จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 67 นักพรตที่ใช้วิชามารได้
‘ลูกเอ๋ย วิญญาณของเจ้าที่อยู่บนฟ้าจงดู พ่อเริ่มแก้แค้นให้เจ้า ก้าวแรกสำเร็จลงแล้ว…หลี่มู่จะต้องตายอย่างอนาถ อนาถมากนัก’
โจวเจิ้นไห่ตะโกนลั่นในใจ
จากนั้นเขาก็ฉวยจังหวะวุ่นวายหมุนตัวจากไปด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียมและลิงโลด
ลมเย็นยามราตรีพัดปะทะใบหน้าเหี้ยมโหดของโจวเจิ้นไห่ที่กำลังเหินทะยาน
โจวอู่ลูกชายของตนเป็นถึงผู้ช่วยขุนนางเมือง แต่หลี่มู่กลับสังหารเขา
อำนาจอิทธิพลที่ตระกูลโจวทุ่มเทจัดการบริหารในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์มาหลายปีแหลกสลายลงในชั่วข้ามคืน
โจวเจิ้นไห่คิดถึงเรื่องแก้แค้นในทุกขณะจิต
ครั้งนี้ เขายุยงพี่ใหญ่โจวเจิ้นเยวี่ยให้มาเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ ก็เพราะคิดจะยืมพลังของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์แก้แค้น
แต่หลายวันที่ผ่านนี้ ใจของเขาต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พลังของหลี่มู่แข็งแกร่งเกินไป
โดยเฉพาะหลังจากงานประลองของสองสำนักที่ซากพรรคเสินหนง โจวเจิ้นไห่ตระหนักได้ว่าด้วยกำลังของตน หากคิดจะแก้แค้นก็เป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ของคนโง่ชัดๆ ส่วนพี่ใหญ่โจวเจิ้นเยวี่ยก็เหมือนจะไม่สนใจความแค้นของตระกูลโจว คอยผัดมาตลอดจนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่ารออะไรอยู่
แต่โจวเจิ้นไห่รอไม่ไหวอีกแล้ว
เพราะเขาเห็นการพัฒนาของหลี่มู่
ศัตรูคนนี้กำลังแข็งแกร่งขึ้นด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง
คนอื่นอาจจะตระหนักไม่ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่เขากลับสัมผัสมันได้อย่างลึกซึ้งยิ่ง
เพราะในโลกนี้ คนที่เข้าใจเรามากที่สุดมักไม่ใช่คนใกล้ชิด แต่เป็นศัตรู
หากปล่อยให้ศัตรูคนนี้พัฒนาต่อไป เกรงว่าเขาคงรอไม่ถึงวันที่แก้แค้นสำเร็จแน่
ดังนั้นเขาจึงเสี่ยงอันตราย ใช้เวลาสักหน่อย จ่ายค่าตอบแทนเล็กน้อย แอบยุยงหลอกล่อลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์สามสี่คนให้มาลอบโจมตีหลี่มู่
แต่การลอบโจมตีที่ว่า นับตั้งแต่แรกเขาก็ไม่หวังว่าจะสำเร็จ
เขารู้ดีว่าลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่หยิ่งยโสจนเข้าขั้นโง่ทั้งสี่คนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่มู่เลย
เขาก็แค่คิดจะสร้างโอกาสให้หลี่มู่สังหารศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เท่านั้น
เช่นนี้ก็จะสามารถทำให้สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่รักแต่พวกพ้องตนโมโหเดือดดาล แล้วจึงค่อยยืมมือฆ่าคน ใช้พลังของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ทำลายหลี่มู่
แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องนักพรตตาบอดกับอีกาถล่มที่ว่าการอำเภอ
โจวเจิ้นไห่ผู้เจ้าเล่ห์เพทุบายรู้ทันทีว่าโอกาสมาถึงแล้ว
อีกทั้งยังเป็นโอกาสทองเสียด้วย
เขาตัดสินใจพาศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เข้าไปในที่ว่าการทันที จากนั้นก็ใช้ยาสลบรมพวกเขาแล้วฆ่าทิ้งทีละคน
ขอแค่มีคนตายอยู่ในที่ว่าการอำเภอก็พอแล้ว
เพราะโจวเจิ้นไห่เข้าใจคนฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์พวกนี้เป็นอย่างดี ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาเหมือนกับกระบี่ เป็นความคิดตรงๆ ไม่ซับซ้อนสักนิด อารมณ์ฉุนเฉียวบุ่มบ่าม ทั้งยังรักพวกพ้อง หากพบว่าลูกศิษย์ตายอยู่ในที่ว่าการอำเภอ หลี่มู่จะตกเป็นเป้าโจมตีแรกอย่างแน่นอน
“หลี่มู่ รอก่อนเถอะ วันสุดท้ายของเจ้าใกล้จะมาถึงแล้ว”
โจวเจิ้นไห่ใช้ความมืดมิดอำพรางกาย หายไปในป่าลึกของเมืองภูเขา
…………
ในที่สุดหลี่มู่ก็มาถึงที่ว่าการอำเภอ
ประตูใหญ่ของที่ว่าการพังทลาย หน้าต่างเสียหาย กำแพงแตกร้าว อิฐกระเบื้องกองระเกะระกะ ฝุ่นธุลีปลิวฟุ้ง…
ราวกับผ่านการรื้อถอนมาอย่างไรอย่างนั้น
ยังมีมือปราบที่ได้รับบาดเจ็บบางคนครางโอดโอยอยู่อีกด้าน
หลี่มู่ก้าวเท้าพุ่งเข้าไป
หม่าจวินอู่ตามอยู่ข้างหลังอย่างมึนงง
เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้จบไปแล้ว
มือปราบที่ท่าทางเหมือนหัวหน้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหมอบเคารพ พูดด้วยสีหน้าละอายใจว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยไร้ความสามารถ ไม่อาจต้านทานนักพรตชั่วนั่นได้ ขอใต้เท้าโปรดลงโทษ…”
หลี่มู่ยกมือตัดบทคำพูดของเขา “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้ พี่น้องเราบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อเขากล่าวประโยคนี้ออกมา ไม่ใช่แค่หม่าจวินอู่กับหัวหน้ามือปราบคนนี้เท่านั้น แม้แต่มือปราบที่ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่เหล่านั้นต่างก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นทันใด
แต่เดิมพวกเขารู้สึกว่าครั้งนี้ป้องกันดูแลไม่ได้ ใต้เท้าขุนนางเมืองจะต้องลงโทษอย่างแน่นอน
“นักพรตนั่นเหมือนไม่ได้คิดฆ่าคน ดังนั้นพี่น้องเราจึงแค่ได้รับบาดเจ็บ ไม่มีใครโดนฆ่าตายขอรับ…” หัวหน้ามือปราบตอบ
หลี่มู่พยักหน้าให้ ยามกำลังจะพูดอะไรก็พลันได้กลิ่นคาวเลือด
ร่างของเขากะพริบวูบมาถึงยังกำแพงที่ถล่มลงมุมหนึ่ง
ในเศษซากกองอิฐ ร่างที่อยู่ในชุดธรรมดาของคนทั้งสี่นอนจมกองเลือดตัวแข็งอยู่ บนร่างมีรอยดาบ เลือดไหลหมดตัว ร่างเย็นชืดแล้ว แน่นิ่งตายสนิท
หม่าจวินอู่และหัวหน้ามือปราบคนนั้นตามมา เพียงแค่เห็นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“นี่มัน…เป็นไปไม่ได้สิ เมื่อครู่ข้านับแล้วรอบหนึ่ง พี่น้องเราล้วนอยู่ครบ…เป็นไปได้อย่างไร?” มือปราบคนนั้นขนลุกซู่ขึ้นมาทันควัน
“เป็นพวกที่ออกจากเวรได้ยินความเคลื่อนไหวจึงย้อนกลับมาหรือเปล่า?” หม่าจวินอู่ถาม
“เรื่องนี้…” หัวหน้ามือปราบไม่ค่อยแน่ใจแล้ว
มือปราบในที่ว่าการล้วนสับเปลี่ยนเวรยามกันตลอด
เขาเป็นหัวหน้ามือปราบของเวรคืนนี้ รู้จักมือปราบที่ตนดูแลอยู่ แต่ไม่ได้รู้จักมือปราบของที่ว่าการอำเภอทั้งหมด
“เก็บร่างของพวกเขาก่อน ตรวจดูว่าเป็นคนจากกองไหน” หลี่มู่บัญชา
เพลิงโทสะในใจของเขาลุกโชนขึ้นแล้ว
ครั้งที่แล้วคนของพรรคเสินหนงสังหารจางหรูตาย เขาก็โค่นล้มทำลายพรรคเสินหนงเสีย
วันนี้ นักพรตผู้หนึ่งจู่ๆ ปรากฏตัวขึ้นมาและสังหารมือปราบไปสี่คน อภัยให้ไม่ได้เด็ดขาด
“ชิงเฟิงล่ะ?” หลี่มู่ถามเสียงดังก่อนกวาดสายตาไปรอบๆ นึกเป็นกังวลขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าเด็กรับใช้บัณฑิตปีศาจน้อยโดนจับไปพร้อมหมิงเยวี่ยหรอกนะ?
“คุณชาย ข้า…ข้าอยู่นี่…”
เสียงอ่อนระโหยดังออกมาจากใต้กำแพงที่ถล่ม
คนอื่นไม่ได้ยิน แต่หูของหลี่มู่ฉับไวนัก จับได้ทันทีว่าเป็นเสียงของเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง เหมือนว่ากำแพงจะถล่มทับเขาจนออกมาไม่ได้
บ้าเอ๊ย
คงไม่โดนทับตายหรอกนะ?
ความคิดอัปมงคลต่างๆ ผุดขึ้นในใจของหลี่มู่
เขามายังกำแพงที่ถล่มลงอย่างรวดเร็ว แล้วรื้อเศษอิฐเศษปูนออกอย่างระมัดระวัง
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงมุดออกมาจากข้างใต้อย่างกับปลาหนีชิว[1]
“คุณชายขอรับ อีกาตัวนั้นจับหมิงเยวี่ยไป บินไปข้างหลังที่ว่าการแล้ว…นางอยู่ในอันตราย รีบ รีบไปช่วยนางเร็วเข้า…” ครั้นชิงเฟิงออกมาก็ชี้ไปข้างหลังที่ว่าการอย่างร้อนใจ
หลี่มู่ประเมินปีศาจน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าหลายครา
ยังดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ
เพียงแค่โดนทับอยู่ใต้มุมสามเหลี่ยมระหว่างเชิงกำแพงกับกำแพงที่ถล่มลงมา ชิงเฟิงตัวเล็กจึงหลบอยู่ข้างใต้ได้พอดี ดังนั้นนอกจากทั่วตัวคลุกฝุ่นมอมแมมแล้ว ก็ไม่มีบาดแผลอะไรทั้งนั้น
“เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปช่วยคน”
หลี่มู่พูดแล้วก็ตะบึงไปข้างหลังที่ว่าการทันที
ชิงเฟิงรั้งเขาเอาไว้ก่อนจะกล่าวขึ้น “คุณชาย นี่ ท่านพกเอาไว้” พูดแล้วก็ยื่นโลหะทรงกลมฉลุลายขนาดประมาณฝ่ามือ มีสีเงิน และทำด้วยฝีมือวิจิตรประณีตมาให้หลี่มู่ ข้างในมีเสียงหวึ่งๆ ดังอยู่เบาๆ
“นี่คืออะไร?”
หลี่มู่รับมาดู พบว่าข้างในลูกโลหะฉลุขังแมลงสีทองรูปร่างประหลาดคล้ายแมลงวันไม่มีหัวสิบกว่าตัวเอาไว้ กำลังบินเปะปะไปมาอยู่ข้างใน ดูแล้วท่าทางฉุนเฉียวนัก
“มดตามกลิ่น สัตว์ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในเขาขาวพิสุทธิ์ ชอบ ‘กลิ่นดีงู[2]’ เป็นพิเศษ สามารถหากลิ่นนี้เจอในระยะหลายสิบลี้ ก่อนหน้านี้ข้าทา ‘กลิ่นดีงู’ ไว้ที่หมิงเยวี่ย มันช่วยคุณชายหาตำแหน่งของหมิงเยวี่ยได้ขอรับ… ” ชิงเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน
อะไรกันเนี่ย?
เจ้าทำของพรรค์นี้ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ทำไมข้าไม่รู้อะไรเลย?
เขามองไปยังปีศาจน้อยคนนี้อย่างลึกล้ำ
เด็กคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์เหมือนกับจิ้งจอกแก่เสียจริงๆ
แต่ก็ไม่มีเวลาไปถามอะไรให้มากความ หลี่มู่กำลูกโลหะฉลุสีเงินไว้ในมือ ก่อนจะแปลงเป็นสายฟ้าแลบทะยานไปข้างหลังที่ว่าการ
“คุณชาย ระวังตัวด้วย นักพรตตาบอดคนนั้นใช้วิชามารได้ น่ากลัวมาก…”
ข้างหลังมีเสียงตะโกนเตือนจากชิงเฟิงน้อยดังมา
“รู้แล้ว”
หลี่มู่โบกมือ
พุ่งทะยานขึ้นลงไปไม่กี่ที
หลี่มู่ก็ผ่านหลังที่ว่าการอำเภอมาถึงยังป่าทึบนอกกำแพง
ไม่พบร่องรอยใดๆ พื้นดินไม่มีเบาะแสหรือรอยเท้า
เห็นได้ชัดว่าหลี่มู่ไม่เชี่ยวชาญด้านการสะกดรอย
เขาเปิดสลักของโลหะทรงกลมสีเงินออกโดยไม่ลังเล ปล่อย ‘มดตามกลิ่น’ ออกมาหนึ่งตัว
หึ่ง หึ่ง!
เจ้าสิ่งนี้มองเผินๆ เหมือนกับมดแดงตัวใหญ่มีปีก ร้องเสียงแหลม ฉุนเฉียวเป็นอย่างมาก มันขยับปีกราวกับคลุ้มคลั่ง บินไปทางป่าลึกข้างหลังที่ว่าการ
รวดเร็วราวกับความเร็วแสง
หลี่มู่ใช้วิชาตัวเบาตามติดอยู่ข้างหลังมัน
นี่เป็นความเร็วและการมองเห็นอันน่าสะพรึงที่ ‘พลังก่อนกำเนิด’ ยกระดับให้กับเขา เขาจึงสามารถตามติดไปได้ภายใต้เงาสลัวของแสงจันทร์ที่โดนเมฆบดบัง
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งขีดสุดของขั้นรวมจิต ช่วงเวลาสามสี่อึดใจก็จะคลาดกับ ‘มดตามกลิ่น’ ตัวนี้แน่นอน
หลังจากนั้นสิบอึดใจ
‘มดตามกลิ่น’ บินทะลุป่าทึบ ดิ่งไปยังหุบเหวหน้าผาข้างหลัง
หลี่มู่ก็ตามไปโดยไม่ต้องคิด
‘นักพรตตาบอดคนนั้นก็ลงไปข้างล่างหุบเหวนี้ได้ด้วย?’
ใจของหลี่มู่เกิดความระแวดระวังมากยิ่งขึ้น
สามารถลงไปจากหุบเหวหน้าผานี้ได้ จะต้องเป็นจอมยุทธ์ยอดฝีมือที่แท้จริงแน่นอน
อีกทั้งนักพรตตาบอดยังจับหมิงเยวี่ยเอาไว้ด้วย ระดับความยากยิ่งมากขึ้นอีก
หากทำได้ถึงขั้นนี้ ต้องเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือแน่นอน
ก่อนหน้านี้หม่าจวินอู่และชิงเฟิงบอกว่านักพรตคนนั้นใช้วิชามารได้ เขายังไม่คิดเช่นนั้น แต่เมื่อคิดดูในตอนนี้ เกรงว่านักพรตตาบอดจะเป็นพวกนอกรีตจริง บนร่างจะต้องมีอะไรที่ผิดปกติเป็นแน่
หลี่มู่เก็บความคิดดูถูกลงไป
ไม่นานนัก เสียงน้ำตกก็ดังกึกก้องมาจากข้างล่าง
เขามาถึงยังน้ำตกเก้ามังกรแล้ว
‘มดตามกลิ่น’ ตัวนั้นหุนหันพลันแล่นยิ่งนัก บินทะลวงเข้าไปในม่านน้ำตก สายน้ำหอบม้วนมันหายไปโดยไร้ร่องรอยทันที
หลี่มู่จึงทำได้แค่ปล่อย ‘มดตามกลิ่น’ ตัวที่สองออกมาจากลูกโลหะสีเงิน
ฟิ้ว!
มดบินตัวนี้บินลงข้างล่างต่อไปราวลูกธนูพุ่งออกจากคันศร แต่ว่าสามารถหลบหลีกน้ำตกน่าพรั่นพรึง ‘สามพันฉื่อร่วงไหลริน’ ได้เป็นอย่างดี
หลี่มู่ตามติดข้างหลังมันไป
เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็มาถึงก้นเหวของหน้าผาสูงชัน
เงาเมฆมืดดำบนท้องฟ้าเปิดออกเป็นทางสายหนึ่งในตอนนี้พอดี
แสงจันทร์นวลกระจ่างลอดออกมาจากรอยแยก เสมือนกระบี่ศักดิ์สิทธิ์สีเงินเล่มหนึ่งแทงทะลุความว่างเปล่าระหว่างผืนฟ้าและแผ่นดิน
ทะเลสาบสะท้อนแสงระยิบระยับอยู่ใต้แสงจันทร์ ประหนึ่งมีเกล็ดเงินโปรยปราย
หลี่มู่ร่อนลงข้างทะเลสาบ
เขาเห็นอีกายักษ์ตัวหนึ่งกางปีกยาวหกฉื่อบินวนเงียบไร้สุ้มเสียงอยู่เหนือผืนน้ำสีดำสนิท ราวกับเป็นวิญญาณจากปรโลก
กลางทะเลสาบมีหินก้อนหนึ่งยื่นขึ้นมา
ด้านบนของก้อนหินเรียบลื่นเหมือนกระจก คล้ายเป็นเวทีหินสีดำที่กว้างขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสามจั้ง
นักพรตถือลำไม้ไผ่คนหนึ่งยืนอยู่บนนั้น
เขาสวมชุดนักพรตสีดำ สวมหมวกนักพรตสุริยันจันทรา สะพายกระบี่ไม้ที่พันรัดด้วยด้ายแดง ทั่วร่างอาบด้วยแสงจันทร์ รูปร่างผอมแห้ง ใบหน้าแข็งกระด้าง เบ้าตากลวงโบ๋ไม่มีลูกตา ยืนอย่างสงบเหมือนกำลังรออะไรอยู่
เด็กน้อยหมิงเยวี่ยถูกมัดมืออุดปาก นอนดิ้นอยู่บนก้อนหิน
ในที่สุดก็หาเจอแล้ว
หลี่มู่โล่งอก
หมิงเยวี่ยไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย ยังอยู่รอดปลอดภัยดี
“เจ้ามาแล้ว”
หูของนักพรตขยับเล็กน้อย เขาหันหน้ากลับมา เบ้าตาว่างเปล่าที่เหมือนกับหลุมดำบิดเบี้ยว ‘มอง’ มาทางหลี่มู่แล้วเอ่ยขึ้น
เสียงของเขาแหบแห้งเหมือนเหล็กขึ้นสนิมเสียดสีกัน
“เจ้ารอข้าอยู่?” หลี่มู่ตะลึง จากนั้นม่านตาหดตัวลงเล็กน้อย
“เจ้ามาเร็วกว่าที่ข้าคิดเอาไว้” นักพรตตาบอดหันกลับมาทั้งตัว
แสงจันทร์สาดส่องมาจากข้างหลังนักพรตตาบอดคนนี้
เขาอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา ร่างผอมแห้งแต่ชัดเจน ดุจดั่งห่อคลุมด้วยแสงจันทร์ แต่ใบหน้าซ่อนอยู่ในเงาพอดี จึงให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
……………………………………………………
[1] ปลาหนีชิวมีตัวแบน รูปร่างคล้ายปลาดุก ผิวเรียบลื่นมีเมือก อาศัยอยู่ในเลน
[2] ดีงูเป็นเครื่องยาจีนชั้นดีอย่างหนึ่ง สามารถนำมาผสมกับตัวยาอื่นๆ เพื่อทำเป็นยารับประทานบำรุงกำลังหรือรักษาโรค บางครั้งก็นำมาทำเป็นน้ำปรุงทาตัวเพื่อให้ผิวกายรู้สึกสดชื่นมีกลิ่นหอม ป้องกันยุง แก้อาการคันจากแมลงสัตว์กัดต่อย