็ถูกซัดจนพลังยุทธ์แตกซ่าน ดิ้นรนดุจสุนัขที่ถูกตีหลังหัก ไร้ซึ่งแรงขัดขืน
มือปราบสองคนเดินมาล่ามโซ่ตรวนที่เท้าและแขน แล้วจึงพาเขาลงไป
“หากไม่เห็นด้วย เช่นนั้นข้าก็ต้องลำบากนิดหน่อยลงมือจัดการเอง” หลี่มู่แบมือยักไหล่ “อย่างไรเสียสรรพสิ่งจะเจริญเติบโตได้ต้องอาศัยดวงอาทิตย์ คนจะวางท่าได้ต้องพึ่งตัวเอง”
ในสนามประลองที่กว้างใหญ่เงียบสงัดจนได้ยินเสียงเข็มกระทบพื้น
จอมยุทธ์ยอดฝีมือทุกคนต่างรู้สึกเลื่อนลอยประหนึ่งกำลังฝัน
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าบนโลกจะมีคนเช่นนี้อยู่ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ความสำราญอันเป็นอิสระเสรีของพวกตนจะกลายเป็นหายนะ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์จะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับความยุ่งยากใจที่นำมาให้ขุนนางเมืองน้อยผู้นี้
“ขุนนางเมืองหลี่จะวางอำนาจไปหน่อยกระมัง” ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตงสีหน้าเคร่งเครียด
เพียงพริบตาเดียว ยอดฝีมือชั้นยอดสองคนของฝั่งเขาถูกจับ ส่วนพรรคมังกรฟ้าฝั่งตงฟางเจี้ยนเพิ่งจะสูญเสีย ‘กระบี่มังกรเมฆา’ มู่เหรินหลงไปคนเดียวเท่านั้น
“ท่าทางเจ้าไม่ยินดีที่จะร่วมมือสินะ”
หลี่มู่หัวเราะแล้วลงมือทันที
ร่างของเขากะพริบวูบ
ทุกคนรู้สึกเพียงว่าภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน เสี้ยวขณะต่อมาหลี่มู่ก็มาปรากฏอยู่บนเวทีสังเกตการณ์ของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ เข้าไปใกล้เถี่ยเจิ้นตงในระยะสามฉื่อทันที
“เจ้า…” เถี่ยเจิ้นตงหวาดหวั่น ชกหมัดออกไปตามสัญชาตญาณ
หลี่มู่ไม่แม้แต่จะมอง ส่งหมัดออกไปเช่นกัน
ตูม!
เสี้ยวขณะที่หมัดปะทะกัน เถี่ยเจิ้นตงลอยกระเด็นออกไป
‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ ที่ชื่อเสียงสะท้านทั่วยุทธจักรทิศพายัพมาหลายสิบปี ท่ากระเด็นของเขาไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นสักเท่าไหร่
เขาร่วงลงไปหน้ากองโซ่ตรวนเต็มแรง ดิ้นรนยืนขึ้นมา ขณะกำลังคิดจะพูดอะไร เสียงอั้กก็ดังขึ้น เถี่ยเจิ้นตงอ้าปากกระอักเลือดเป็นทาง เสียงกระดูกหักกรอบๆ เหมือนถั่วระเบิดดังอยู่สักครู่ มือเหล็กคู่นั้นที่กล่าวกันว่าสามารถบดขยี้ได้กระทั่งโลหะ กระดูกหักไปแล้วไม่รู้ต่อกี่ท่อน ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนจึงจะหายดี
กำลังภายในมากมายของเขาก็สลายไปอย่างสิ้นเชิง พลังกายอ่อนเปลี้ย แม้แต่ยืนก็ยืนได้ไม่มั่น
“จับเอาไว้”
หลี่มู่ร้องสั่ง
ทันใดนั้น ผู้นำและยอดฝีมือของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ดวงตาแดงก่ำ
“ปล่อยผู้อาวุโสเถี่ยซะ”
“สู้สุดกำลัง!”
ฝูงชนราวคลื่นถาโถมไปยังกองกำลังทหาร
หลี่มู่เตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว เขาสำแดงวิชาตัวเบามาปรากฏอยู่ข้างหน้าเถี่ยเจิ้นตงที่ถูกคุมตัวภายในชั่วพริบตาราวกับหมอกควัน
หลี่มู่ก้าวออกมา กระทืบไปบนพื้นอย่างรุนแรง
พลังอันน่าพรั่นพรึงสะเทือนพื้นดินเบื้องหน้า
เรื่องน่ากลัวที่คาดไม่ถึงบังเกิดขึ้น
ดินโคลนครึ่งวงกลมเบื้องหน้าเขาสั่นกระเพื่อมโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง จากนั้นม้วนตัวออกไปดุจคลื่นน้ำ
“อ๊าก…”
“อะไรน่ะ…”
“สมควรตาย”
ลูกศิษย์และยอดฝีมือสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ที่พุ่งเข้ามาถูกแรงสะเทือนจากพื้นดินกระเทือนจนกระดูกและเอ็นอ่อนเปลี้ย ราวกับดื่มจนเมาโซซัดโซเซ ก้อนหินที่อยู่ในดินดีดกระแทกจนหน้าบวมช้ำ ล้มคะมำลงบนพื้น แม้แต่จะตะเกียกตะกายขึ้นมาก็ทำไม่ได้
มีเพียงยอดฝีมือระดับผู้นำไม่กี่คนเท่านั้นที่กระโดดข้ามอากาศ กระโจนเข้ามาได้
แต่หลี่มู่เพียงสะบัดฝ่ามือหนึ่ง คนทั้งหมดก็สลบคาที่
“อ่อนแอเกินไป”
เขาวิจารณ์ออกมาเช่นนี้
……………………………………………………
[1] สี่วรรณกรรมเอกของจีนประกอบด้วย ไซอิ๋ว ความฝันในหอแดง ซ้องกั๋ง และสามก๊ก