จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 117.2 ออกหน้าผดุงคุณธรรม (2)
หลี่มู่อึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจ สตรีชุดขาวผู้นี้จะต้องเห็นเหตุการณ์ที่ตนฝืนกินของไม่อร่อยจนหมดแล้วยังสั่งอีกสองสามชาม เพื่อจงใจช่วยเหลือการค้าขายของย่าหลานสองคนเมื่อครู่เป็นแน่
หึ สตรีชุดขาวคนนี้ก็มีน้ำใจเหมือนกันนี่
ดังนั้นนางจึงได้เลียนแบบสั่งบะหมี่เหมือนกัน
หลี่มู่ยิ้มพยักหน้า ไม่พูดอะไรต่อไปอีก
ไม่นานนัก เด็กน้อยก็ยกบะหมี่ผักสามชามมา
สตรีชุดขาวเลิกผ้าโปร่งบางสีขาวขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้างดงามประณีตดุจหยกไร้ตำหนิ
หลี่มู่รู้สึกเบื้องหน้าสว่างจ้า ราวกับสรรพสิ่งรอบๆ ไร้สีสันไปทันที
ใต้ฟ้ายังมีสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่อีกหรือ?
ในสมองของเขามีคำพูดเช่นนี้ผุดขึ้นมาทันทีอย่างอดไม่ได้
ใบหน้าที่อยู่ใต้ผ้าโปร่งสีขาวเบื้องหน้า ดวงตาดุจดวงดารา ริมฝีปากดุจแต้มชาด เครื่องหน้าคมชัด ผิวพรรณขาวผ่อง ไร้ซึ่งตำหนิใดๆ เทียบกับลักษณะสาวงามตามหลักที่เคร่งครัดแล้ว หลี่มู่ไม่อาจพูดได้ทันทีว่าตรงไหนที่สวยเป็นพิเศษ แต่มีความรู้สึกว่าไม่มีใครเทียบเทียมและไม่อาจแทนที่ได้
มองเพียงแค่แวบเดียว หลี่มู่ก็มีความรู้สึกเหมือนโดนไฟดูด
ชั่วขณะนั้น เขามองเหม่ออย่างอดไม่ได้
สตรีชุดขาวสัมผัสได้ถึงสายตาของหลี่มู่ แต่ก็ไม่ได้สนใจ ยกตะเกียบขึ้นเริ่มกินบะหมี่อย่างสุภาพ กิริยาท่าทางนุ่มนวล ดูแล้วไม่เหมือนสตรีในยุทธจักรที่พกกระบี่ยาว แต่เหมือนองค์หญิงเชื้อพระวงศ์ที่ได้รับการอบรมมารยาทชนชั้นสูงมา
‘โอ้โห แม้แต่มองนางกินบะหมี่ ยังเป็นการเสพสุขอย่างหนึ่งเลย’
ในที่สุดหลี่มู่ก็เรียกสติกลับมาได้
ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจความหมายของคำคำหนึ่งแล้ว…สวยจนปานจะกลืนกิน
“พี่ชาย บะหมี่เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตัวคล้ำร่างผอมเห็นหลี่มู่เหม่อลอย จึงอดไม่ได้ที่จะเตือนเสียงเบา “หากยังไม่กิน จะอืดเละหมดแล้วนะ”
หลี่มู่หน้าแดงทันที รับคำอ้ำๆ อึ้งๆ แล้วยกชามบะหมี่ข้างๆ มา ก้มหน้าก้มตากินคำโต
หน้าอายจริงๆ
หลี่มู่สบถด่าตัวเองในใจ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีเวลาที่ถูกรูปโฉมของสตรีทำให้ตะลึงไปเหมือนกัน
แต่ในใจของเขาไม่มีความคิดไม่ซื่ออะไร ซ้ำยิ่งไม่มีใจจะไปใกล้ชิดเกี้ยวพาสตรีนางนี้
ปฏิกิริยาเมื่อครู่ โดยคร่าวๆ แล้วก็เป็นแค่สัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตเพศผู้เท่านั้น
กวาดบะหมี่สามสี่คำเข้าปากแล้ว หลี่มู่โคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขึ้นเงียบๆ จิตใจสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลี่มู่กินบะหมี่สองชามหมด สตรีชุดขาวเบื้องหน้าก็เพิ่งจะกินเสร็จ
นางหยิบทองคำก้อนออกมาประมาณสิบตำลึง ก่อนยัดใส่มือของเด็กหญิงตัวน้อย “ไม่ต้องทอน”
“เอ๋?” เด็กหญิงค่อนข้างตกใจ ใบหน้างุนงง รับเงินไปอย่างตกตะลึงไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หญิงชราที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ตกใจเช่นกัน รีบพูดขึ้นว่า “ไม่ได้ ไม่ได้…” พลางรีบหยิบทองในมือของเด็กหญิงยัดคืนกลับไปในมือสตรีชุดขาว “บะหมี่แค่ชามเดียว แม่นาง เจ้าให้มากเกินไปแล้ว ข้าไม่กล้ารับไว้หรอก เจ้าให้ข้าอีแปะเดียวก็พอ”
เงินหนึ่งร้อยอีแปะ ก็แค่หนึ่งสองตำลึงเงินเท่านั้น
ทองสิบตำลึงนี้ น่ากลัวว่าจะเป็นหมื่นอีแปะ
สตรีชุดขาวมือเติบ ทำให้ย่าหลานคู่นี้ตกใจ
หลี่มู่ดูอยู่อีกด้านหนึ่ง ส่ายหัวอย่างอดไม่ได้
ก็รู้ว่าสตรีชุดขาวหวังดีแน่นอน แต่วิธีของนางไม่ค่อยถูกนัก
บางทีทองสิบตำลึงสำหรับนางอาจเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับร้านค้าเล็กๆ ทั้งหลายในตำบลสุขสงบกลับเป็นเงินจำนวนมหาศาล ให้เงินมหาศาลกับย่าหลานที่อยู่ระดับชั้นล่างซึ่งไม่มีความสามารถป้องกันตัวเช่นนี้ อาจเป็นการนำภัยมาสู่พวกนางได้
ตอนนี้หลี่มู่สามารถชี้ขาดได้ว่า สตรีชุดขาวคนนี้ชาติกำเนิดอยู่ในตระกูลร่ำรวย คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไม่รู้จักความยากลำบากของโลก โดยเฉพาะกฎการดำรงชีวิตของบุคคลเล็กๆ ในระดับล่าง
ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้หลี่มู่ก็ใจดีช่วยสองคนย่าหลาน แต่ไม่ได้ให้เงินไปเลย กลับสั่งบะหมี่เพิ่มอีกสองชาม นี่คือการมอบเกียรติให้กับอีกฝ่ายด้วยเจตนาที่ดี ในขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยเหลือในขอบเขตที่อีกฝ่ายรับได้ แต่สตรีชุดขาวแม้จะสั่งบะหมี่หนึ่งชามเหมือนกัน แต่เงินที่นางให้กลับเกินบะหมี่หนึ่งชามไปไกล ค่อนข้างคล้ายกับบริจาคไปแล้ว
อีกทั้งต่อให้บริจาคก็เกินขีดจำกัดสูงสุดไป
สิ่งใดมากไปล้วนได้ผลตรงกันข้าม
ตอนนี้ รอบร้านเล็กๆ มีคนสังเกตเห็นภาพที่เกิดขึ้นที่นี่แล้ว
โดยเฉพาะสายตาหิวกระหายบางคู่ที่หยุดอยู่บนทองแวววาวก้อนนั้น
ผิดคาดเสียเมื่อไหร่ กลัวอะไรสิ่งนั้นก็จะมาหา เสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
“ฮ่าๆ แม่เฒ่าไช่ คนเขาให้เงินเจ้าเจ้าก็รับไว้สิ ทำไมถึงจะไม่เอา?” เสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าอย่างไม่ปกปิดแม้แต่น้อย
คนสามสี่คนที่พอมองก็รู้ว่าเป็นพวกอันธพาลลอยชายตามถนน เดินมาข้างร้านบะหมี่ด้วยใบหน้าหยอกเย้า
ผู้นำเป็นคนหน้ายาว โครงร่างหนาใหญ่ ในมือคลึงลูกเหล็กแวววาวสองลูกหมุนก๊อกแก๊กไปมา ยามหัวเราะเห็นฟันเหลืองทั่วปาก คนที่พูดเมื่อครู่ก็คือเขา
“อา ท่านหม่า…” หญิงชราเห็นคนกลุ่มนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนทันที
ความหวาดกลัวฉายบนใบหน้าของหญิงชรา หวาดเกรงไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ส่วนเด็กหญิงตัวน้อยกลัวถึงขีดสุด รีบซุกตัวข้างหลังย่าทันที มือเล็กๆ กำเสื้อของย่าไว้แน่น
“ฮ่าๆ สุรุ่ยสุร่ายจริงๆ บะหมี่หนึ่งชามสิบตำลึงเงิน ราคาก็นับว่าเหมาะดี” คนฟันเหลืองหน้ายาวยิ้มเสแสร้ง แย่งทองในมือของหญิงชราไปทันที เขาเดาะลิ้นไปตามอารมณ์ แล้วหัวเราะฮี่ๆ กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าไม่รับ เช่นนั้นท่านหม่าคนนี้จะช่วยเจ้ารับไว้เอง ถือว่าเป็นเงินของเดือนนี้ที่เจ้าต้องจ่ายให้ข้าก็แล้วกัน ฮ่าๆๆ!”
“ไม่ๆๆ ท่านหม่า นี่…นี่ไม่ใช่เงินของข้า ข้า…” แม่เฒ่าไช่สีหน้าหวาดกลัว อยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้า ท่าทางน่าสงสารเป็นอย่างมาก
“นั่นไม่ใช่เงินของข้ากับท่านย่า นั่นเป็นเงินของพี่สาวเทพธิดาคนนั้น เจ้าเอาไปไม่ได้ คืนนางไปนะ” เด็กหญิงตัวน้อยที่แอบข้างหลังย่ากำหมัดแน่น รวบรวมความกล้าหาญ น้ำเสียงแอบสั่นเครือ แต่มุมมองถูกผิดชั่วดีก็ยังทำให้นางพูดแบบนี้ออกไป
“เด็กบ้าไม่มีพ่อแม่ เจ้าจะไปรู้อะไร รนหาที่ตายอย่างนั้นหรือ?” ชายอันธพาลยกขาเตะเก้าอี้ตัวหนึ่ง
เด็กหญิงกลัวจนน้ำตาไหล
“วางทองลง คุกเข่าขอโทษแล้วไสหัวไปเสีย” สตรีชุดขาวพูด
“หา?” ชายหน้ายาวฟันเหลืองตะลึงงัน สายตาหยุดอยู่ที่ร่างของสตรีชุดขาว จากนั้นก็เดินไปหัวเราะหน้าทะเล้น “ฮี่ๆ คิดไม่ถึงว่าในตำบลสุขสงบของข้าจะมีนางฟ้างามล้ำเช่นนี้มาด้วย เมื่อครู่เห็นเจ้ากินบะหมี่เกือบจะกระชากวิญญาณของพวกพี่ออกมาเสียแล้ว…ทองวางลงก็ได้ ขอแค่นางฟ้ามาดื่มเหล้าเคล้านารีเป็นเพื่อนพวกเราพี่น้องทั้งหลาย พวกเราให้ทองเจ้าอีกหนึ่งก้อนยังได้ ว่ายังไงเล่า?”
อันธพาลทั้งหลายหัวเราะลั่น
ดวงตาใต้ผ้าโปร่งบางของสตรีชุดขาวฉายประกายคมดุจมีด ต่อให้กั้นด้วยผ้าบางก็ยังเห็นประกายแสงได้
เห็นได้ชัดมาก นางเกิดจิตสังหารแล้ว
ใจของหลี่มู่ไหววูบ ลุกยืนขึ้นทันทีแล้วเอ่ยปาก “อามิตตาพุทธ ประสกทั้งหลาย โชคภัยไร้หนทาง เป็นเราที่เข้าไปหามันเอง ขอจงไปเสียเถิด จะได้ไม่หาเรื่องใส่ตัวจนตายก็ยังไม่ทันรู้ตัว” ในเมื่อคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระพเนจร เช่นนั้นเขาแสดงบทบาทสมมติให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน
เหตุที่เขาลุกขึ้นเอ่ยปาก เพราะไม่อยากให้สตรีชุดขาวลงมือฆ่าคนที่นี่จริงๆ
หลี่มู่เชื่อว่า สตรีชุดขาวมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา มีพลังสังหารอันธพาลน่ารังเกียจพวกนี้ได้เพียงพริบตาแน่นอน เขายิ่งเชื่อว่าหลังจากฆ่าอันธพาลพวกนี้ได้แล้ว นางก็สามารถจากไปจากที่นี่ได้อย่างสบายๆ แน่ และจะไม่มีใครทำอะไรนางได้ด้วย แต่ปัญหาคือหลังจากสตรีชุดขาวฆ่าคน เรื่องจบก็จากไป แต่จะให้แม่เฒ่าไช่สองย่าหลานลอยตัวเหนือปัญหาได้อย่างไร?
ไม่ต้องพูดถึงการสืบสวนจากทางการ แค่พวกอันธพาลคนอื่นในตำบลสุขสงบโมโหแค้นเคืองขึ้นมา ก็มากพอจะทำให้ชีวิตของย่าหลานสองคนตกอยู่ในนรกอสุรภูมิสุดแสนน่ากลัวทันที
สตรีชุดขาวคนนี้หยิ่งทะนงจนเคยชิน วิธีแก้ปัญหาก็ยังเป็นท่าทีออกคำสั่งโดยสมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะที่จะเอามาใช้แก้ปัญหาข้อพิพาทของคนทั่วไปในตำบลเล็กๆ
เห็นหลี่มู่เอ่ยปาก สตรีชุดขาวก็อดกลั้นไว้ ไม่ลงมือ
กลับเป็นอันธพาลหน้ายาวฟันเหลืองที่หันกลับมาหัวเราะเสียงเย็น จ้องหลี่มู่เขม็ง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการข่มขู่ “เณรน้อย เจ้ามีกี่หัวกันเชียว กล้าสอดมือยุ่งเรื่องของพวกข้า? สองวันก่อนหน้านี้ มีคนนอกหมู่บ้านที่ไม่รู้จักประมาณตนสอดมือยุ่งเรื่องชาวบ้านคนหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ศพของมันอยู่ที่ใด?”
“ฮ่าๆ กำลังภายในที่คนนอกหมู่บ้านคนนั้นฝึกได้ บอกว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธจักร ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ถูกพวกเราใช้ยาสลบ ปูนขาว และแร้วดักสัตว์จับเอาได้ จากนั้นตัดแขนตัดขา ควักตา ตัดลิ้นของมัน…”
“ใช่แล้ว ตอนนี้หมาจรจัดในตำบลแทะศพของมันจนสะอาดหมดจดเชียว ฮ่าๆๆ!”
พวกอันธพาลหัวเราะได้ใจ
“อามิตตาพุทธ ละทิ้งความชั่ว กลับเนื้อกลับตัวก็สำเร็จธรรมได้” สีหน้าของหลี่มู่สงบนิ่ง ท่าทางเหมือนพระภิกษุธรรมสูงส่ง เอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี “ประสกทั้งหลายทำบาปกรรมหนักหนา กลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่เถิด มิฉะนั้น ภัยร้ายจะมาอยู่เบื้องหน้า…” อันที่จริงในใจของหลี่มู่แผ่จิตสังหารแล้ว
อันธพาลพวกนี้เหี้ยมโหดชั่วร้ายจนถึงระดับนี้ เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา สมควรตายยิ่งนัก
“เจ้าหัวโล้น มารดาเจ้าสิ บ่นอยู่นั่นแหละ รนหาที่ตายใช่หรือไม่?” สีหน้าของชายหน้ายาวฟันเหลืองเหี้ยมโหด อ้าปากด่าทอ “ไว้หน้าแล้วไม่ไสหัวไป? พี่น้องทั้งหลาย ตัดขาสองข้างของเจ้าโล้นนี่ก่อน จากนั้นเอาไปดองเนื้อเค็มให้มันกิน”
……………………………………………………