จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 89 ระราน
“ ‘ธนูรั้งจันทรา’? ” หลี่มู่อึ้งไป
แต่เขาก็เดาได้ทันทีว่า ธนูที่พี่กัวพูดถึงก็คือธนูเงินคันนั้นที่ตนได้มาจากซือคงจิ้งประมุขพรรคเสินหนง
และก็มีเพียงธนูคันนั้นถึงจะสมกับคำว่า ‘ธนูเทพ’ สองคำนี้
อีกทั้งคืนนั้นที่ไปหยุดยั้งพวก ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวแห่งค่ายลมโชย หลี่มู่ง้างคันศรอยู่ใต้แสงจันทร์ เขาพบว่าในแสงจันทร์ คันธนูเหมือนจะสามารถดูดซับแสงจันทร์เอาไว้ได้ ดังนั้นจึงนับว่าเป็นการ ‘ฉุดรั้งจันทรา’
“ธนูนั่นเป็นของพี่กัวหรอกรึ?” หลี่มู่ตั้งสติกลับมา พูดขึ้นว่า “เมื่อข้ากลับไปถึงอำเภอจะเอามาคืนให้พี่กัว”
ถึงแม้สำหรับหลี่มู่แล้ว ธนูคันนั้นจะเหมาะมือยิ่งนัก พลังไม่ธรรมดา แต่เขาก็พูดได้อย่างตรงไปตรงมามาก
แม้เขาจะชอบธนูวิเศษของล้ำค่า แต่หากเทียบกับมิตรภาพ ของวิเศษที่ล้ำค่าเพียงใดก็ไร้ค่า
นี่เป็นจุดที่ใจกว้างแบบขัดแย้งกันในนิสัยของเขา
“ฮ่าๆๆๆ น้องมู่อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ‘ธนูรั้งจันทรา’ อยู่ในมือของเจ้า นั่นเป็นลิขิตสวรรค์ นับจากนี้เป็นต้นไป มันเป็นของเจ้าแล้ว” กัวอวี่ชิงหัวเราะ
ชายองอาจใจกว้างคนนี้ตบไหล่ของหลี่มู่ กล่าวว่า “ตอนนั้น ข้ากับภรรยาวางมือ ที่ไปซ่อนตัวในเขาขาวพิสุทธิ์ก็เพื่อหลบความวุ่นวายของโลกโลกีย์ใบนี้ และก็ไม่คิดจะปรากฏตัวในยุทธจักรอีกต่อไป ดังนั้นข้าจึงโยน ‘ธนูรั้งจันทรา’ ลงในแม่น้ำ มันเป็นวัตถุที่มีจิตวิญญาณ เลือกเจ้านายเองได้ นับจากนี้เจ้าก็คือนายของมันแล้ว”
หลี่มู่จับใจความอะไรบางอย่างได้จากคำพูดของพี่กัว
วางมือ ซ่อนตัว!
หลี่มู่แทบจะจินตนาการได้ว่าตอนที่ท่องไปในยุทธภพ กัวอวี่ชิงและภรรยาจะงดงามเลิศล้ำ เปล่งประกายเจิดจ้าเพียงใด คนเช่นนี้เป็นบุคคลชั้นยอดที่เกิดมาก็ทรงอำนาจในใต้หล้าแล้ว ก็เหมือนกับเคียวฮง (เฉียวเฟิง) ประมุขพรรคกระยาจกในนิยายกำลังภายในที่ท่านกิมย้งประพันธ์
“เอาละ น้องมู่ ตอนนี้ข้าจะถ่ายทอดพลังภายในและเคล็ดของ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ให้เจ้า ดูให้ดีล่ะ”
สีหน้าของกัวอวี่ชิงเคร่งขรึมขึ้น
……
ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ ทุกอย่างดูเหมือนสุขสงบ
แต่ในที่ว่าการอำเภอ เฝิงหยวนซิง หม่าจวินอู่ และเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงกลับยุ่งกันจนหัวปั่น
ผ่านไปแล้วสามวัน ใต้เท้าขุนนางเมืองก็ยังคงไร้วี่แวว
นับจากคืนเมื่อสามวันก่อนที่ที่ว่าการอำเภอถูกโจมตี หมิงเยวี่ยถูกลักพาตัวไป หลังจากใต้เท้าขุนนางเมืองตามไปช่วยคนแล้ว ในช่วงสามวันนี้ก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย
ไม่ใช่แค่หลี่มู่ที่ไม่ปรากฏตัวขึ้น หมิงเยวี่ยที่ถูกจับตัวไปก็ยังคงไร้ร่องรอย
เวลาสามวันสำหรับพวกเฝิงหยวนซิงที่เป็นเรือขาดหางเสือแล้ว ช่างยาวนานและยากเย็นเหมือนสามปี
ถึงแม้ในที่ว่าการอำเภอดูผิวเผินเหมือนเงียบสงบ ทว่าคลื่นใต้น้ำกลับทำให้พวกเขาประหวั่นพรั่นพรึง
โดยเฉพาะในเวลาที่ญาติพี่น้องของเหล่าจอมยุทธ์ที่ถูกขังอยู่ในคุกพวกนั้นนำเงินมาไถ่ตัว เฝิงหยวนซิงยิ่งปวดหัวหนักนัก
ยังดีที่ในช่วงเวลาสำคัญ เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงยังนับว่าสุขุม
หลังจากคนทั้งหลายหารือกันครู่หนึ่ง ท่าทีของฝั่งที่ว่าการอำเภอแข็งแกร่งนัก ทำตามแผนที่หลี่มู่เตรียมเอาไว้ก่อนจากไป ดำเนินแผนการ ‘ยื่นหมูยื่นแมว’ ได้อย่างสมบูรณ์ คนประมาณยี่สิบกว่าคนถูกปล่อยตัวออกไปจากเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์
อย่างไรเสียเวลานี้ก็ห่างจากการสังหารสยบทั่วทิศของหลี่มู่ไปไม่นาน ความน่าครั่นคร้ามยังเหลืออยู่
บุรุษจอมยุทธ์พวกนั้นต่อให้ในใจจะเกลียดชังอย่างไร ภายนอกกลับไม่กล้าแสดงออกมาแม้แต่น้อย ด้วยกลัวว่าจะแหย่ให้หลี่มู่เจ้าราชาปีศาจคลุ้มคลั่งขึ้นอีกครั้ง แม้แต่คำพูดข่มขู่ก็ไม่กล้าทิ้งเอาไว้ จากไปอย่างห่อเหี่ยว
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป กลุ่มอำนาจที่มายังอำเภอขาวพิสุทธิ์เพื่อมอบเงินค่าไถ่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ฐานะของตัวแทนที่มาก็ยิ่งสูงขึ้นทุกที จึงเริ่มตบตาไม่ได้แล้ว
โดยเฉพาะเมื่อผู้อาวุโสของพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นในเมือง แต่กลับไม่รีบร้อนมอบเงินค่าไถ่ และไม่มาติดต่อกับที่ว่าการด้วยเช่นกัน กลับหาโรงเตี๊ยมพักเหมือนกำลังรออะไร
ท่าทีเช่นนี้กลับเป็นเฝิงหยวนซิงและเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงที่รู้สึกถึงความกดดันมหาศาล
วันที่สี่
ดวงอาทิตย์แดงฉานลอยเด่น อาทิตย์สองดวงแขวนอยู่กลางท้องฟ้า
เฝิงหยวนซิง หม่าจวินอู่ และเจินเหมิ่งมาถึงที่ว่าการอำเภอแต่เช้า
“รออย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว” หม่าจวินอู่พูดขึ้นอย่างร้อนใจราวไฟสุมอก “ผู้อาวุโสสูงสุดของพรรคทั้งสองได้ข่าวว่าใต้เท้าขุนนางเมืองไม่อยู่แน่แล้ว สำนักในยุทธจักรพวกนี้หาข่าวรวดเร็วแม่นยำนัก คุณชายชิงเฟิง ท่านคิดหาวิธีติดต่อศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวได้หรือไม่ หากมีศิษย์พี่ใหญ่ดูแลอยู่ที่อำเภอ สถานการณ์จะดีขึ้นมาบ้าง”
ชิงเฟิงส่ายหน้า
สำหรับภูมิหลังของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว ที่จริงในใจของเขามีการคาดเดาที่น่าตกใจอยู่ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้แน่นอนว่าพูดออกมาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจิตใจของทุกคนจะยิ่งกระวนกระวาย
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?” เฝิงหยวนซิงถูมือ
เวรกรรมจริงๆ เขารู้สึกว่าสามวันมานี้ตัวเองเหมือนแก่ไปอีกสามสี่สิบปี ผมหงอกเพิ่มขึ้นมาหลายเส้น
“หรือไม่ พวกเราติดต่อเรียกเอาเงินค่าไถ่จากพรรคมังกรฟ้ากับสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ จากนั้นก็ปล่อยตงฟางเจี้ยนกับเถี่ยเจิ้นตง แล้วไล่ให้พวกเขาออกไป?” พัศดีเจินเหมิ่งที่ไม่ค่อยพูดกล่าวขึ้น “ขอแค่พวกเราแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว คิดว่าพวกนกหวาดเกาทัณฑ์พวกนี้คงไม่กล้าบุ่มบ่าม”
เฝิงหยวนซิงยืนคิดอยู่สักครู่ สบตากับชิงเฟิงแวบหนึ่ง ต่างคนต่างทอดถอนใจ
ตอนนี้ดูเหมือนจะทำได้แค่ใช้วิธีนี้แล้ว
ในตอนนี้เอง ข้างนอกมีเสียงฝีเท้าดังมา
มือปราบคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน “ใต้เท้าทุกท่าน ทูตของเมืองฉางอันมาถึงแล้ว มารอการต้อนรับอยู่ที่หน้าประตูที่ว่าการแล้วขอรับ”
พวกเฝิงหยวนซิงหน้าเปลี่ยนสีทันที
ทูตของเมืองฉางอัน?
ตอนนั้นคนในยุทธจักรมาก่อความวุ่นวายในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ ที่ว่าการอำเภอส่งจดหมายขอความช่วยเหลือไปสิบกว่าฉบับ เมืองฉางอันไม่ตอบอันใดกลับ มาวันนี้เรื่องวิกฤตนั้นสงบลงแล้ว ในยามที่เกิดคลื่นใต้น้ำ ทูตของเมืองฉางอันกลับเอ้อระเหยมา นี่จะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย?
ในใจสงสัย แต่ก็ไม่กล้าล่าช้า
พวกเฝิงหยวนซิงรีบมายังหน้าประตูที่ว่าการอำเภอ
ทหารเสื้อเกราะชั้นยอดที่ถืออาวุธครบครันประมาณหนึ่งร้อยคนกำลังเข้าแถวเป็นระเบียบอยู่หน้าประตูที่ว่าการ ผู้เป็นหัวหน้าคือทหารสี่คนที่อยู่บนม้า แต่งกายอย่างขุนพล ล้วนเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบสามสิบปี ร่างกายกำยำ บุคลิกไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นรวมจิต
ถึงอย่างไรเมืองฉางอันก็เป็นเมืองที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ของจักรวรรดิฉินตะวันตก ดูแลเก้าอำเภอใหญ่ อำเภอขาวพิสุทธิ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์หรือจำนวนยอดฝีมือในกองทัพ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่อำเภอขาวพิสุทธิ์จะเทียบได้
ด้านหน้าสุดของกองกำลัง ชายหนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ลงมาจากม้า
ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวอย่างบัณฑิต ใบหน้ากลมแต่จมูกงุ้มดุจเหยี่ยว ภายใต้ท่าทางที่ดูเหมือนเป็นมิตรซ่อนความเหี้ยมเกรียมชั่วร้ายที่ยากจะจับสังเกตได้เอาไว้ เขาสวมชุดคลุมปักดิ้น ขี่ม้าหนุ่ม ส่วนชายวัยกลางคนที่แต่งตัวอย่างทหารกลับมีรูปร่างผอมสูง กำลังหรี่ตาเล็กน้อยตามความเคยชิน ประกายแสงเป็นเส้นๆ หมุนวนในดวงตา ชวนให้คนรู้สึกว่าเย็นชาไม่น่าเข้าใกล้
ทั้งสองคนนี้ เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าฐานะไม่ต่ำต้อยเลย
และข้างหลังคนทั้งสองคือรถม้าไม้มะเกลือแกะสลักที่ลากด้วยม้าสี่ตัว
รูปทรงของรถม้าเรียบง่าย แต่สีน้ำมันชาดที่ทาเอาไว้เผยความสูงส่งล้ำค่า กลิ่นอายความสูงค่าสง่างามกระจายมาจากลวดลายเงินทองที่คดเคี้ยวอยู่บนนั้น ลำพังแค่ตัวรถม้าก็ยาวกว่าหนึ่งจั้ง กว้างกว่ายี่สิบฉื่อ ม้าที่ลากรถคือม้าศึกเลือดบริสุทธิ์ของเมืองเฟิ่งเสียงแห่งอาณาจักรฉินตะวันตก ตัวหนึ่งราคาสูงค่ามาก ตัวใหญ่กว่ายี่สิบฉื่อ เป็นม้าที่ดียิ่งนัก
ผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าเช่นนี้หากไม่ร่ำรวยก็ต้องเป็นผู้ที่สูงศักดิ์มากแน่นอน
พวกเฝิงหยวนซิงเดินออกมา แค่เห็นรถม้าก็หน้าเปลี่ยนสีทันควัน
หรือบุคคลยิ่งใหญ่ของเมืองฉางอันจะมาเยือน?
รองนายพลคนหนึ่งพลิกกายลงจากม้า มือแตะอยู่ที่กระบี่ยาวข้างเอว สายตาเฉียบคมกวาดไปยังพวกเฝิงหยวนซิงที่เดินออกมาจากประตูที่ว่าการ แล้วตวาดถามขึ้น “ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่อยู่ที่ใด? ยังไม่รีบออกมาต้อนรับอาจารย์เจิ้งอีก”
อาจารย์เจิ้ง?
เฝิงหยวนซิงได้ยินดังนั้น ใจพลันสั่นสะท้าน ในสมองมีบุคคลที่น่ากลัวในเรื่องเล่าขานของเมืองฉางอันผุดขึ้นมาทันที
“ข้าน้อยเฝิงหยวนซิง ขอต้อนรับอาจารย์เจิ้ง”
“ข้าน้อยหม่าจวินอู่…”
“ข้าน้อยเจินเหมิ่ง…”
สองสามคนนั้นไม่กล้าเมินเฉย รีบก้าวขึ้นไปทำความเคารพ
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงไม่ได้เป็นขุนนาง ดังนั้นจึงยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างหลังพวกเฝิงหยวนซิง ไม่ได้เอ่ยปากพูด แค่นวดขมับอย่างเคยชิน ใบหน้าน้อยๆ ที่สง่างามตึงเครียดอยู่ตลอด
“ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์อยู่ที่ใด? ไยจึงไม่ออกมาต้อนรับอาจารย์เจิ้งอีก?” รองนายพลคนนั้นท่าทางหยิ่งยโส ตวาดถามเสียงดังโดยไม่แม้แต่จะมองพวกเฝิงหยวนซิง
ในรถม้ายังคงเงียบสนิท
“ตะ…ใต้เท้าหลี่มู่เมื่อไม่กี่วันก่อนฝึกวิชาสำเร็จ กำลังปิดด่านฝึกตนอยู่ ข้าน้อยไม่อาจแจ้งใต้เท้าได้ ดังนั้น…” เฝิงหยวนซิงแต่งเรื่องขึ้นอย่างระมัดระวัง
“บังอาจ อาจารย์เจิ้งสูงส่งถึงเพียงใด เพื่อเรื่องปิดด่านเล็กน้อยกลับกล้าทำเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เจ้าหลี่มู่ยังอยากจะเป็นขุนนางเมืองอยู่อีกหรือไม่?” รองนายพลคนนั้นสบถด่าหน้าถมึงทึง พลางชี้หน้าเฝิงหยวนซิง
“นี่…” เฝิงหยวนซิงร้อนรนจนเหงื่อตก ไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร
หม่าจวินอู่และเจินเหมิ่งที่อยู่ข้างๆ ก็หน้าเปลี่ยนสีทันทีเช่นกัน
ทำไมรู้สึกเหมือนทูตของเมืองฉางอันผู้นี้ท่าทีเย็นชานัก มีความรู้สึกเหมือนมุ่งมาสร้างความลำบากใจให้กับใต้เท้าขุนนางเมืองโดยเฉพาะ
“รีบไปรายงานให้หลี่มู่ ไสหัวมาต้อนรับอาจารย์เจิ้งเดี๋ยวนี้”
แส้ม้าในมือของนายทหารสะบัดดังเพียะ เกิดแรงระเบิดในอากาศ เงาแส้เฉียดผ่านเส้นผมข้างหูหม่าจวินอู่ไปอย่างแสดงศักดา จากนั้นเขาก็หัวเราะลั่น
ข้างแก้มของเฝิงหยวนซิงรู้สึกแสบร้อน กล้าโมโหแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก
แต่ไม่มีใครขยับเขยื้อน
เพราะพวกเขาทั้งหลายรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วหลี่มู่ไม่ได้อยู่ในที่ว่าการอำเภอ
“จะมัวอึ้งอยู่ทำไม ต้องให้ข้าพูดรอบที่สองงั้นรึ? เจ้าหลี่มู่คนนี้รนหาที่ตายหรือไร? กล้าแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อหน้าอาจารย์เจิ้ง ข้าว่ามันบ้าไปแล้วจริงๆ ให้เวลาชั่วยี่สิบอึดใจ เรียกให้มันไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้” รองนายพลคนนั้นยโสอวดดี สะบัดแส้ในมือดังเพียะๆ
ตอนนี้เอง รอบอำเภอมีคนปรากฏตัวขึ้นไม่น้อย
เมื่อเห็นภาพนี้คนรอบๆ ทั้งหลายต่างชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์
ในนั้นมีหลายคนเป็นคนในยุทธจักรที่มาเพื่อไถ่ตัวคน ครั้นเห็นรองนายพลคนนี้พูดจากำเริบเสิบสานด่าหลี่มู่ก็ต่างรู้สึกสะใจสบายอารมณ์นัก ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่โหดเหี้ยมต้องแบกรับอารมณ์จากเบื้องบนเหมือนกัน อย่างไรเสียก็เป็นคนในแวดวงข้าราชการ จำต้องทำตามกฎระเบียบของขุนนาง
รองนายพลที่อยู่บนหลังม้าอีกสามคนแค่นเสียงเย็น
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงนวดขมับยิ้มเฝื่อน ก่อนก้าวออกมาก้าวหนึ่ง
ในใจพวกเฝิงหยวนซิงพลันมีเศษเสี้ยวความหวังปรากฏขึ้น หวังว่าเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยที่ฉลาดหลักแหลมมากเล่ห์จะสามารถแก้ไขสถานการณ์วิกฤตนี้ได้
แต่สีหน้าของเด็กรับใช้บัณฑิตพลันดุดันขึ้นมา ก่อนยกมือขึ้นชี้หน้ารองนายพลผู้นั้นพลางด่าทอ “บังอาจ เจ้าเป็นแค่นายทหารตัวเล็กๆ คนหนึ่ง พูดถึงลำดับขั้นก็เป็นแค่ขั้นแปดล่าง[1]เท่านั้น แต่กลับกล้าด่าว่าขุนนางเมืองขั้นเจ็ดบน ทูตที่มาจากเมืองฉางอันไม่สนใจแม้แต่กฎหมายของจักรวรรดิ เหอะๆ ข้าว่าเจ้าคงเบื่อโลกเต็มทีแล้วกระมัง มาหยามหมิ่นขุนนางระดับสูง อิงตามกฎหมายจักรวรรดิ ใต้เท้าขุนนางเมืองของข้าสามารถสังหารเจ้าเสียตรงนี้เลยก็ได้ ยังไม่รีบคุกเข่าขออภัยโทษอีก!”
พวกเฝิงหยวนซิงอึ้งตะลึงไปในทันที
……………………………………………………
[1] การแบ่งขั้นขุนนางของจีนในอดีตจะแบ่งเป็นเก้าขั้น แต่ละขั้นแบ่งออกเป็นสองระดับบนกับล่าง บ้างก็ว่าเป็นครึ่งขั้นกับเต็มขั้น รวมทั้งสิ้นสิบแปดระดับด้วยกัน โดยขั้นหนึ่งบนคือขั้นสูงสุด ขั้นเก้าล่างคือขั้นต่ำสุด