จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 8 ยอดฝีมือระดับสาม
หวงเหวยจ้องหลี่มู่ด้วยความหวั่นเกรงอยู่บ้าง
เขาไม่เคยพบขุนนางเมืองที่พูดจาสามหาวและเผด็จการเช่นนี้มาก่อน
“ดี ดีมาก ใต้เท้าช่างมีอำนาจยิ่งใหญ่นัก ฮ่าๆ ผู้น้อยจำได้แล้วขอรับ แต่ว่าในอำเภอขาวพิสุทธิ์แห่งนี้ สิ่งที่ใต้เท้าพูดก็ไม่แน่ว่าจะเป็นจริง หึๆ” หวงเหวยเรียกสติกลับมา ไม่เก็บความรู้สึกอีกต่อไป เขายิ้มเยือกเย็นแล้วกล่าวถากถาง “คำพูดใต้เท้า ผู้น้อยจะพูดให้นายฟังโดยไม่ขาดตกซักคำ หวังว่าสิ่งที่ท่านพูดจะทำได้จริงเมื่อเวลามาถึง เหอะๆ ผู้น้อยขอกล่าวลา”
พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
เมื่อก้าวไปได้สองก้าว เขายังรู้สึกไม่สาแก่ใจ จึงหันกลับมายิ้มหยามเหยียด “ข้าอยากแนะนำท่านสักหน่อย ใต้เท้าเพิ่งมาอำเภอขาวพิสุทธิ์ครั้งแรก ท่านไม่รู้หรอกว่าพวกเราร้านโอสถเทพมีอำนาจมากน้อยเพียงใดในอำเภอเมืองแห่งนี้ ท่านลองหาเวลาถามดูเป็นดีที่สุด มิเช่นนั้นอีกสามวันจะสำนึกก็สายไปแล้ว”
กล่าวจบก็เดินวางก้ามออกไป
เป็นเพียงแค่ผู้จัดการร้านตำแหน่งเล็กๆ ยังกล้าเหิมเกริมในศาลที่ว่าการได้ถึงเพียงนี้ เห็นได้ว่าร้านโอสถเทพอะไรนั่นกับพรรคเสินหนงที่อยู่เบื้องหลังทรงอิทธิพลมากแค่ไหนในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์
หลี่มู่มองตามหลังอีกฝ่าย อยากจะไล่ต้อนให้หวงเหวยหลุดปากพูดออกมาเองหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็อดรนทนไม่ได้
เขารู้ว่าการหมกตัวอยู่ในเรือนตั้งแต่รับตำแหน่งมายี่สิบกว่าวัน ทำให้ตนถูกมองเป็นคนอ่อนแอรังแกง่ายไปแล้ว
จะยอมให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร?
ดูท่าทางต้องแสดงความสามารถกันบ้างแล้ว
ต้องหาโอกาสให้ประชาชนบนโลกนี้รู้สึกถึงการทักทายอันอบอุ่นของชาวโลกสักหน่อย
ตอนนี้ไม่ต้องรีบร้อน อีกสามวันค่อยเก็บกวาดทีเดียว
แต่ก่อนหน้านั้นหลี่มู่ต้องรู้แจ้งกับเรื่องบางเรื่องก่อน
“ทหาร ส่งจางหลี่และจางฉินเอ๋อร์ไปรักษาและพักผ่อนที่โรงหมอ” หลี่มู่สั่งการ
ทหารองครักษ์ประคองหญิงวัยออกเรือนและลูกสาวขึ้นมา
“วางใจเถอะ ภายในสามวันข้าจะคืนความยุติธรรมให้พวกเจ้าเอง” หลี่มู่ปลอบขวัญนางและเด็กกำพร้าพ่อผู้น่าสงสาร
จางหลี่และเสี่ยวฉินเดินจากไปด้วยความซาบซึ้ง
ในเวลาที่ตกอับและสิ้นหวังที่สุดในชีวิต สุดท้ายพวกเขาก็ได้เห็นความยุติธรรมและความหวังอยู่รางๆ
“วันนี้ในศาลทำไมถึงมีแค่พวกเจ้าหกคน?” หลี่มู่กลับไปนั่งที่แล้วมององครักษ์ที่เหลืออยู่สี่คน ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกพิกลอยู่ ได้ยินมาจากชิงเฟิงคร่าวๆ ว่าองครักษ์ในที่ว่าการมีเป็นร้อยคน วันนี้ปรากฏอยู่เพียงหกคน คนอื่นล่ะ?
“เอ่อ คือว่า…”
“คือ…”
องครักษ์ทั้งสี่อึกๆ อักๆ
“เจ้าพูด” หลี่มู่ชี้ไปที่องครักษ์คนที่พูดมาตั้งแต่เปิดศาล “เจ้าชื่ออะไร?”
องครักษ์ผู้นี้ยังหนุ่มมาก อายุประมาณยี่สิบต้นๆ มีร่างกายที่แข็งแรงกำยำ หน้าตาคมสัน เมื่อถูกหลี่มู่ชี้หน้าก็ถอดสี พูดกระท่อนกระแท่นว่า “ข้าน้อยนามจางหรู…คนอื่น…น่าจะ…ถูกส่งออกไปแล้วกระมัง…ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ชัดนักขอรับ”
หลี่มู่เกรงว่าเรื่องนี้มันคงไม่ง่ายตามที่เขาพูดเป็นแน่
แต่หลังจากขบคิดก็โบกมือเป็นสัญญาณให้ถอยไปได้
คงถามอะไรจากปากองครักษ์พวกนี้ไม่ได้มาก
เหล่าองครักษ์เหมือนยกภูเขาออกจากอก รีบถอยออกไปราวกับหนี
“คุณชาย มีคนวางแผนทำร้ายท่าน” หมิงเยวี่ยเด็กรับใช้บัณฑิตพูดด้วยความไม่พอใจ
หลังจากชิงเฟิงจดบันทึกการสอบสวนครั้งแรกของท่านหลี่มู่เสร็จ เขาก็วางพู่กันลง แล้วยืนขึ้นพร้อมสีหน้าเป็นกังวล “ครั้งนี้หมิงเยวี่ยกล่าวได้ถูกต้อง บรรยากาศในที่ว่าการช่วงนี้ไม่ปกตินัก”
ตอนแรกหมิงเยวี่ยก็ดีใจ ดวงตากลมโตงดงามยิ้มเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว แต่เมื่อตระหนักอะไรบางอย่าง หูขาวๆ อันบอบบางก็กระตุก หันไปมองทางชิงเฟิง “ครั้งนี้? เช่นนั้นเจ้าก็หมายความว่าก่อนหน้านี้สิ่งที่ข้าพูดมาทั้งหมดล้วนไม่ถูกต้อง?”
ชิงเฟิงอึ้งงัน
“ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ซักกางเกงชั้นในของคุณชาย ขอตัวกลับไปซักก่อน…” ชิงเฟิงหันหลังเดินจากไป
หมิงเยวี่ยผลุงตัวขึ้นมา “อย่าเพิ่งไปนะ มาพูดให้รู้เรื่องก่อน”
หลี่มู่ลูบหน้าผากตัวเอง
เจ้าหลี่มู่ที่ตกหน้าผาเป็นหรือตายก็ไม่รู้คนนั้น เขาไปหาเด็กตลกสองคนนี้มาจากที่ไหนกัน
การเปิดศาลครั้งแรกสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีให้เขา จึงแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้รับความสบายใจที่เขาควรจะได้รับ
สิ่งสำคัญคือหลี่มู่คิดจริงจังว่าเขาต้องเป็นฝ่ายกลมกลืนกับโลกใบนี้ให้มากกว่านี้ ดีที่สุดคือสามารถเข้าพวกหรือต่อกรกับคนในแวดวงยุทธภพของที่นี่ให้ได้ แม้ซินแสเฒ่าจะบอกว่าความปลอดภัยสำคัญที่สุด ทว่าหนทางของวิถียุทธ์มีปลอดภัยเสียที่ไหน ทะเลสาบที่สงบไม่อาจสร้างกะลาสีที่ดีได้ มีเพียงเจอคลื่นลมเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกปรือฝีพายอย่างแท้จริง
หากเขาต้องการระดับวรยุทธ์ที่ช่วยให้ออกไปจากดาวดวงนี้ภายในยี่สิบปี เช่นนั้นก็ต้องต่อสู้บากบั่น
เมื่อคิดมาถึงขั้นนี้ ความคิดหลี่มู่ก็แจ่มแจ้งขึ้นมาก
เขากลับไปที่เรือนหลังที่ว่าการแล้วฝึกฝนต่อไป
………….
เช้าวันที่สอง เขาเรียกหม่าจวินอู่หัวหน้าองครักษ์เข้ามาพบเพื่อสอบถามเรื่องราวบางอย่าง
“คารวะใต้เท้า”
หม่าจวินอู่เป็นชายกำยำรูปร่างสูงใหญ่ ไว้หนวดเครา ใบหน้าเหลี่ยม สวมชุดเกราะอ่อนสีดำ บนศีรษะสวมหมวกเกราะที่ทำจากผ้า และพกดาบเล่มหนาไว้ข้างเอว ท่าทางทรงอำนาจ ทั้งยังเป็นหนึ่งในสามหัวหน้าใหญ่ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ ชัดเจนว่าพลังแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยก็ทำให้หลี่มู่รู้สึกว่าแข็งแกร่งกว่านักรบพรรคจันทราโลหิตหกคนที่ไล่ฆ่าเขาในวันนั้น
“หัวหน้าหม่าไม่ต้องเกรงใจ เชิญนั่ง” หลี่มู่ชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้าง ก่อนจะกล่าวว่า “ที่เชิญหัวหน้าหม่ามาในวันนี้ ข้าอยากจะถามท่านเกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพสักหน่อย”
“เรื่องในยุทธภพ?” หม่าจวินอู่ตกใจ ขุนนางเมืองหนุ่มคนนี้พยายามหลีกเลี่ยงการให้เข้าพบมาโดยตลอด พอเรียกเขามาพบก็ไม่ได้คุยเรื่องราชการ แต่มาคุยเรื่องยุทธภพ?
หลี่มู่พยักหน้า กล่าวว่า “ได้ยินว่าหัวหน้าหม่าก็เคยอยู่ในสำนักมาก่อน”
หม่าจวินอู่เป็นจอมยุทธ์ มีนิสัยเงียบขรึม “เรียนใต้เท้า ข้าน้อยมาจากสำนักขาวพิสุทธิ์”
“สำนักขาวพิสุทธิ์?”
“ขอรับ สำนักขาวพิสุทธิ์ตั้งอยู่ในเขาขาวพิสุทธิ์ อยู่ในอันดับเก้าสิบเก้าจากนับพันสำนักของจักรวรรดิ มีอันดับในแผ่นดินใหญ่เป็นสำนักระดับเก้าแล้ว เมื่อสิบปีก่อนข้าโชคดีได้รับการชี้แนะจากผู้อาวุโสนอกสำนัก ท่านรับข้าเป็นศิษย์และถ่ายทอดวรยุทธ์ให้” หม่าจวินอู่ตอบอย่างจริงใจ
ในความเป็นจริง เหตุผลที่เขาได้มาเป็นหัวหน้าองครักษ์แห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์ นอกจากเป็นคนที่ขุนนางเมืองคนก่อนโปรดปรานแล้ว การเป็นศิษย์นอกสำนักขาวพิสุทธิ์ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผล อย่างไรในระยะพันลี้ชื่อเสียงของสำนักขาวพิสุทธิ์ก็โด่งดังและมีอิทธิพลกว้างไกล
“สำนักระดับเก้า?” หลี่มู่ขบคิด “สำนักก็มีการแบ่งระดับอย่างนั้นหรือ?”
หม่าจวินอู่นึกว่าขุนนางเมืองหนุ่มคนนี้อุทิศตนให้กับการเรียน จึงไม่รู้ความรู้ทั่วไปในยุทธภพ เขาพยักหน้าและกล่าวตอบ “ใช่แล้วขอรับ จักรวรรดิทั้งสามและเก้าสำนักเทพร่วมกันปกครองทั่วหล้า นอกจากสำนักเทพเก้าสำนักยังมีสำนักใหญ่เล็กอีกเป็นพันเป็นหมื่น พันกว่าปีก่อนมีนักบวชโบราณแบ่งลำดับในแผ่นดินใหญ่ไว้ สำนักไม่สามารถปกครองได้โดยตรง และต้องวัดระดับ เมื่อเข้าขั้นแล้วจะมีสิทธิพิเศษในทางโลก คือเหล่าศิษย์ในสำนักไม่ต้องผูกมัดอยู่ภายใต้กฎของสังคมโดยสมบูรณ์…”
หลี่มู่ไม่ได้พูดสิ่งใด เขานั่งฟังหม่าจวินอู่อย่างเงียบๆ
เขาเข้าใจคร่าวๆ ว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้ไม่เหมือนโลกมนุษย์ในอดีต
ในโลกใบนี้พลังยุทธ์มีอิทธิพลต่อชะตาบ้านเมืองได้ มีสำนักเป็นพันเป็นหมื่นอยู่ทั่วทุกแห่งหน สามจักรวรรดิใหญ่ในแผ่นดินใหญ่ได้แก่ฉินตะวันตก ซ่งเหนือ ฉู่ใต้ สามราชวงศ์ร่วมกันปกครอง ขุนนาง เสนาบดี และนายพลในจักรวรรดิล้วนมีสำนักอยู่เบื้องหลัง กระทั่งราชวงศ์ในสามจักรวรรดิใหญ่ก็มีอิทธิพลในยุทธภพที่สืบทอดกันมายาวนาน
แม้ซินแสเฒ่าจะบอกว่าที่นี่เป็นดวงดาววิถียุทธ์ระดับล่าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าโลกที่มีระดับพลังยุทธ์นี้ดีกว่าโลกมนุษย์ยุคโบราณเป็นไหนๆ
“สำนักเทพเก้าสำนักคือพวกนั้น?” หลี่มู่ถามต่อ
“ใต้เท้าไม่รู้หรือ?” หม่าจวินอู่ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ในโลกใบนี้ไม่รู้นามจักรพรรดิของสามจักรวรรดิใหญ่ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ไม่รู้จักเก้าสำนักเทพที่สืบทอดกันมายาวนานเป็นพันปีนี่สิที่แปลกนัก
หลี่มู่กล่าวอย่างจริงจัง “อ่า คือว่าไม่นานมานี้ข้าตกเขาจึงกระทบกระเทือนต่อสมอง”
หม่าจวินอู่เริ่มสงสัย แต่ก็ยังคงตอบว่า “สำนักใหญ่เก้าสำนักแบ่งออกเป็นวัดฮว๋าจั้ง อารามเต๋าชิงเฉิงแห่งเขามรกต วิหารเทพอาทิตย์ จวนมารสวรรค์ สำนักบัณฑิตถามเต๋า สำนักฟ้าคราม วังเทพหมาป่าแห่งที่ราบทุ่งหญ้า ธารน้ำสุดแดนใต้ และทุ่งปิดผาสำนักเทพพิทักษ์ดินแดนของจักรวรรดิฉินเรา”
หลี่มู่พยักหน้า ไม่ได้ถามต่อเพราะกลัวหม่าจวินอู่จะสงสัย เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าเป็นปัญญาชน ไม่รู้เรื่องการฝึกวรยุทธ์ ขอถามหัวหน้าหม่าว่าแบ่งระดับขั้นพลังเช่นไร พลังของจอมยุทธ์ขั้นสูงต่ำมีชื่อเรียกขานที่ต่างกันใช่หรือไม่”
หม่าจวินอู่ไม่สงสัยอะไรในครั้งนี้ อธิบายอย่างอดทนว่า “การฝึกฝนวรยุทธ์แน่นอนว่ามีขอบเขตที่แตกต่างกัน ปกติแล้วผู้แข็งแกร่งที่ผ่านการฝึกฝนวิชาจะสามารถเพิ่มกำลังได้ เลือดลมจะสมบูรณ์ แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย เมื่อผสมผสานกับวิชายุทธ์ พวกเขาสามารถล้มคนธรรมดาสิบกว่าคนได้ด้วยมือเปล่า มีพลังมากมาย นั่นคือขั้นรวมกำลัง นับว่าเป็นการก้าวสู่ยอดฝีมือในยุทธภพ เหนือกว่านั้นอีก หากเปิดช่องปราณได้สำเร็จ ควบคุมกำลังภายในได้ ก็ถือว่าเข้าสู่ขั้นรวมปราณ นับว่าเป็นยอดฝีมือระดับสามได้แล้ว หากสามารถพัฒนาไปได้อีกขั้น ผสมกำลังและปราณเป็นหนึ่ง ก็จะเข้าสู่ขั้นรวมจิต นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสองในยุทธภพ… ”
เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ หม่าจวินอู่ก็ไม่พูดต่อ
หลี่มู่ที่ฟังอย่างออกรส พอเห็นอีกฝ่ายหยุดพูดจึงรีบถามเขาว่า “แล้วขั้นที่สูงกว่าขั้นรวมจิตล่ะ ยังมีระดับไหนอีก? คนแข็งแกร่งแบบไหนถึงจะนับว่าเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง?”
หม่าจวินอู่ยิ้มเฝื่อน แล้วพูดว่า “เป็นข้าน้อยที่โง่เขลา ในอดีตอาจารย์ข้าเพียงถ่ายทอดความรู้เบื้องต้นให้บางส่วน ข้าน้อยจึงไม่แน่ชัดเรื่องการแบ่งระดับที่เกินกว่าขั้นรวมจิต สำหรับยอดฝีมือระดับหนึ่งที่แท้จริง นอกจากอาจารย์ของข้าน้อย เกรงว่าในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์คงไม่มีอีก ข้าน้อยเองก็ไม่เคยพบ”
“ไม่ทราบว่าหัวหน้าหม่าอยู่ในระดับใด?” หลี่มู่ถามต่อไป
หม่าจวินอู่ก็มิได้ปกปิดแต่อย่างใด กล่าวตอบไปว่า “ข้าน้อยคุณสมบัติไม่สูง ฝึกหนักสิบปีถึงเพิ่งเข้าขั้นรวมปราณ”
“ว้าว นี่ก็นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว” หลี่มู่เอ่ยชมแบบปากไม่ตรงกับใจ
เขาพยักหน้าเหมือนในใจคิดอะไรอยู่
แรงกดดันและความรู้สึกที่หม่าจวินอู่ให้แก่เขาไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ หลี่มู่มั่นใจว่าแค่หนึ่งหมัดก็ทำร้ายอีกฝ่ายได้
พูดได้ว่าตัวเองในวันนี้แข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นรวมปราณ เขาเป็นยอดฝีมือระดับสามแล้ว
………………………….