จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 143 หมัดเดียวทำลายเรียบ
“ดูแลพี่สาวตัวน้อยบนหลังของเจ้าให้ดี เรื่องอื่นข้าจัดการเอง”
หลี่มู่สัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นของเสือดาวเบญจมาศ เขาจึงลูบหัว ปลอบประโลมมัน
เสือดาวเบญจมาศส่งเสียงทุ้มต่ำ บ่งบอกว่ารับรู้แล้ว
ลูกธนูเจาะเกราะราวกับฝูงตั๊กแตนโจมตีต้อนรับมาดั่งพายุ
หลี่มู่สูดหายใจลึก จากนั้นก็พ่นออกมา
“ตูม!”
กายเนื้อที่ฝึกฝน ‘หมัดยุทธ์แท้’ แข็งแกร่งเพียงใด ลมหายใจกลุ่มนี้เมื่อไหลลงสู่ปอดของเขาก็ปะทุออกมาดั่งคลื่นคลั่ง ลูกธนูมากมายเหล่านั้นบินลอยกลับไปด้วยความเร็วที่สูงกว่ายามพุ่งมา ก้อนหินที่ถล่มลงมาและกำแพงที่พังทลายรอบๆ ก็ลอยกระเด็นออกไป…
“อ๊าก…”
ท่ามกลางเสียงร้องน่าสังเวช นักรบชุดเกราะสีเพลิงนับไม่ถ้วนโดนลูกธนูที่พุ่งมายิงตรึงไว้บนกำแพงและพื้นดิน ถูกก้อนหินใหญ่ขนาดโม่หินกระแทกจนกระอักเลือดอย่างรุนแรง
นักรบชุดเกราะเพลิงที่ปรากฏขึ้นในเขาวงกตใต้ดินแห่งนี้ ต้องเป็นพวกชั้นยอดที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คัดเลือกมาแล้วอย่างดีแน่นอน และก็เป็นนักรบเดนตายที่จงรักภักดีต่อสกุลจาง พวกเขาเข้าออกเขาวงกตใต้ดินแห่งนี้ได้อย่างอิสระ ไม่มีทางไม่รู้ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นที่นี่แน่ ทุกคนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งสิ้น พูดในมุมหนึ่ง คนของพวกโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ยิ่งสมควรตายมากกว่าสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลสกุลโจวหมื่นเท่า ดังนั้นหลี่มู่จึงลงมืออย่างไม่ปรานี
หมัดเมื่อครู่ยิ่งเมื่อรวมกับลมหายใจกลุ่มนี้ ก็ทำให้เขาวงกตใต้ดินทั้งหมดพังราบลงมา
คุกข้างๆ ที่ขังคนในยุทธจักรเอาไว้มากมายก็ถล่มลงเช่นกัน คนจำนวนหนึ่งหนีออกมา
“บังอาจ!”
ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างโมโห แสงกระบี่เสมือนมาจากยมโลก แหวกฝุ่นธุลีขึ้นมา หนึ่งกระบี่สามกระบวนท่า แทงมายังหว่างคิ้ว คอ และหัวใจของหลี่มู่
สุดผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์
ท่านี้เหมือนกับรอยแผลบนร่างของชิวอี้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่ความชำนาญ พลัง และอื่นๆ แข็งแกร่งกว่าจางชุยเสวี่ยที่สังหารชิวอี้ไม่รู้ต่อกี่เท่า
“ตาย!”
หลี่มู่กำหมัด ใช้ ‘หมัดยุทธ์แท้’ กระบวนท่าที่หนึ่ง ‘ค้อนทะยานฟ้า’ โจมตีสังหารออกไป
ตอนนี้ถึงแม้ความเชี่ยวชาญใน ‘หมัดยุทธ์แท้’ ของหลี่มู่จะยังมีเพียงแค่สามกระบวนท่า แต่เอามาเทียบกับในอดีตไม่ได้ และฝึกฝนหลักการแก่นแท้ออกมาได้มากยิ่งขึ้น กระบวนท่าง่ายๆ เช่นนี้เป็นท่าที่ดีที่สุดในการปล่อยพลัง อีกทั้งในการต่อสู้ก็มีอานุภาพสุดยอด เมื่อหมัดนี้โจมตีออกไป ในอากาศ ปราณหมัดดุจสายอัสนี เสียงของหมัดราวฟ้าผ่า เหมือนสัตว์ยักษ์ยุคก่อนประวัติศาสตร์คำรามพลางพุ่งออกมาจากมือของเขา
“เหวอ…” เสียงร้องตื่นตกใจอย่างยากจะเชื่อดังขึ้นมา
ปราณหมัดทำลายแสงกระบี่ที่พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วนั่นในชั่วพริบตา ในอากาศมีหมอกเลือดคละคลุ้ง
ร่างหนึ่งปลิวตีลังกาลอยไป กระแทกจนกำแพงแหลกทลายไปไม่รู้เท่าไหร่
“ผู้อาวุโสซ่ง…”
“ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ร่วมมือกัน”
“ยอมแลกด้วยทุกสิ่ง จับมันเอาไว้”
เสียงทั้งสามดังขึ้นอย่างตื่นตกใจ
เห็นได้ชัดว่าคนของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คิดไม่ถึงว่า ผู้อาวุโสซ่งที่เป็นขั้นปรมาจารย์ลงมือก็ยังสังหารศัตรูผู้บุกรุกไม่ได้ ซ้ำยังถูกโจมตีกระเด็นในชั่วพริบตา ผู้อาวุโสขั้นปรมาจารย์สามคนที่เหลือเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมในใจ
แสงกระบี่สามสายสะท้อนวาววับในอากาศ อาศัยฝุ่นควันของเขาวงกตใต้ดินที่ถล่มลงมาโจมตีใส่หลี่มู่อย่างรวดเร็ว
“โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์จะต้องจ่ายชดใช้ให้กับการกระทำของตัวเอง”
หลี่มู่ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ก้าวขึ้นไปรับแสงกระบี่ ในขณะเดียวกัน ‘ค้อนทะลายสวรรค์’ กระบวนท่าเดิมก็ถูกสำแดงไปอีกครั้ง พลังทั่วร่างโหมซัดถาโถม กระดูกสันหลังราวมีมังกรคำรามทะยานพุ่ง ปราณหมัดดั่งสวรรค์พิโรธกวาดซัดออกมาอีกครั้ง พลังที่ไร้รูปร่างเหมือนสัตว์ยักษ์ยุคก่อนประวัติศาสตร์บดขยี้ออกไป หมายจะทำลายศัตรูทั้งหมดที่ขวางอยู่เบื้องหน้า
“นี่คือพลังอะไรกัน?”
“แย่แล้ว!”
“ตามไป!”
ผู้อาวุโสโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ทั้งสามรู้สึกแค่ว่าพลังมหาศาลที่ยากจะบรรยายโหมมา จึงเกิดความคิดรู้สึกเหมือนมดกำลังเผชิญหน้ากับคลื่นยักษ์ในมหาสมุทรอย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกว่าตนเล็กจ้อยด้อยค่าอย่างไม่เคยมีมาก่อนโจมตีจิตมุ่งต่อสู้และความมั่นใจของพวกเขา ใบหน้าทั้งสามคนฉายแววโมโหตกใจและยากจะเชื่อได้ ถอยร่นไปท่ามกลางเสียงคำรามทันที
ตูม ตูม ตูม!
ปราณหมัดทำลายแสงกระบี่ทั้งหมด
เขาวงกตใต้ดินถล่มราบคาบ ทางที่หมัดของหลี่มู่พุ่งออกไปแต่เดิมมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างเพียงจั้งกว่าๆ ตอนนี้เกิดเป็นรอยหมัดที่กว้างเกือบสี่จั้ง ราวกับมีทางอุโมงค์เกิดขึ้นมาเอง เหมือนถูกปืนใหญ่ที่เคลื่อนที่เร็วกว่าเสียงระเบิดทำลายอย่างไรอย่างนั้น
สามยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์โดนโจมตีจนกระเด็นไกลไปหลายร้อยจั้ง กระแทกลงบนพื้นดิน กระเด็นไปกลางอากาศ ไม่รู้ว่าลอยไปไกลถึงไหน
นักรบเกราะเพลิงที่เหลือของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ซึ่งแอบซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ โชคดีไม่ตาย แต่ละคนตกใจกลัวจนอึ้งตะลึง พวกเขาไม่เคยเห็นวิถีการต่อสู้ที่รุนแรงเช่นนี้มาก่อน และก็ไม่เคยเห็นพลังหมัดที่น่ากลัวถึงเพียงนี้เช่นกัน นี่มันราวกับอาวุธมนุษย์ชัดๆ หมัดเดียวถล่มเขาวงกตใต้ดินเสียราบคาบ นี่มันพลังอะไรกัน?
ส่วนยอดฝีมือที่ถูกขังและหนีออกมาจากคุกที่พังถล่มพวกนั้น เมื่อเห็นภาพนี้ก็ประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาด อึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครกล้าเชื่อว่าบนโลกนี้จะมีคนที่น่ากลัวแบบนี้อยู่ด้วย พลังที่ไม่ควรมีอยู่บนโลก ทำไมจึงมาอยู่ในตัวของมนุษย์คนหนึ่งได้?
“ฮ่าๆๆ สกุลจางยั่วโทสะผู้ยิ่งใหญ่เข้าเสียแล้ว”
“เป็นใครกัน น่ากลัวถึงเพียงนี้เลย? หรือจะเป็นยอดปรมาจารย์คนไหนพิโรธ?”
“โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ลำบากแล้ว ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้า ไปยั่วโทสะบุคคลเยี่ยมยอดเช่นนี้”
“หนี นี่เป็นโอกาสอันดี โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์เอาตัวเองไม่รอดแล้ว พวกเราฉวยโอกาสหนีเถอะ”
หลังจากตั้งตัวกลับมาได้ คนที่ถูกกักขังเหล่านั้นก็รีบฉวยโอกาสหนี นี่เป็นโอกาสสวรรค์ประทาน
ส่วนคนของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ก็ดูแลกันไม่หวาดไม่ไหว
หลี่มู่มองเห็นทุกอย่าง แต่เขาไม่สนใจ
“ออกจากเขาวงกตก่อนแล้วค่อยไปตามหาจางชุยเสวี่ย เพื่อแก้แค้นให้ชิวอี้ มันจะต้องตาย”
หลี่มู่ลูบหัวเสือดาวเบญจมาศ จากนั้นเดินออกไปข้างนอกตามอุโมงค์ที่พลังหมัดระเบิดสร้างขึ้น
หลังจากนั้นสักครู่หนึ่ง
ครืน!
จุดที่ลึกที่สุดในคุกเขาวงกตใต้ดิน คุกมืดมิดที่ผนึกอาคมเอาไว้เป็นชั้นๆ กำแพงพลันแตกออกเป็นร่อง ภาพค่ายกลบนนั้นจึงเกิดการเสียหาย
ดวงตาที่ไม่ใช่ของมนุษย์คู่หนึ่งเปิดขึ้นมา น่ากลัวเหมือนสระเลือดสองสระ กำลังปลดปล่อยกลิ่นอายเหี้ยมโหดออกมา…
“คิกๆๆๆ…ค่ายกลสลายแล้ว ฮ่าๆ แปดสิบปีแล้ว ในที่สุดข้าก็ออกไปได้”
ได้ยินเสียงอ่อนหวานคล้ายเสียงหญิงสาวอายุยี่สิบแปด
ไอปีศาจที่ยิ่งใหญ่จนยากจะบรรยายเกิดขึ้นในห้องขัง
จากนั้นสุดท้ายกำแพงที่จัดวางภาพค่ายกลเป็นชั้นๆ ไว้ก็พังทลายลง เงาสีแดงเลือดพุ่งออกไป เสียงร้องของจิ้งจอกอันรางเลือนดังขึ้นในเขาวงกตที่กลายเป็นซากปรักหักพังแห่งนี้
จากนั้น ยอดฝีมือโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ที่โชคดีรอดมาได้จากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็ส่งเสียงร้องน่าเวทนา เหมือนมีสัตว์ยักษ์น่ากลัวอะไรบางอย่างกัดกระชากคอหอย
หลังจากนั้นหลายสิบอึดใจ ท่ามกลางพื้นที่พังถล่ม ก็มีศพแห้งที่เลือดทั่วร่างไหลจนหมดตัวหลายสิบร่างเพิ่มขึ้นมา
“คิกๆๆๆ…รสชาติของเลือดสดยังคงเลิศรสถึงเพียงนี้ โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์…ข้ากลับมาแล้ว ครั้งนี้ข้าจะให้พวกเจ้าจ่ายคืนอย่างแสนสาหัส คิกๆๆๆ!”
……
“ไม่เลว เมื่อวานสังหารคนฝึกกระบี่กล้า วิชากระบี่ของบุตรชายข้าพัฒนาไปไม่น้อยเลยจริงๆ”
กลางสนามฝึก หลังดูจางชุยเสวี่ยฝึกวิชากระบี่ ‘กระบี่สวรรค์สิบหกท่า’ จบรอบหนึ่ง หัวหน้าจางเฉิงเฟิงก็พยักหน้าอย่างพอใจ เขาคาดหวังในตัวลูกชายของตนคนนี้มาก อยากจะอบรมฝึกฝนให้จางชุยเสวี่ยเป็นผู้สืบทอดโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ต่อไป เพียงแต่จางชุยเสวี่ยไม่เอาไหน ฝึกวิชาไม่มุมานะพัฒนา หลายปีมานี้ก็อยู่แค่ในระดับครึ่งๆ กลางๆ วันนี้ในที่สุดก็มีการพัฒนาแล้ว ทำให้เขาชื่นอกชื่นใจอย่างอดไม่ได้
“ท่านพ่อ ฝึกกระบี่ต้องอาบเลือดจริงๆ ด้วย” จางชุยเสวี่ยพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
รอบๆ มีลูกศิษย์อายุน้อยในโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์สามสิบคน ล้วนแต่เป็นหัวกะทิที่คัดเลือกมาอย่างดี พรสวรรค์ล้ำเลิศยิ่งนัก เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนฝึกกระบี่กับจางชุยเสวี่ย เมื่อพวกเขาได้ยินดังนั้นก็ต่างเอ่ยปากยกยอ จึงยิ่งทำให้จางชุยเสวี่ยได้ใจ
“ท่านพ่อ นับจากวันนี้ไป เมื่อข้าฝึกกระบี่จะต้องได้อาบเลือด” ใบหน้าของจางชุยเสวี่ยฉายแววเหี้ยมโหดอย่างไม่สัมพันธ์กับอายุ “กระบี่สวรรค์อาบเลือด พลังจึงน่าตื่นตะลึง และค้นเจอแก่นแท้ที่อยู่ในนั้นได้ อีกทั้งเลือดที่ดีที่สุดคือเลือดมนุษย์ เลือดสัตว์พวกนั้นไม่ควรคู่ที่จะสังเวยให้กับกระบี่ของข้า”
จางเฉิงเฟิงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าว “ได้สิ ลูกข้ามีปณิธานมุ่งมั่นเช่นนี้ ต่อให้ใช้คนฝึกกระบี่ทุกวัน เหตุใดจะทำไม่ได้เล่า ปู่ของเจ้าเจ้าสำนักกระบี่สวรรค์ ‘กระบี่สวรรค์สิบหกท่า’ ที่ถ่ายทอดมาก็เป็นวิชากระบี่ที่ต้องอาบเลือด ตอนนั้นเพื่อที่จะสร้างรากฐานในเมืองฉางอันแห่งนี้ ใต้คมกระบี่นั้นสังหารคนไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่ ขอแค่ลูกข้ามีจิตใจที่แน่วแน่ สักวันหนึ่งจะต้อง… ”
ยังพูดไม่ทันจบ
ตูม!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน
พื้นดินของลานฝึกที่ไกลออกไปแตกแยกออกในฉับพลัน เกิดเป็นหลุมหนึ่งขึ้นมา ภูเขาจำลองและหินผามากมายถูกกระแทกลอยไปกลางอากาศก่อนจะร่วงลงมาอย่างแรง เสียงแตกตื่นฮือฮาดังไปทั่ว ลานฝึกแต่ละแห่งทั่วทั้งโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์อลหม่านไปหมด ลูกศิษย์มากมายที่กำลังฝึกกระบี่อยู่มองไปยังทิศที่ผืนดินแตกแยกอย่างตื่นตะลึง
สีหน้าของจางเฉิงเฟิงเปลี่ยนไปทันใด
“เกิดอะไรขึ้น?”
สีหน้าจางชุยเสวี่ยก็ตื่นตะลึงเช่นกัน
ร่างเงาแต่ละร่างกะพริบวูบ ทะยานไปยังทางที่แผ่นดินถล่มลงเป็นหลุม
เห็นเพียงใจกลางลานฝึกหมายเลขสามมีหลุมยักษ์เส้นผ่านศูนย์กลางห้าหกจั้งปรากฏขึ้นอย่างเหลือเชื่อ และก็ไม่รู้ว่าทอดตัวไปถึงที่ไหน ยิ่งไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ลานฝึกหมายเลขสามแทบจะแหลกลาญไปทั้งแถบ
จางเฉิงเฟิงและคนระดับสูงของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คนอื่นๆ ก็มาปรากฏอยู่บริเวณหน้าหลุมยักษ์เช่นกัน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เจ้าสำนักจางเฉิงเฟิงสีหน้าย่ำแย่
ครูฝึกคนหนึ่งสำรวจอย่างละเอียด สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด พูดขึ้นอย่างลังเลว่า “เหมือน…จะมาจาก…วังใต้ดิน นี่มัน…พลังอะไรกัน? ไม่มีคลื่นกำลังภายใน ราวกับว่า…หลุมนี้มีใครสักคนใช้หมัดชกโจมตีออกมา?”
“ฮ่าๆๆ ครูฝึกหลู่ ท่านดื่มมากไปแล้วกระมัง ใช้หมัดชกออกมา จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีใครใช้หมัดชกจนพื้นเป็นหลุมลึกแบบนี้ได้หรอก นอกเสียจากเขาจะไม่ใช่คน แต่เป็นเทพ” หัวหน้าโรงฝึกน้อยจางชุยเสวี่ยหัวเราะเสียงเย็น ก่อนกล่าว
ตอนนี้เอง ท้องฟ้าเหนือหัวมีเสียงดังลอยมา
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
เงาสามร่างร่วงลงมา ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด ลมหายใจรวยริน
“เป็นผู้อาวุโสหลิว…”
“แล้วก็ผู้อาวุโสหวาง…”
ลูกศิษย์บางคนจำได้ ร่างอาบเลือดที่ร่วงลงมาทั้งสามร่างคือผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงบารมีและอำนาจมากล้นในโรงฝึก พลังแท้จริงลึกล้ำเกินหยั่ง เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์กันทั้งสิ้น โดยปกติผู้อาวุโสทั้งสามอยู่ในโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ตำแหน่งและพลังเป็นรองแค่หัวหน้าโรงฝึกเท่านั้น ต่อให้อยู่ในเมืองฉางอันก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในแถบหนึ่ง
แต่ตอนนี้ พวกเขาเหมือนจะ…ได้รับบาดเจ็บ?
“หัวหน้า แย่แล้ว มีศัตรูผู้แข็งแกร่งบุกรุก”
“ในวังใต้ดิน ผู้บุกรุกเหมือนจะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์”
“ผู้อาวุโสซ่งสู้จนตายแล้ว ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามเลย”
ผู้อาวุโสทั้งสามท่าทางสะบักสะบอม บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ไม่สนใจเรื่องอื่น รีบมารายงานจางเฉิงเฟิงเป็นอย่างแรก ที่จริงพวกเขากลายเป็นนกหวาดเกาทัณฑ์ไปแล้ว หมัดนั้นของหลี่มู่ช่างน่ากลัวนัก บดขยี้พวกเขาได้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่การต่อสู้ในระดับเดียวกันเลย
“อะไรนะ?” จางเฉิงเฟิงตื่นตะลึง “ยอดฝีมือขั้นยอดปรมาจารย์?”
“ใช่แล้ว หลุมนี้เป็นหลุมที่เจ้านั่นชกออกมาในหมัดเดียว เขาวงกตใต้ดินพังหมดแล้ว…” ผู้อาวุโสหลู่พูด
เป็นหมัดเดียวชกออกมาจริงๆ ด้วย
สายตาของบางคนมองมายังหัวหน้าโรงฝึกน้อยจางชุยเสวี่ย
เขาหน้าแดงก่ำ อึกอักพูดไม่ออก
……………………………………………………