จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 91 หลี่มู่เป็นคนอย่างไร
ลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์สามสี่คนหายตัวไปไร้ร่องรอยนานหลายวัน ใครก็คิดไม่ถึงว่าเมื่อหาพวกเขาเจออีกครั้งจะเป็นกองศพไปเสียแล้ว
“ตรวจสอบแน่ชัดแล้ว ศพส่งมาจากที่ว่าการ”
“อะไรนะ? ที่ว่าการ? หรือว่า…”
“ตรวจสอบละเอียดแล้ว พวกศิษย์พี่ลู่ตายจากดาบ ดาบเดียวปลิดชีวิต”
“บาดแผลจากดาบ? หรือว่าจะเป็นเจ้าบ้าศิษย์พี่ต้วนสุ่ยหลิวอะไรนั่นในที่ว่าการ?”
“จะต้องเป็นมันแน่นอน นอกจากมันแล้วยังมีใครอีกที่สามารถฆ่าพวกศิษย์พี่ลู่ทั้งสี่คนตายหมด อีกทั้งยังสังหารในดาบเดียวอีกด้วย”
ศิษย์สำนักขาวพิสุทธิ์ที่อยู่ที่นั่น แต่ละคนต่างแค้นเคืองกับความไม่เป็นธรรม ยากจะควบคุมเพลิงโทสะในใจได้
เบาะแสต่างๆ ล้วนชี้ไปยังที่ว่าการอำเภอ
“ดี พี่น้องทั้งหลาย ข้าว่าตอนนี้พวกเจ้าไปที่ว่าการเรียกร้องความยุติธรรมเสียเถอะ ต้วนสุ่ยหลิวจะต้องเป็นฆาตกรแน่นอน ต่อให้มันเป็นศิษย์พี่ของขุนนางเมืองหลี่มู่ก็ต้องเคารพกฎของจักรวรรดิ หากกฎหมายจักรวรรดิจัดการมันไม่ได้ เช่นนั้นกระบี่ขาวพิสุทธิ์ในมือของเจ้าก็สามารถเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้ศรัทธาในตัวมันได้”
ไม่รู้ว่าเมื่อใด โจวเจิ้นไห่ปรากฏกายขึ้นในกลุ่มคน ก่อนพูดด้วยใบหน้าโกรธแค้น
คำพูดเช่นนี้ได้รับการเห็นด้วยจากลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คนอื่นๆ
“ท่านลุงโจวพูดถูก”
“แก้แค้น!”
ลูกศิษย์ทั้งหลายที่ไฟโทสะคุกรุ่นต่างส่งเสียงแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม
เสียงฝีเท้าดังมาอีก
โจวเจิ้นชิวที่ผมขาวทั้งศีรษะและศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คนอื่นๆ อีกสิบกว่าคนล้วนได้รับข่าว ยามนี้มาถึงยังโกดังเก็บศพแล้ว
“ผู้อาวุโส!”
“ผู้อาวุโสโจว พวกศิษย์พี่ลู่…”
“ผู้อาวุโส หลายวันที่ผ่านมานี้พวกเรารออะไรอยู่?”
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสโจว พวกเราจะต้องแก้แค้นให้พวกศิษย์พี่ลู่นะขอรับ”
“ผู้อาวุโสโจว พวกเราตรวจสอบโดยละเอียดแล้ว จะต้องเป็นหลี่มู่แอบลงมือ วางแผนต่อพวกศิษย์พี่ลู่แน่ หลี่มู่คนนี้คือปีศาจดูดเลือด จับจอมยุทธ์ในยุทธจักรมาขูดรีด นี่มันสติวิปลาสไปแล้วชัดๆ พวกศิษย์พี่ลู่จะต้องไม่ยอมศิโรราบ ไม่เขียนจดหมายไถ่ตัว ดังนั้นจึงถูกสังหารเป็นแน่ พวกเราสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ไม่ใช่สำนักเล็กๆ ที่ใครจะฆ่าจะแกงตามใจ จะปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
เพียงเห็นกำลังเสริมจากผู้อาวุโสโจวเจิ้นชิวปรากฏตัวขึ้น อารมณ์ของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็ยิ่งพลุ่งพล่าน
เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองขาวพิสุทธิ์หลายวันมานี้ คนของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ต่างเห็นกันอย่างชัดเจนยิ่ง
ถึงแม้หลี่มู่จะไม่พุ่งเป้าเล่นงานมาที่พวกเขา เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองขาวพิสุทธิ์ก็ประพฤติตัวเรียบร้อย แต่อย่างไรเสียศิษย์พวกนี้ก็คิดว่าตนเป็นคนในยุทธจักรเช่นกัน ดังนั้นในใจจึงเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อหลี่มู่มากอย่างเลี่ยงไม่ได้
“หุบปาก”
โจวเจิ้นชิวเอ่ยปาก กำลังภายในแผ่ระลอกคลื่น ราวสายฟ้าฟาดผ่าในวันฟ้าใส สะเทือนจนกระเบื้องหลังคาโกดังเก็บศพสั่นไหว
ลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์หุบปากทันที
สายตาคมกริบของโจวเจิ้นชิวกวาดตามองไปยังทุกคน กล่าวว่า “บุ่มบ่ามเช่นนี้ จะทำการสำเร็จได้อย่างไร? จำคำที่ท่านอาจารย์พูดเอาไว้ น้ำในยุทธจักรลึกกว่าที่พวกเจ้าคิดเสมอ ก่อนลงจากเขา ท่านอาจารย์ของพวกเจ้าน่าจะได้บอกเอาไว้แล้ว กฎข้อแรกเมื่อพบเจอปัญหาคือต้องใจเย็น ไม่ใช่แต่ละคนเมื่อพบเจอเรื่องเล็กน้อยก็ราวกับนกกระจอกถูกไม้ไล่ฟาด มิฉะนั้นละก็ คนที่ตายคนต่อไปอาจจะเป็นพวกเจ้า”
คำพูดนี้ใช้น้ำเสียงหนักนัก
ลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่อารมณ์พลุ่งพล่านแต่ละคนถูกด่าจนคอตก
โจวเจิ้นชิวเดินมายังหน้าศพของศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ทั้งสี่ ก่อนตรวจบาดแผลอย่างละเอียด
โจวเจิ้นไห่ที่อยู่ข้างๆ เห็นภาพนี้ ก็เป็นวัวสันหลังหวะขึ้นมาเล็กน้อย
ในใจของเขากระสับกระส่าย กลัวว่าพี่ชายร่วมสายเลือดผู้นี้จะพบช่องโหว่อะไร
เพียงชั่วครู่ โจวเจิ้นชิวก็ลุกขึ้นมาและมองไปยังลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์
“ดูซะ ดูให้ดี ดูเสร็จแล้วคิดให้ละเอียด จากนั้นค่อยบอกข้อสรุปของพวกเจ้ากับข้า”
เขาพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ด้วยเหตุนี้ เหล่าศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์จึงไปตรวจสอบศพทั้งสี่อีกครั้ง
สามสี่คนที่โวยวายเสียงดังที่สุดก่อนหน้านี้ ถึงแม้สีหน้าจะไม่พอใจ แต่ก็ยังคงทำตามอย่างว่าง่าย
“พี่ใหญ่ จะต้องเป็นหลี่มู่นั่นแน่นอนที่สั่งให้ต้วนสุ่ยหลิวเป็นคนทำ คำวิเคราะห์ของพี่น้องทั้งหลายก่อนหน้านี้ไม่ผิด หลี่มู่คนนี้เป็นพวกเศษสวะ เป็นผีดูดเลือด มันทำเรื่องแบบนี้ได้แน่นอน” โจวเจิ้นไห่ขึ้นไปสมทบ พร้อมพูดยุแยง
โจวเจิ้นชิวมองเขาแวบหนึ่ง ทว่าไม่พูดอะไร
“พี่ใหญ่ เจ้าหลี่มู่คนนี้ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงกฎหมาย เรื่องอะไรก็ทำออกมาได้ทั้งนั้น ตอนนั้นมันก็เป็นเช่นนี้ ไม่ถามหาความถูกผิด สังหารอู่เอ๋อร์ไปเช่นนั้น ลูกชายที่น่าสงสารของข้า เขาทุ่มเทกายใจทั้งหมดเพื่องานราชการของอำเภอขาวพิสุทธิ์แต่กลับไม่ตายดี เขาตายอย่างน่าอนาถนัก ศพไม่สมบูรณ์ ฮือๆๆ…”
ขณะโจวเจิ้นไห่พูดน้ำตาก็ไหลพรั่งพรู ร้องไห้คร่ำครวญออกมา
ท่าทางน่าสังเวชยามคนผมขาวส่งคนผมดำของเขาน่าสงสารนัก ทำเอาเหล่าศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์รอบๆ มีหลายคนเช็ดน้ำตาอย่างอดไม่ไหว
หลายวันที่ผ่านมานี้ โจวเจิ้นไห่ใช้ความคิดไปไม่น้อย แสดงท่าทางกระตือรือร้นและมีเมตตา สร้างภาพลักษณ์คนแก่ไร้ลูกหลานที่จิตใจดีงาม ทั้งยังคลุกคลีกับศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่อ่อนต่อโลกพวกนี้ ลูกศิษย์หลายคนต่างเห็นอกเห็นใจผู้เฒ่าคนนี้มาก
ดังนั้นเมื่อเขาร้องไห้เช่นนี้ ความเกลียดชังที่มีต่อหลี่มู่ของเหล่าลูกศิษย์จึงยิ่งรุนแรงมากขึ้น
โจวเจิ้นชิวที่อยู่อีกข้างหนึ่งถอนหายใจ ใบหน้าเย็นชาเพิ่มความอ่อนโยนเข้ามา
แต่เดิมเขาคิดอยากจะพูด แต่ก็กลืนมันกลับลงไป
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นน้องชายร่วมสายเลือดของเขา
อีกทั้งโจวอู่ที่ถูกสังหารก็เป็นหลานของเขา และเป็นกำลังรุ่นหนุ่มสาวของบ้านสกุลโจว
ถึงแม้หลายปีมานี้โจวเจิ้นชิวจะไม่พอใจพฤติกรรมที่พ่อลูกโจวเจิ้นไห่ทำไว้ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ และก็รู้ว่าพ่อลูกคู่นี้เป็นคนเช่นไร จึงพยายามตีตัวออกห่างมาโดยตลอด แต่เขาก็จำต้องยอมรับว่าเลือดข้นกว่าน้ำ
ไม่นานนัก ศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ทั้งหมดก็ตรวจศพเสร็จรอบหนึ่ง
ข้อสรุปที่พวกเขาได้เหมือนกันกับก่อนหน้านี้…
แผลจากดาบ ดาบเดียวปลิดชีพ
โจวเจิ้นชิวพยักหน้าพูด “ถูกครึ่งหนึ่ง พวกลู่อวิ๋นตายด้วยแผลจากดาบไม่ผิด ดาบเดียวปลิดชีพไม่ผิด ทว่าพวกเขาไม่ได้ตายจากการต่อสู้ซึ่งหน้า แต่ตายจากการถูกลอบทำร้าย ก่อนตายยังถูกยาสลบบางอย่าง กำลังการต่อสู้จึงลดลงอย่างรวดเร็ว”
“เรื่องที่ว่าข้าได้ข้อสรุปเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเจ้าไปคิดทบทวนให้ดีเองแล้วกัน ทักษะพวกนี้ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าน่าจะเคยสอนแล้ว จำเอาไว้ พิจารณาปัญหา วิเคราะห์เรื่องราว จะรู้แค่จุดเดียวในนั้นไม่ได้เด็ดขาด ต้องมองภาพรวมให้ปรุโปร่ง มองให้เห็นถึงแก่นแท้ที่อยู่ลึกลงไปอีก”
โจวเจิ้นชิวพูดต่อ
บางคนฟัง บางคนไม่ฟัง
โจวเจิ้วชิวก็ไม่อธิบายอะไรให้มากเกินไป
“ผู้อาวุโส เบาะแสเหล่านี้จะบอกอะไรได้?” ศิษย์หญิงใจกล้าคนหนึ่งถามขึ้น
โจวเจิ้นชิวมองนางก่อนจะกล่าว “หลายวันที่ผ่านมานี้ พวกเจ้าได้เห็นได้ยินอะไรมาไม่น้อย ลองพูดมาซิว่าหลี่มู่เป็นคนอย่างไรในภาพจำของพวกเจ้า?”
“เป็นปีศาจหน้าเลือด จอมอันธพาล โจรเรียกค่าไถ่ เที่ยวฆ่าผู้คน” มีคนตะโกนตอบ
โจวเจิ้นชิวไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ “มีอีกหรือไม่?”
“พลังแข็งแกร่งมาก”
“ละโมบนัก”
“รักพวกพ้อง”
“เขา…กำเริบเสิบสาน เป็นคนบ้า ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง ทำอะไรไม่คิดถึงผลภายหลัง”
มีคนทยอยเอ่ยเสริม
โจวเจิ้นชิวพยักหน้า ถามว่า “มีอะไรอีก?”
“ดูเหมือนว่า…ประชาชนเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์จะสนับสนุนเขามาก”
“หึ นั่นก็แค่…เพราะชาวบ้านโง่เง่าถูกหลอกเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็ววันหนึ่งจะรู้ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของมันเอง”
“แต่พลังของเขาแข็งแกร่งมาก อายุน้อยแค่นี้ ไม่รู้ว่าฝึกฝนอย่างไร” หญิงคนหนึ่งพูดตะกุกตะกัก
“มันลำพอง อวดดียิ่งนัก”
บรรยากาศกลายเป็นครึกครื้นขึ้นเรื่อยๆ ลูกศิษย์แทบทุกคนเอ่ยปากพูดถึงภาพลักษณ์ของหลี่มู่ในความคิดของตน
ความเห็นของแต่ละคนล้วนไม่ตรงกัน
แต่มีหลายจุดที่เห็นพ้อง นั่นก็คือพลังของหลี่มู่แข็งแกร่งมาก เป็นคนอวดดี ใจละโมบโลภมาก ทำอะไรกำเริบเสิบสาน
“พวกเจ้าพูดมาไม่ผิด วางอำนาจบาตรใหญ่ อวดดี พลังแข็งแกร่ง ละโมบ…แต่ว่าพวกเจ้าคิดบ้างหรือไม่ คนเช่นนี้จะไปลอบทำร้ายคนสามสี่คนที่พลังห่างชั้นจากตัวเองลิบลับรึ? กระทั่งว่าใช้ยาสลบไปลอบทำร้ายด้วย?” โจวเจิ้นชิวถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้าไม่รีบร้อน
“นี่…”
“แต่ว่า…”
ศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์อึ้งไปในทันที
คนพวกนี้แต่เดิมคิดอยากเถียงอะไรกลับไป แต่คำพูดติดอยู่ที่ริมฝีปาก เอ่ยแย้งออกไปไม่ได้
เพราะพวกเขารู้สึกอยู่รางๆ ว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสโจวพูดเหมือนจะมีเหตุผล
อย่างไรเสีย การวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของหลี่มู่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาร่วมคิดออกมา และเป็นผลที่พวกเขาทุกคนยอมรับ
ส่วนโจวเจิ้นไห่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งยังคงทำท่าทางเจ็บปวดแทบขาดใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคนแก่ที่สูญเสียลูก แต่ในใจกลับหวาดกลัวและร้อนรนยิ่งนัก
เรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้ เกินกว่าที่เขาคาดการณ์และควบคุมได้ไปแล้ว
พี่ชายร่วมสายเลือดของตนคนนี้ ทำไมถึงฉลาดขนาดนี้ได้?
เขาพลันพบว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ คนที่เขาได้สัมผัสพูดคุยอาจเป็นลูกศิษย์ทั่วไปในสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ สำหรับเขา ในใจคนหนุ่มสาวที่เลือดร้อนวู่วามพวกนี้เต็มไปด้วยความฝันจอมยุทธ์ มีจุดเด่นและจุดด้อยของจอมยุทธ์หนุ่มสาวที่คิดว่าตัวเองไม่ธรรมดา
แต่ว่า เขากลับไม่ได้สัมผัสกับผู้นำระดับสูงของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์อย่างแท้จริง แม้แต่พี่ชายร่วมสายเลือดคนนี้ เขาก็ไม่ได้ทำความรู้จักอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงวิเคราะห์และวางแผนผิดไป?
โจวเจิ้นชิวพูดต่อ “เรื่องนี้วางไว้ก่อน พวกเจ้าลองคิดอีกปัญหาหนึ่งดูได้ หากหลี่มู่หรือต้วนสุ่ยหลิวสังหารพวกลู่อวิ๋นจริงๆ เช่นนั้นทำไมจึงส่งศพของพวกเขามาที่โกดังเก็บศพ หรือว่าไม่กลัวพวกเราจะพบเข้า?”
“นี่…”
ลูกศิษย์หนุ่มสาวที่เลือดร้อนกำลังเดือดพล่านอึ้งไปอีกครั้ง
ใช่แล้ว เพราะอะไรกันเล่า?
ทำลายศพให้พวกลู่อวิ๋นสาบสูญไปเสีย จะไม่ยิ่งไร้ร่องรอยกว่าหรือ?
“บางที…บางทีเขาอาจทำเพื่อท้าทายสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ของเรา เขาจึงตั้งใจทำเช่นนี้” ลูกศิษย์หญิงที่ใจอ่อนและเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ซ้ำเมื่อครู่ยังร้องไห้เสียน้ำตาให้กับโจวเจิ้นไห่ไปไม่น้อยกล่าวขึ้นอย่างลังเล “ถึงอย่างไรหลี่มู่ก็เป็นคนเสียสติ อวดดีเป็นอย่างมาก เขาอาจทำเพื่อท้าทายพวกเราสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์”
โจวเจิ้นชิวมองนางแวบหนึ่ง
เขาจำนางได้ นางชื่อว่าจ้าวหลิง เป็นหนึ่งในศิษย์สายนอกของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่ได้รับการขนานนามว่า ‘หกอัจฉริยะ’
จ้าวหลิงปีนี้อายุสิบห้าสิบหก หน้าตางดงาม ในขณะเดียวกันพรสวรรค์ด้านวิถียุทธก็ล้ำเลิศ วิชากระบี่คล่องแคล่วชำนาญ พลังฝึกกำลังภายในแข็งแกร่ง ได้รับความโปรดปรานจากรุ่นอาวุโสในสำนัก ทั้งยังให้ความสำคัญเป็นพิเศษ นางเป็นเด็กสาวที่เติบโตในเขาสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ตั้งแต่เล็ก อ่อนต่อโลก จิตใจดีงามแต่ถูกคนหลอกใช้ได้ง่ายนัก ทั้งใสบริสุทธิ์และดื้อดึง
ศิษย์หญิงถูกโจวเจิ้นชิวมองเสียจนใจหวาดผวา ทว่ายังคงเชิดหน้าพูดอย่างดื้อดึง “ผู้อาวุโส ข้า…ข้ารู้สึกว่าความคิดนี้เป็นไปได้แน่นอน ในเมื่อเจ้าหลี่มู่นั่นเป็นคนเสียสติที่ชั่วช้าบ้าอำนาจ”
โจวเจิ้นไห่มองไปยังคนอื่นๆ
ลูกศิษย์ที่ปกติหัวค่อนข้างไวอีกคนหนึ่งเกาศีรษะ กล่าวว่า “แต่ว่า ศิษย์พี่จ้าว ถ้าเขาอยากจะท้าทายสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เราจริงๆ ฆ่าพวกศิษย์พี่ลู่เลยเสียแล้วแขวนศพไว้ที่หน้าประตูที่ว่าการ หรือส่งมาต่อหน้าพวกเราเลย จะมิได้ผลดียิ่งกว่าหรือ เหตุใดจึงต้องทำให้ยุ่งยากเช่นนี้?”
“นี่…” จ้าวหลิงก็อึ้งไปเช่นกัน
……………………………………………………