จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 83 ภูตปีศาจที่จิตใจดี?
และในเสี้ยวขณะต่อมา มังกรเจียวก็ดำดิ่งลงสู่วารี
เงาร่างมหึมาดุจขุนเขาหายลับไป
กลิ่นอายกดดันเฉพาะตัวของเจียวในอากาศค่อยๆ จางหาย
“สมควรตาย!”
เว่ยชงโมโหจนอกแทบจะระเบิด
โอกาสใหญ่ที่จะเอามาได้อยู่รอมร่อหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพราะหมัดนั้นของหลี่มู่
หากคิดอยากจะจับเจียวอีกครั้งนั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก
“สมควรตาย สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง…หยามหมิ่นสำนักดับนิวรณ์ ปล่อยให้เจียวยักษ์หนีไป…เจ้าเศษสวะ ข้าจะให้เจ้าทรมานจนตายเสียยังดีกว่าอยู่”
เขาจ้องมายังหลี่มู่ แทบจะกัดฟันจนแหลกแล้ว
รอยดาบกากบาทบนหน้าผากบิดเบี้ยว เพลิงโทสะและจิตสังหารในดวงตาของเขาแทบจะรวมตัวเป็นวัตถุจริง
หลี่มู่ไม่พูดอะไร แค่กระดิกนิ้วเรียกอีกฝ่ายด้วยใบหน้าหยามหมิ่น
“ย้ากกก…”
เว่ยชงระเบิดอารมณ์ทันทีคลุ้มคลั่ง
โดนคนรุ่นหลังที่ไร้ชื่อเสียงตบหน้า ท้าทาย ทั้งยังหยามหมิ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาจึงสูญเสียสติไปแล้วอย่างสมบูรณ์
กำลังภายในถูกกระตุ้นขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ร่างกำยำของเว่ยชงกระโดดขึ้นมา โซ่เหล็กพันอยู่ที่แขนสะบัดไหว ควบคุมค้อนยักษ์เอาไว้อีกครั้ง ค้อนสีดำมหึมาหมุนเป็นเส้นวงรีในท้องฟ้า ก่อนจะทุ่มไปยังหลี่มู่ด้วยพลังน่าประหวั่นพรั่นพรึง
“ข้าจะทำให้เจ้าร่างแหลกละเอียด กระดูกป่นเป็นผุยผง”
เขาคลุ้มคลุ้มคลั่งไปแล้ว
“เร็วมาก!”
หลี่มู่จ้องค้อนยักษ์ ในใจสั่นสะท้าน
นี่ก็คือพลังของยอดฝีมือชั้นยอดขั้นปรมาจารย์หรือ?
ถึงแม้จะไม่มีความรู้สึกกดดันแบบเจียว แต่กลยุทธ์การต่อสู้กลับมีพลังสังหารมากยิ่งกว่า
เขาสำแดงวิชาตัวเบา คิดจะหลบหลีการโจมตีกระบวนนี้
แต่เมื่อเขาปลดปล่อยพลัง หลี่มู่กลับรู้สึกเจ็บช่วงเอว เข่าและขาอ่อนแรง เพราะก่อนหน้านี้เสียเลือดไปมากจึงหน้ามืด จะเร่งร้อนกระตุ้นพลังยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ซ้ำยังไม่อาจหลบหลีกได้เลย จึงแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว
ในช่วงเวลาเร่งด่วน หลี่มู่ทำได้แค่ใช้ฝ่ามือหนึ่งยันออกไปฝืนรับค้อนนั่นไว้!
กร๊อบ!
เสียงกระดูกหักดังลั่น หลี่มู่ม้วนกระเด็นออกไป
ฝ่ามือของเขาถูกสะเทือนจนเลือดเนื้อเหวอะหวะ ความปวดแล่นมาตามแขนซ้าย กระดูกแขนหักไปแล้วเรียบร้อย
แต่ยิ่งอันตราย ยิ่งวิกฤต ความคิดของเขากลับยิ่งชัดเจน
‘ตาแก่นี่พลังไม่อ่อนด้อยเลย’
หลี่มู่วิเคราะห์กำลังรบของเว่ยชงคร่าวๆ
ร่างของเขาร่วงลงมาจากกลางอากาศเหมือนว่าวที่ขาดจากสายป่าน
“ตาย!”
เว่ยชงราวเงาตามตัว เขาสะบัดโซ่เหล็ก ค้อนยักษ์ก็เหมือนมีตา หอบม้วนทุ่มไปยังหลี่มู่ที่เสียสมดุลกลางท้องฟ้าต่อไป
วันนี้ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะให้หลี่มู่ตายให้ได้
หลี่มู่ที่อยู่กลางท้องฟ้าไม่อาจหลบหลีกได้ ชั่วพริบตานี้ใกล้จะถูกทุบร่างกายแหลกเหลวเต็มที
ในตอนนี้เอง เสียงร้องตกใจของขอทานเฒ่าพลันดังมา
เสียงท้องฟ้าระเบิดเพราะการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วดังขึ้น
ราวกับมีดาบคมกริบแหวกท้องฟ้ายามราตรี
ทุกคนต่างรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน
รวมถึงหลี่มู่ที่อยู่กลางอากาศด้วยเช่นกัน
เห็นเพียงเงาร่างเล็กแข็งแกร่งขวางไว้ข้างหน้าหลี่มู่
“หมิงเยวี่ย?”
ม่านตาของเขาหดลงทันที
เพียงแค่เสี้ยวขณะ หลี่มู่มองออกอย่างน่าเหลือเชื่อว่าร่างเล็กที่บังอยู่ข้างหน้าเป็นเด็กรับใช้บัณฑิตหมิงเยวี่ย
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
นางจะมีความเร็วถึงขั้นนี้ได้อย่างไร
แต่ทว่าทุกอย่างก็ไม่ทันให้เขาได้คิดเยอะแล้ว
ค้อนยักษ์ซัดเข้าที่ร่างของหมิงเยวี่ย
พรวด!
เลือดสดๆ พุ่งออกจากปากและจมูกของนาง
ร่างเล็กเซมาอยู่ในอ้อมแขนของหลี่มู่
สมองของหลี่มู่ขาวโพลน
ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
ส่วนค้อนยักษ์พลังมหาศาลที่เขาไม่ทันได้สังเกตนั่นกลับกระเด็นสะเทือนกลับไปอย่างน่าประหลาด
“เด็กบ้า…นี่เจ้าทำอะไรอยู่?”
หลี่มู่ร้อนรน
ไม่รู้พลังมาจากไหน เขาอุ้มหมิงเยวี่ยเคลื่อนตัวออกห่างมาหลายจั้ง ทิ้งระยะจากขอบเขตการโจมตีของค้อนติดโซ่ของเว่ยชง จากนั้นสำรวจบาดแผลของหมิงเยวี่ยอย่างทำอะไรไม่ถูก
“คุณชาย…ข้า…เจ็บนิดหน่อย…ท่านช่วยข้า…ซัดเจ้าชั่วนั่นให้ตายที” หมิงเยวี่ยนอนอยู่ในอ้อมแขนของหลี่มู่ เลือดสดไหลรินที่มุมปากขณะพูดขึ้นด้วยลมหายใจอ่อนแรง
“หุบปาก”
หลี่มู่ตวาด ในสมองแทบจะว่างเปล่าไปหมด
ต่อให้เป็นเขารับค้อนนั่นไว้ เกรงว่าร่างกายก็คงแหลกเหลวเหมือนกัน
กังวลมากไปจิตใจย่อมว้าวุ่น
หลี่มู่ลนลานจนถึงขีดสุด
แต่ไม่นานนักเขาก็ค้นพบอย่างตื่นตะลึงว่าร่างของหมิงเยวี่ยไม่มีบาดแผลที่สาหัส กระทั่งแม้แต่กระดูกก็ไม่มีหัก มีแค่บาดแผลภายนอกตื้นๆ เท่านั้น เหตุที่กระอักเลือดก็น่าจะเพราะอวัยวะภายในถูกกระเทือน
นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?
“คุณชาย ข้าไม่เป็นไร…ท่านรีบลงมือฆ่าไอ้ชั่วนั่นให้ตายเถิด” หมิงเยวี่ยขยับร่างกาย
หลี่มู่อึ้งไป
คำพูดเช่นนี้…เหมือนว่า…จะกลับสู่สภาพเดิมแล้ว?
นี่คือหมิงเยวี่ยในยามปกติ ไม่ใช่เด็กน้อยขี้ขลาดทำตัวไม่ถูก แต่เป็นโลลิประหลาดที่ไร้หัวคิด
“ตาแก่”
หลี่มู่หันหน้ามาตวาดลั่น
เขาโมโหมาก
ผู้แข็งแกร่งที่สุดใต้สุริยันจันทราทั้งสองคู่บ้าบออะไร แม้แต่เด็กผู้หญิงก็ดูเอาไว้ไม่อยู่
ขอทานเฒ่าวิ่งมาด้วยใบหน้ารู้สึกผิด แก้ตัวอย่างกระอักกระอ่วนว่า “เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน…เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้นะ ความเร็วของนางมากเหลือเกิน เจียวกลับลงน้ำ เขตแดนสลายไป กลิ่นอายจางลง ภูตปีศาจเลยยึดครองร่างของนางอีกครั้ง ภูตปีศาจตนนี้…ค่อนข้างน่ากลัว ข้าเอาไม่อยู่…”
ภูตปีศาจ?
นี่ก็คือภูตปีศาจ?
ท่าทีขี้กลัวคือโฉมหน้าแต่เดิมของหมิงเยวี่ย
ส่วนนิสัยประหลาดหน้ามึน เป็นภูตปีศาจอย่างนั้นรึ?
หลี่มู่อ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ภูตปีศาจไม่ใช่ว่าควรจะเป็นอะไรที่ชั่วช้าอันตรายหรอกหรือ?
เช่นนั้นทำไมเมื่อภูตปีศาจยึดครองร่างอีกครั้ง ปฏิกิริยาตอบสนองของหมิงเยวี่ยจึงไม่ใช่หนีหรือโจมตีกลับ แต่กลับพุ่งมาช่วยเขาโดยไม่ห่วงตัวเอง…อีกทั้งความทรงจำต่างๆ ในที่ว่าการอำเภอก่อนหน้านี้ หมิงเยวี่ยที่อยู่ในสภาวะภูตปีศาจครอบงำก็ไม่เคยทำเรื่องชั่วร้ายอะไรเลย
หลี่มู่รู้สึกว่ามุมมองแต่เดิมบางอย่างในหัวของตน ในเสี้ยวขณะนี้พลันกลับตาลปัตรไปแล้ว
ตกลงแล้วอะไรคือภูตปีศาจกันแน่?
หลี่มู่ส่ายหัว
“พานางไปจากที่นี่” หลี่มู่ส่งหมิงเยวี่ยให้ขอทานเฒ่า ในขณะเดียวกันก็ยื่นเลือดเจียวที่แข็งตัวแล้วในฝ่ามือไปให้อย่างลับตาที่สุด “ผู้แข็งแกร่งที่สุดใต้สุริยันจันทราทั้งสองคู่ ทำตัวให้ไว้ใจได้หน่อย ครั้งนี้อย่าได้ขายหน้าอีกล่ะ”
ขอทานเฒ่าเห็นเลือดเจียวก็ตาลุกวาว ก่อนพยักหน้าอย่างพอใจ “เจ้าวางใจได้ ครั้งนี้ข้าจะต้องสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาปกป้องแม่หนูนี่แทนเจ้าไว้ให้ดี” เขาพูดพลางรับเลือดเจียวมาอย่างแทบจะอดใจไม่ไหว แล้วก็รับหมิงเยวี่ยมา จากนั้นอุ้มนางหมุนตัวเตรียมจากไป
“พวกเจ้าหน้าไหนก็ไม่ต้องคิดจากไปทั้งนั้น”
เว่ยชงประชิดเข้ามาสังหารราวสิงโตโมโหคลุ้มคลั่ง
“เจ้าเศษสวะ เจ้าทำลายการใหญ่ของข้า…ข้าจะให้เจ้าได้เห็นทุกคนที่เจ้ารู้จักตายต่อหน้าเจ้า” ผู้อาวุโสสำนักดับนิวรณ์ผู้นี้โมโหจนใกล้เป็นบ้าแล้วเต็มที เขากระตุ้นโซ่เหล็กที่พันอยู่ที่มือพร้อมคำรามอย่างโกรธเคือง
ค้อนยักษ์ส่งเสียงก้อง
โซ่เหล็กสะบัดราวงูเหลือมร้ายที่เหี้ยมโหด
“ปัญญาอ่อนจริง…ทุกคนที่ข้ารู้จัก เหอะๆ ข้าก็รู้จักเจ้าเหมือนกันนี่ งั้นเจ้าก็จะทำให้ตัวเองตายต่อหน้าข้าด้วยใช่ไหม?”
หลี่มู่ถ่มเลือดออกมา แล้วยกมือขว้างกระบี่หินโบราณออกไป
กระบี่โบราณรวดเร็วดุจสายฟ้าสีขาว
เว่ยชงตกใจ ไม่คิดว่าหลี่มู่จะโยนกระบี่หินมา
แขนทั้งสองของเขาสะบัดไป
“คลื่นบงกชมรณะ!”
โซ่เหล็กเหมันต์จากนอกโลกที่พันอยู่ที่แขนทั้งสองบิดม้วนเหมือนคลื่นวนชั้นแล้วชั้นเล่า หมุนวนตรงไปพันธนาการกระบี่หินโบราณ
เว่ยชงคิดจะใช้วิธีนี้ทำลายมัน
ใครจะรู้ เสียงเสียดสีของโลหะแสบหูดังขึ้น ความคมและพลังที่แฝงอยู่ของกระบี่โบราณสีขาวเกินกว่าการคาดการณ์ของเว่ยชง แทบจะในเสี้ยวพริบตาก็ทะลุโซ่เหล็กเย็นเยือกที่พันล้อมเป็นชั้นๆ แล้วพุ่งเฉียดคอเขาไป
หยาดโลหิตลอยมาจากหลังหูของเขา
แผ่นหลังของเว่ยชงเย็นวาบ
หากเฉขึ้นมาอีกนิดเดียว อาจจะแทงทะลุสมองของเขาไปแล้ว
อันตรายนัก
ส่วนหลี่มู่ก็ฉวยโอกาสนี้ถอยไปข้างหลัง จากนั้นชูนิ้วกลางเยาะเย้ยอีกครั้ง
เว่ยชงเลือดแล่นขึ้นสมอง โมโหจนแทบบ้า
เขาไม่เคยโมโหจนยากจะควบคุมตัวเองเช่นวันนี้มาก่อน
เขากระตุ้นค้อนยักษ์ ตามไล่สังหารอย่างบ้าคลั่ง
หลี่มู่ตอนนี้พลังฟื้นคืนกลับมาบ้างแล้ว เขาหอบหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็สำแดงวิชาตัวเบาหนีไปข้างหลังไม่หยุด
ในช่วงเวลาสำคัญ วิชาตัวเบาเทียบกับวิชาเหาะเหินเดินอากาศแล้ว จุดเด่นในด้านหนีเอาตัวรอดเยี่ยมยอดกว่า
ท่ามกลางเสียงคำรามของค้อนยักษ์ หลี่มู่หลบการโจมตีอันตรายของมันได้หลายครั้ง
กระทั่งเขายังสามารถถือโอกาสเย้ยหยัน ใช้ภาษามือยั่วยุเว่ยชงที่แทบคลุ้มคลั่งอย่างต่อเนื่อง
หลี่มู่ค่อยๆ ควบคุมจังหวะการโจมตีของเว่ยชงเอาไว้ได้
‘วิชาก่อนกำเนิด’ มอบความว่องไวและสัมผัสรับรู้ทั้งห้า ไปจนกระทั่งลางสังหรณ์ด้านศิลปะการต่อสู้ที่แทบจะใกล้เคียงกับการรู้ล่วงหน้าให้แก่หลี่มู่ หลังจากที่คุ้นเคยกับเคล็ดวิชาและพลังของเว่ยชง หลายครั้งเขาสามารถคาดเดาได้ถึงจังหวะและเส้นทางของเว่ยชง หลี่มู่จึงไม่เปลืองแรงเท่าไหร่แล้ว
เขาถึงกระทั่งแอบโคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ แล้วซึมซับพลังในฟ้าดินผ่านการควบคุมการหายใจของตัวเองมาฟื้นฟูพลังกายได้
ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายอันแข็งแกร่งก็ทำให้บาดแผลบนร่างของเขาตกสะเก็ด ไม่เสียเลือดอีกต่อไป
หลังจากยืดเยื้อเช่นนี้ต่อไปประมาณหนึ่งก้านธูป หลี่มู่ก็สัมผัสได้ถึงพลังประหลาดที่ส่งมาจากในร่างของตน
นั่นเป็นพลังของเลือดเจียวก่อนหน้านี้
เลือดเจียวอาบร่างของเขา อีกทั้งยังกลืนไปหลายอึกโดยไม่ได้ตั้งใจอีก
ตอนนั้นเขาแค่รู้สึกผิวกายร้อนวาบ เลือดเจียวทั้งหวานทั้งร้อน แต่ความร้อนก็หายไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีสิ่งผิดปกติใดอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจนัก
แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ หรือไม่ กระแสความร้อนถึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังชัดเจนมากยิ่งขึ้น เหมือนกำลังแผดเผาก็ไม่ปาน
และจากการแผดเผานี้ เขารู้สึกว่าพลังในกายกำลังฟื้นฟูขึ้นมา
การหลบหลีกของเขาทำได้สบายมากขึ้นเรื่อยๆ
ค้อนยักษ์ของเว่ยชงยากจะคุกคามหลี่มู่ที่เป็นเหมือนผีเสื้อปราดเปรียวขึ้นทุกที
“บุก…บุกไปให้หมด…สกัดมันไว้”
เว่ยชงตาแดงก่ำ
เขาออกคำสั่งอย่างฉุนเฉียวให้ผู้แข็งแกร่งสำนักดับนิวรณ์คนอื่นๆ ขวางหลี่มู่เอาไว้
ครั้นแล้วเงาคนรอบๆ จึงกะพริบวูบไหว
“ไสหัวไป”
หลี่มู่ออกหมัด
รอยหมัดมหึมาที่โปร่งแสงเกิดเป็นภาพมายาออกมาจากกำปั้นของเขา
สภาวะของเขาในตอนนี้ดีกว่าเมื่อครู่มาก ถึงแม้ยังคงไม่อาจฝืนสู้กับเว่ยชงที่เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์สูงสุดได้ซึ่งหน้า แต่กับยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นรวมจิต เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน
ปราณหมัดแข็งแกร่งทรงพลัง
ผู้แข็งแกร่งขั้นรวมจิตสูงสุดคนหนึ่งของสำนักดับนิวรณ์โดนอัดตัวระเบิดทันที
ผู้แข็งแกร่งสำนักดับนิวรณ์คนอื่นๆ ต่างถอยกระเจิงราวกับกระต่ายตื่นกลัว
สถานการณ์เหมือนจะพลิกผันแล้ว
แต่ทว่า…
‘เอ๋? นี่มัน…ความรู้สึกอะไร…ปวดจริง…’
หลี่มู่หน้าเปลี่ยนสีทันที
ความรู้สึกร้อนที่เลือดเจียวนำมาพลันเปลี่ยนเป็นปวดแสบปวดร้อนรุนแรง เหมือนเริ่มแทรกผ่านเนื้อหนังและกระดูก เริ่มแผดเผาวิญาณ ความเจ็บปวดแทบทำให้หลี่มู่สลบไปในทันที ค้อนยักษ์เกือบจะโจมตีโดน
เกิดอะไรขึ้น?
หรือว่าเลือดเจียว…จะมีพิษอย่างนั้นเรอะ?
หลี่มู่กัดฟันฝืนทน สำแดงวิชาตัวเบา ไหววูบหลบหลีกติดๆ กัน
แต่สถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ
พิษของเลือดเจียวเหมือนจะค่อยๆ ลุกลามออกไป
ไม่นานนักครรลองสายตาของเขาก็เริ่มพร่าเลือน
เขาเหมือนดื่มเหล้าเมา แม้จะกะพริบตาสุดกำลัง ทั้งยังใช้มือขยี้ตา แต่ไม่ว่าจะมองอะไรก็ค่อยๆ เกิดเป็นเงาซ้อน
‘คราวนี้ยุ่งแล้วไงล่ะ’
หลี่มู่สติพร่าเลือน ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว
คำสอนของซินแสเฒ่าผุดขึ้นมากลางใจทันที
สู้ไม่ได้ จงหนี
ร่างของเขาหนีไปในจุดที่ลึกยิ่งขึ้นราวสายฟ้า
……………………………………………………