จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 68 ปีศาจมนุษย์
“เจ้าเป็นใคร?”
หลี่มู่โคจรกำลังภายใน กล้ามเนื้อทั่วร่างขยายใหญ่ เลือดลมไหลเวียนเร็วขึ้น กระดูกสันหลังสั่นเทา ส่งเสียงลั่นต่ำทุ้ม ราวกับมังกรที่หมายจะทะยานขึ้นฟ้า
นี่คือสภาวะที่เขาแข็งแกร่งที่สุด
เขาสัมผัสได้ถึงการข่มขู่อันไร้รูปร่างจากนักพรตตาบอดคนนี้
นักพรตผู้นี้ยืนเหมือนลำไผ่ท่ามกลางแสงจันทร์สว่าง ชุดนักพรตสะบัดพลิ้วกลางสายลมยามราตรี ร่างผอมแห้งเสียจนเหมือนลมจะพัดปลิวได้ แต่แผ่กระจายกลิ่นอายอันตรายออกมา ประหนึ่งสัตว์ก่อนยุคประวัติศาสตร์ตัวมหึมาที่เก็บซ่อนหน้าตาอยู่ในเงามืด
หากไม่ใช่ว่าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายเช่นนี้ ด้วยนิสัยของหลี่มู่คงซัดหน้าหันไปนานแล้ว จะพูดให้มากความแบบนี้เสียที่ไหน
“ข้า?” เสียงของนักพรตแหบแห้ง “เป็นคนน่าสงสารที่ไร้บ้านให้กลับ”
แม่แกสิ
ยอดฝีมือนี่เป็นพวกคนบ้าจิตไม่ปกติไปเสียทุกคนรึไง?
ไม่ต้องวางท่าให้มาก พูดจากันให้ดีๆ ไม่ได้หรือ
หลี่มู่บ่นในใจ ก่อนจะถามอีก “จับเด็กรับใช้ของข้ามาทำไม?”
“เจ้าไม่รู้รึ?” นักพรตแสยะยิ้ม สีหน้าแข็งทื่อรวมกับเบ้าตากลวงโบ๋เหมือนคลื่นวนสีดำ ยิ่งทำให้เขาดูน่าขนลุกเข้าไปใหญ่ “เจ้าเด็กนี่เป็นปีศาจ”
“ปีศาจ? ปีศาจอะไร?” หลี่มู่ถาม
อาศัยโอกาสนี้รู้ตื้นลึกหนาบางของหมิงเยวี่ยให้ชัดเจนไปเลย
อย่างไรเสียเขาก็รู้สึกว่าหมิงเยวี่ยไม่ปกติอยู่แล้ว
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ตกใจเลยสักนิด?” นักพรตถึงแม้จะตาบอด แต่กลับรู้ชัดเจนถึงรอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่มู่ จึงย้อนถามกลับไป “เจ้ารู้นานแล้วใช่หรือไม่?”
หลี่มู่ส่ายหน้า “รู้แค่ว่ายัยเด็กนี่กินจุจนน่ากลัว ดังนั้นเลยรู้สึกว่าแปลก แต่ไม่รู้ว่านางเป็นปีศาจอะไร”
“อ้อ” นักพรตได้ยินดังนั้นก็คล้ายครุ่นคิดอะไร
เขาก้มหน้าเหมือนขบคิดอะไรสักอย่าง เอ่ยเหมือนพูดกับตัวเองว่า “เหมือนจะพูดความจริง”
หลังจากขบคิดเสร็จ นักพรตตาบอดก็เงยหน้าขึ้นกล่าว “ผู้ไม่รู้ไม่สมควรเอาผิด ในเมื่อเจ้าไม่รู้ บนร่างก็ไม่มีกลิ่นอายปีศาจ เช่นนั้นก็ไปเสียเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้า”
ไป?
หลี่มู่ไม่ไปแน่นอน
ข้าตามมาตลอดทาง แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อมาดูเจ้าวางท่าแล้วก็จากไป
เขาหัวเราะฮี่ๆ พูดว่า “ท่านนักพรตยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าหมิงเยวี่ยเป็นปีศาจอะไร”
นักพรตตาบอดทำหน้าเหมือนขาดอากาศ กล่าวเนิบช้าว่า “ข้ายังดูไม่ออก”
“พรืด…ท่านนักพรตคงไม่ได้ล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?” ตาของหลี่มู่หรี่เล็กลง
“ข้าไม่เคยล้อเล่น” สีหน้าของนักพรตตาบอดกลับมาแข็งทื่อดังไม้ผุๆ เหมือนเดิม
“ในเมื่อดูไม่ออก ถ้าหมิงเยวี่ยไม่ใช่ปีศาจเล่า?” หลี่มู่ถามอีก
“ถึงแม้จะดูไม่ออก แต่กลิ่นอายปีศาจลอยตลบพวยพุ่งขึ้นฟ้า กลิ่นอายปีศาจมหาศาลหาได้ยากยิ่งในโลกนี้ ข้าไม่มีทางมองผิดแน่นอน” นักพรตตาบอดพูดอย่างมั่นใจเป็นที่สุด
หลี่มู่ถามอีก “ท่านนักพรตมีอาชีพกำจัดปีศาจ?”
“ข้าเคยสาบานไว้ว่าจะกำจัดปีศาจในโลกหล้าให้สิ้นซาก” นักพรตตาบอดพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ฆ่าปีศาจได้ตัวหนึ่งได้เงินเท่าไหร่?” เขาถามอีกครั้ง
“หาใช่เพื่อเงินทอง” นักพรตตอบ “แต่เพื่อผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์”
หลี่มู่อับจนคำพูด
ผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์?
เหมือนจะเป็นนักพรตชั่วที่มีหลักการนะนี่
แต่ว่าเจ้าเป็นนักบวชจะวางท่าขนาดนี้ไปทำไมเล่า
เขาค่อนขอดในใจ แต่ใบหน้ากลับยังยิ้มร่า ถามขึ้นอีกว่า “ไม่ว่าจะเป็นปีศาจดีหรือร้าย ท่านก็ฆ่าทั้งหมด?”
นักพรตตาบอดแค่นหัวเราะ “บนโลกนี้จะไปมีปีศาจดีได้อย่างไร?”
“ในเมื่อคนยังมีแบ่งดีชั่ว เช่นนั้นทำไมปีศาจจะแบ่งไม่ได้เล่า?” หลี่มู่ย้อนถาม
“ปีศาจจะเอามาเทียบกับมนุษย์ได้อย่างไร?” น้ำเสียงของนักพรตตาบอดเริ่มเจือความโมโห
หลี่มู่คิดถึงประโยคทองของพระถังซัมจั๋งที่น่ารำคาญเหมือนแมลงวันในหนังเรื่อง ‘ไซอิ๋ว เดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน’ บนโลก ดังนั้นจึงหัวเราะลั่น “คนแม่ก็คลอดออกมา ปีศาจแม่ก็คลอดออกมา ในเมื่อล้วนมีแม่คลอดมา แน่นอนว่าย่อมเหมือนคน ทำไมจะเทียบไม่ได้?”
นักพรตตาบอดนิ่งอึ้ง
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าหลี่มู่จะพูดจาเช่นนี้
เขาใช้น้ำเสียงผิดหวังและโมโหกล่าวอย่างฉุนเฉียว “มีอย่างนี้ที่ไหนกัน…ผู้เยาว์ เจ้ามีพรสวรรค์เลิศล้ำ นับว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่คน เห็นแก่ที่เจ้าไม่รู้ว่าเด็กรับใช้นี่เป็นปีศาจ ข้าจะไม่หาเรื่องเจ้า เจ้าอย่าได้ใช้คำเพ้อเจ้อไร้สาระมาทดสอบความอดทนของข้า”
หลี่มู่เอ่ย “ทำไม หากข้าพูดอีกสองสามประโยค ท่านนักพรตจะฆ่าข้าอย่างนั้นรึ?”
“ข้าไม่ฆ่าคน” นักพรตพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่หากคนคบค้ากับปีศาจ ไม่รู้จักกลับตัวกลับใจ เช่นนั้นก็คือปีศาจมนุษย์ ต้องฆ่าทิ้ง”
พรืด!
หลี่มู่น้ำแทบพุ่งออกจากปาก
สาวประเภทสอง[1]คำนี้ ที่แท้ดาวดวงนี้มีคำอธิบายอย่างนี้เองหรอกหรือ
นักพรตชั่วคนนี้นี่ช่างไม่มีอารยธรรมจริงๆ
หลี่มู่ไม่พูดอะไรอีกต่อไป
เขาเริ่มถอดเสื้อออก
ภายใต้แสงจันทร์ หลี่มู่ถอดชุดคลุมยาวบนร่างอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นถอดกางเกงออก สุดท้ายก็ถอดรองเท้า ทั้งตัวเหลือแค่กางเกงชั้นในเท่านั้น เขาพับเสื้อที่ถอดออกมาอย่างเป็นระเบียบแล้ววางไว้ข้างหินก้อนหนึ่ง ใช้ก้อนหินทับมันเอาไว้
“เจ้าทำอะไร?” นักพรตตาบอดงุนงงนัก
หรือขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์จะเป็นคนบ้า?
ต่อให้เป็นนักพรตตาบอดที่รอบรู้ ในตอนนี้ก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน
หลี่มู่หัวเราะ
“มารดาท่านตาบอดรึ ข้ากำลังถอดเสื้ออยู่น่ะสิ…อ้อ โทษที ลืมไป ท่านก็ตาบอดจริงๆ นั่นแหละ”
เขาเริ่มเสียดสีสร้างศัตรู
ทว่านักพรตตาบอดไม่โมโหเป็นเดือดเป็นร้อนตามความคิดของหลี่มู่ แต่กลับถามอย่างแปลกใจยิ่งกว่าเดิม “เหตุใดจึงต้องถอดเสื้อ?”
บ้าเอ๊ย ทำไมอารมณ์ของนักพรตชั่วถึงได้เย็นนักนะ?
หลี่มู่คิดจะใช้แผนการขั้นแรกยั่วโมโหคู่ต่อสู้ แต่กลับล้มเหลว
เขาจึงได้แต่ทำตามแผนเดิม กระโดดไปมาอยู่กับที่ เตรียมความพร้อมร่างกาย พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถอดเสื้อสู้สบายกว่า อีกอย่างแรงข้าค่อนข้างเยอะ กลัวว่าอีกประเดี๋ยวตอนที่สู้กันจะทำเสื้อชุดนี้ขาด ต้องรู้ไว้นะว่าเสื้อชุดนี้ข้าใส่ยังไม่ถึงชั่วยามเลย ทำขาดไปเสียดายแย่”
สิ่งที่หลี่มู่พูดออกไปคือความจริงในใจ
ถึงแม้ผู้ชายคนหนึ่งถอดเสื้อสู้ดูค่อนข้างโรคจิต แต่อย่างไรเสียก็เป็นตอนกลางคืน คู่ต่อสู้ก็เป็นคนตาบอด เช่นนั้นไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลแล้ว
หลี่มู่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองเป็นอย่างดี
หากปะทุพลังที่น่าพรั่นพรึงออกมาจริงๆ เพียงชั่วพริบตาคงสะเทือนจนเสื้อผ้าบนร่างส่วนใหญ่ขาดวิ่น สู้เสร็จจะล่อนจ้อนไปเสียทุกครั้งไม่ได้ ดังนั้นถอดเสื้อผ้าออกก่อนจะดีกว่า แบบนี้สู้เสร็จแล้วยังมีเสื้อผ้าให้สวมใส่อีก
“เจ้าจะสู้สุดชีวิตเพื่อปีศาจตัวนี้จริงๆ รึ?” นักพรตตาบอดขมวดคิ้ว
หลี่มู่สะบัดข้อมือ เอ่ยว่า “ท่านนักพรต อย่ามั่นใจขนาดนั้นสิ อีกเดี๋ยวสู้กันใครต้องสู้สุดชีวิตก็ยังไม่แน่”
เขาเดินไปยังทะเลสาบทีละก้าวๆ พลางกล่าว “สุดท้าย ยังมีอีกเรื่องหนึ่งอยากจะขอถามท่านนักพรตสักนิด”
“ถามอะไร?” นักพรตตาบอดพูด
“มารดาท่านชื่ออะไร?” หลี่มู่ถาม
อะไรนะ?
นักพรตตาบอดอึ้งไป
ฟิ้ว!
สายฟ้าร่างคนสีเนื้อพาดผ่านท้องฟ้า
เสี้ยวขณะที่เสียงอากาศระเบิด หลี่มู่ก็ข้ามผืนน้ำไปสามสิบกว่าจั้ง หมัดหนึ่งซัดไปยังร่างของนักพรตตาบอด
หลี่มู่ที่ระเบิดพลังทั้งหมด ความเร็วและพลังน่ากลัวยิ่งนัก
การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงทำให้ผิวน้ำเกิดรอยคลื่นอากาศยาวสามสิบกว่าจั้ง ส่วนการออกหมัดของหลี่มู่ก็ซัดเสาแสงโปร่งใสที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าไปกลางอากาศ ราวกับกระบี่เทพน่าครั่นคร้ามอันไร้รูปร่างแยกฟ้าและดินออกจากกันในพริบตา
หากนักพรตตาบอดที่ยืนอยู่บนหินสีดำโดนซัดเข้าจะกลายเป็นเนื้อสับทันที
สิ่งที่ยิ่งน่ากลัวยิ่งกว่าคือ หมัดนี้พลังไม่ลดลงเลย แต่ข้ามท้องฟ้าสามร้อยกว่าจั้ง ระเบิดไปยังยอดหินในทะเลสาบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ทำลายก้อนหินที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสามจั้งแหลกลาญทันที
แต่ในใจของหลี่มู่กลับมีลางสังหรณ์ผุดขึ้นมา
ความรู้สึกเหมือนพลังหมัดอัดเข้ากับปุยนุ่น ทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่าที่จริงแล้วหมัดนี้ไม่ได้โจมตีถูกเป้าหมาย ทุกอย่างที่สายตาจับได้เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
เขาอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ยืมแรงจากที่ใด แต่ก็เหมือนกับติดปีกโบยบิน พลันกะพริบหายวับไปที่ไกลโพ้นอย่างคาดไม่ถึง
แทบจะในเวลาเดียวกัน แสงสีดำสายหนึ่งทิ้งเงาเอาไว้ตรงนั้นหลังจากพุ่งใส่หลี่มู่ที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง
สิ่งนั้นเป็นขนนกอันหนึ่ง
ขนของอีกาดำ
ร่างของหลี่มู่กระโดดวูบไหวไม่หยุดในท้องฟ้า ทิ้งรอยเงาเอาไว้นับไม่ถ้วน
ภาพนี้เหมือนกับแยกร่างอย่างไรอย่างนั้น กลางอากาศมีหลี่มู่ปรากฏตัวขึ้นนับไม่ถ้วน
การเคลื่อนที่รวดเร็วดุจเคลื่อนย้ายในพริบตาเช่นนี้ทำลายกฎฟิสิกส์ของโลกนี้ลงอย่างสิ้นเชิง
แต่ว่าลำแสงสีดำหลายสายขยับวูบอย่างไร้สุ้มเสียง ฟาดเข้าเป้าทำลายเงาแต่ละร่างๆ ลง
สุดท้าย เงาของหลี่มู่หลายสิบร่างก็ทยอยสลายหายไปเหมือนควัน
กลางท้องฟ้าเหนือพื้นดินเกือบสิบจั้ง อีกาดำตัวมหึมาลอยนิ่ง
ร่างของนักพรตตาบอดปรากฏอยู่บนหลังของอีกา ยืนอย่างสงบตรงนั้น ราวกับเซียนลงมาเยือน
ขนอีกาหนึ่งร้อยแปดอันลอยละล่องอยู่รอบๆ คนและนก
ขนนกสีดำทุกอันกว้างขนาดสี่นิ้วมือ ยาวสองฉื่อ มีสีดำขลับ ผิวสัมผัสดั่งเหล็ก ประกายโลหะที่ส่องสะท้อนใต้เงาจันทร์ดุจกระบี่บินสีดำ สั่นไหวดังวิ้งๆ ขอเพียงแค่จิตของนักพรตตาบอดขยับ ก็สามารถแปลงเป็นฝนกระบี่เทพสีดำสังหารศัตรูทั้งหมดได้ทันที
‘แม่งเอ๊ย เป็นวิชามารจริงๆ ด้วย’
ร่างจริงของหลี่มู่ปรากฏตัวบนแท่นหินสีดำกลางทะเลสาบ
เขาคิดไม่ถึงว่าวิชาของนักพรตตาบอดจะแปลกประหลาดได้ถึงระดับนี้
และก็คิดไม่ถึงด้วยว่าอีกายักษ์ตัวนี้จะมีอำนาจประหนึ่งสัตว์เทพ
การจับคู่แบบนี้รับมือได้ยากยิ่งนัก
อย่างน้อยปฏิกิริยาตอบสนองของนักพรตตาบอดเมื่อครู่ก็รวดเร็วยิ่ง หมัดที่ตนระเบิดพลังโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวทลายยอดหินในทะเลสาบจนแหลกละเอียด แต่ไม่สามารถทำอะไรนักพรตตาบอดได้เลย กลับกันเขาเกือบจะโดนการโจมตีกลับจากคู่ต่อสู้แล้ว
“ฮือๆๆ…” หมิงเยวี่ยนอนดิ้นกระเสือกกระสนอยู่ข้างเท้าหลี่มู่
หลี่มู่ทำนิ้วประดุจดาบ ก่อนพลิกมือตวัด
เชือกบนร่างของเด็กน้อยหน้ามึนหมิงเยวี่ยขาดสะบั้น
เด็กสาวตัวเล็กกระโดดผลุงขึ้นมา สะบัดเชือกแล้วเอาเศษผ้าที่อุดปากออก หอบหายใจเอาอากาศสดชื่นพะงาบๆ กระทืบเท้าพลางโวยวาย “คุณชาย ตาแก่นี่พูดจาเพ้อเจ้อ ข้าไม่ใช่ปีศาจอะไรสักหน่อย ท่านรีบซัดมันให้น่วมเร็วเข้า”
หลี่มู่ตวาด “หุบปาก…อย่าทำให้ข้าเสียสมาธิ อยู่เงียบๆ”
หากทุบนักพรตคนนี้ให้น่วมได้คงทำไปนานแล้ว ต้องให้แม่เด็กโง่บอกเสียที่ไหน
“เอ่อ ว่าแต่คุณชายเจ้าคะ ท่านถอดเสื้อเปลือยกายทำไมกัน?” หมิงเยวี่ยถามอย่างสงสัย
บ้าจริง ไอคิวของยัยเด็กโง่นี่ยากที่จะเอาคนทั่วไปมาวัดด้วยจริงๆ อีกทั้งความสนใจยังเปลี่ยนไปได้โดยไร้ซึ่งตรรกะ ไร้ประโยชน์ ทั้งยังไม่สนกาลเทศะอีกด้วย
หลี่มู่เสียใจแล้วที่แก้เชือกบนร่างหมิงเยวี่ยออก
เขาเกิดความคิดชั่ววูบว่าอยากจะมัดตัวอุดปากเด็กโลลิหน้ามึนใหม่เสียแล้ว
แต่ว่าหนึ่งคนหนึ่งนกกลางท้องฟ้ากำลังจ้องโจมตี เขาไม่มีทางทำอย่างนั้นได้จริง
เขาไม่กล้าวอกแวกเกินไป
“ผู้เยาว์ เตือนเจ้าครั้งเป็นสุดท้าย ทิ้งปีศาจตนนี้เอาไว้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” นักพรตตาบอดยืนอยู่บนหลังอีกาตัวยักษ์ด้วยทีท่า ‘อย่าหาว่าไม่เตือน’ พร้อมทั้งเอ่ยเตือนเป็นครั้งสุดท้าย “อย่าได้เอาชีวิตตัวเองมาทิ้งไว้ที่นี่เพียงเพื่อปีศาจตนหนึ่ง”
“เจ้านี่โคตรพ่อโคตรแม่ขี้โม้เลยนะ” หลี่มู่เหน็บแนมกลับ
“ดื้อดึงไม่รู้จักกลับเนื้อกลับตัว คบค้ากับปีศาจ เจ้ากลายเป็นพวกปีศาจมนุษย์แล้ว น่าเสียดายพรสวรรค์นัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะส่งเจ้าไปปรโลกเสีย จะได้ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับโลกมนุษย์” ความอดทนเสี้ยวสุดท้ายของนักพรตตาบอดหมดสิ้น
“เจ้าน่ะสิพวกลักเพศ บ้านเจ้าทั้งบ้านเป็นพวกลักเพศ” หลี่มู่โมโห
สู้กันด้วยความสามารถสิ เจ้าเป็นนักบวชทำไมใช้คำพูดเหยียดหยามคนอื่น?
ตอนนี้เอง การเปลี่ยนแปลงประหลาดพลันเกิดขึ้น
…………………………………………
[1] ปีศาจมนุษย์และสาวประเภทสองเป็นคำจีนพ้องรูปพ้องเสียง ในภาษาจีนโบราณหมายถึงเหตุการณ์วิปริตหรืออาเพศ ราชวงศ์หนานเป่ยใช้ในความหมายว่าชายที่ปลอมตัวเป็นหญิง และแผลงเป็นคำเรียกเพศที่สามในปัจจุบัน ในที่นี้นักพรตต้องการสื่อความหมายตรงตามตัวอักษร แต่หลี่มู่เข้าใจแบบคนยุคปัจจุบัน