จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 147 ความคิดที่บ้าระห่ำ
ในเมืองฉางอัน ไม่มีเรื่องใหญ่แบบนี้เกิดขึ้นมานานเท่าไหร่แล้ว?
เมืองโบราณที่ผ่านลมผ่านฝนมาไม่คึกคักอย่างนี้มานานมาก
เพราะในข่าวลือ คนที่ถล่มโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คือยอดปรมาจารย์อายุน้อยคนหนึ่ง
ยอดปรมาจารย์สามคำนี้ เมื่ออยู่ในเมืองฉางอัน…ไม่สิ…อยู่ในโลกใบนี้ล้วนมีมนตร์สะกดที่ไร้เทียมทาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสามคำนี้ไปเชื่อมรวมกับคำว่าเด็กหนุ่ม เช่นนั้นยิ่งเป็นที่ฮือฮาเข้าไปใหญ่ กระทั่งมีคนถามตรงนั้นเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กหนุ่มคนนี้คงไม่ใช่บุตรนอกสมรสที่อยู่ข้างนอกของหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์หรอกกระมัง?
มีคนถล่มโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ตอนเช้า ตอนบ่ายยังไม่ทันถึงเวลาอาหารเย็น คนแทบจะทั่วทั้งเมืองฉางอันก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว
สำหรับศิษย์ของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ นี่เป็นเรื่องน่าอับอายนัก ถึงแม้จะโมโหแต่ก็จนปัญญา
โรงน้ำชา เหลาสุรา โรงงิ้ว โรงเตี๊ยม หอนางนางโลมและที่อื่นๆ ที่ผู้คนมารวมตัวกันล้วนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ถึงขนาดมีนักเล่าเรื่องหลายคนแต่งหนังสือใหม่ เล่าเรื่องเด็กหนุ่มขั้นยอดปรมาจารย์สู้กับ ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย ยามยืนอยู่บนเวที อ้าปากได้ก็เริ่มเอ่ย ‘ตีกระทบแผ่นไม้ เรื่องอื่นเราไม่พูด เรามาพูดถึงเด็กหนุ่มที่สู้กับกระบี่เทพได้[1]…’
วิธีผ่อนคลายของชาวบ้าน ส่วนมากแล้วก็เป็นวิธีเช่นนี้
ส่วนบุคคลชนชั้นสูงในเมืองฉางอันต่างมีปฏิกิริยาต่างกันไป
……
โรงฝึกยุทธ์พลังพายุ
“ฮะฮ่าฮ่า โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์โดนถล่มอย่างนั้นรึ มีคนถล่มราบด้วยหมัดเดียว ลูกชายของจางเฉิงเฟิงโดนคนเด็ดหัว เขายังไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่แอะเดียว ฮ่าๆๆ ข้าขำจะตายอยู่แล้ว…” สตรีที่ใบหน้างดงามแต่กลับไม่มีภาพลักษณ์ของสาวงามแม้แต่น้อยนั่งไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์ หัวเราะร่าเป็นม้าดีดกะโหลก
หัวหน้าของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ สมญา ‘หมัดเพลิงศักดิ์สิทธิ์’ และเป็นอริชิงดีชิงเด่นกันกับ ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ คืออิสตรีผู้หนึ่ง
รูปโฉมโดดเด่นงดงาม อายุไม่เกินยี่สิบปี
นางแบบบาง ร่างอ้อนแอ้นอรชร สูงประมาณสี่ห้าฉื่อ แต่สัดส่วนแขนขา รอบเอว รอบอกกลับสมบูรณ์แบบยิ่งนัก ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กน้อยอายุสิบสองสิบสาม แขนทั้งสองสวมนวมทองที่ใหญ่กว่าศีรษะของนางเอาไว้ ยามเมื่อแขนเรียวของนางโบกไปมา ช่างทำให้คนเป็นห่วงว่านวมทองยักษ์จะกดทับจนแขนขาวเนียนหลุดหรือหักหรือไม่
“ลูกพี่ อย่าไปหัวเราะคนอื่นเลย เรื่องของพวกเรายังจัดการไม่ได้เลยนะ” ชายกำยำสูงกว่าเจ็ดฉื่อนั่งลงตำแหน่งต่ำกว่า ใบหน้ายับยู่รวมกันเป็นกอง พูดขึ้นหน้านิ่วคิ้วขมวด “พวกเราใกล้จะไม่มีกินเต็มที ลูกศิษย์บางคนทนไม่ไหว ข่มขู่จะทรยศสำนักแล้ว…”
“ชิ…พ่อครัวกู้ ไม่ใช่ว่าเจ้าแอบยักยอกเงินตอนซื้อข้าวซื้อปลาหรอกนะ?” รอยยิ้มสะใจบนความทุกข์คนอื่นของโลลิน้อย อ้อ ไม่สิ ของหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุค้างแข็ง ใช้นวมทองเกาท้ายทอยอย่างกระอักกระอ่วน กล่าวว่า “เมื่อวานนี้ไม่ใช่ว่าสำนักคุ้มภัยวายุโหมจ่ายเงินที่เราไปช่วยพวกเขาคุ้มภัยครั้งก่อนแล้วหรือ? เร็วปานนี้ก็ไม่มีเงินแล้ว?”
ชายกำยำตัวโตหน้าตาเหี้ยมโหดคือพ่อครัว
“ลูกพี่ จ่ายน่ะจ่ายแล้ว ทั้งยังจ่ายมาไม่น้อยด้วย แต่ว่าเมื่อวานท่านไปหอนางโลมก็ใช้เสียจนเกลี้ยง ทั้งยังติดเงิน ‘หอชิดสิเน่หา’ อีกสองร้อยห้าสิบตำลึง…” บัณฑิตหนุ่มที่ดูแล้วเหมือนนักบัญชีดีดลูกคิดสีเงินในมือ คิดคำนวนอยู่ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าเอ่ย “หัวหน้า…อ้อ ไม่ใช่ ลูกพี่ ตอนนี้ท่านติดเงินหอชิดสิเน่หาทั้งหมดสองพันห้าร้อยตำลึง แล้วก็สี่พันหกร้อยตำลึงของหอมวลบุปผา ใช่แล้ว มีอีกสองหมื่นห้าพันตำลึงของหน่วยเลี้ยงรับรอง…”
บัณฑิตหนุ่มหน้าตาขาวสะอาด นัยน์ตาดอกท้อ ค่อนข้างรูปงาม
ในใจของเขาพร่ำบ่นอย่างหมดแรง พบเจอกับหัวหน้าโรงฝึกสติไม่ดี บังคับคนอื่นให้เรียกนางว่าลูกพี่แทนที่จะเป็นหัวหน้า อีกทั้งนางเป็นสตรีแต่กลับชอบเที่ยวหอนางโลม…นี่มันเรื่องอะไรกัน
“อ๋า? แค่กๆ…มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?” หัวหน้าโรงฝึกกระแอมไปพลางยิ้มประจบ “ควบคุมไม่ได้ชั่วขณะน่ะ…เช่นนั้นทำอย่างไรดี ประเดี๋ยวเดียวก็ไม่มีจะกินอีกแล้ว เดือนนี้นี่มันครั้งที่เท่าไหรแล้วเนี่ย…อ๊าาา หรือว่าจะให้ข้าหัวหน้าผู้งดงามดั่งบุปผาต้องทอดกายขายเรือนร่าง?”
สมาชิกระดับกลางของโรงฝึกยุทธ์ที่อยู่ในโถงใหญ่สิบกว่าคนกุมขมับทันที
ไม้นี้อีกแล้วหรือ?
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่นวมทองคู่นั้นก็ซัดผู้เกี้ยวพาบ้าตัณหาตายไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่ ต่อให้ไปขายเรือนร่างจริงๆ ใครจะกล้าซื้อ?
“ฮี่ๆ เทพพยากรณ์ ลูกคิดเงินของเจ้าน่าจะได้ราคาไม่น้อยกระมัง มิสู้ขายหรือไม่ก็เอาไปจำนำเสีย คืนนี้พวกเราก็น่าจะมีข้าวกินแล้ว?” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุหัวเราะร่า
นัยน์ตาดอกท้อของบัณฑิตหนุ่มฉายแววตื่นตระหนกทันที มือทั้งสองกอดลูกคิดไว้แน่น “ลูกพี่ ยังจะเอาอีกหรือ? นี่คือของทำมาหากินของข้านะ ท่านแอบขายไปเก้าครั้งแล้ว ครั้งที่เก้าเกือบจะเอากลับมาไม่ได้…ลูกพี่ ท่านเปลี่ยนคนแกล้งได้รึไม่?”
หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์สีหน้ากระอักกระอ่วน “อา มีเรื่องแบบนี้ด้วย? ทำไมข้าถึงจำไม่ได้กัน…เช่นนั้นก็ใช้วิธีเดิม พาพรรคพวกเราไปทำงานแบกหามที่ท่าเรือแม่น้ำฝั่งตะวันตกก็แล้วกัน โรงฝึกยุทธ์เราอย่างอื่นไม่มี แต่แรงงานนั้นมีไม่น้อย กฎเดิม ทำมากได้มาก…”
คนระดับกลางของโรงฝึกยุทธ์ในโถงใหญ่ต่างส่ายหน้าถอนใจ
นับจากที่เข้ามาในโรงฝึกยุทธ์พลังพายุก็รู้สึกเหมือนกระโดดเข้ามาในกองไฟ กินไม่อิ่มไม่สุขสบาย พวกเราจะดีจะร้ายอย่างไรก็เป็นจอมยุทธ์ที่พลังขั้นสูงเชียวนะ ตอนนี้แต่ละคนต้องแบกหน้าไปเป็นกรรมกรแบกหาม พวกเราไม่มีหน้าไม่มีตาหรือ? ไม่มีศักดิ์ศรีหรือ? นี่มันอะไรกันเนี่ย
“อืม ดูแล้วทุกคนไม่มีความเห็นอะไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็แยกย้ายกันไปเถิด ตกลงกันอย่างมีความสุขแบบนี้แหละ” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุพยายามหัวเราะคิกคักถูไถเอาตัวรอด
“หัวหน้า ท่านจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะ พวกเราจนจนแทบจะต้องกินดินแล้ว” ชายหน้าตาซื่อๆ ที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมดูแล้วเหมือนเกษตรกรคนหนึ่งพูดขึ้น
“ใช่แล้ว ลูกพี่ พวกเราต้องหาวิธีเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้” หญิงชราชุดเขียวผมขาวโพลนใบหน้ามีแต่ริ้วรอยกล่าว นางดูแล้วเหมือนจะแก่กว่าหัวหน้าเก้าสิบปีได้ แต่เรียกลูกพี่เช่นนี้แล้วกลับดูสมเหตุสมผล
“ข้าว่าเซียนกระเรียนกับย่าผีพูดได้ถูก”
เกษตรกรซื่อๆ ไม่มีเล่ห์คือเซียนกระเรียน ส่วนหญิงชราผมขาวชุดเขียวคือย่าผี
“เห็นด้วย”
“เห็นด้วย”
คนอื่นๆ พูดขึ้นกันหมด
หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุกุมขมับ เห็นว่าเล่นละครต่อไปไม่ได้ก็โมโหทันที “ไม่เอาแล้วๆ ตอนนั้นจับสลากเลือกหัวหน้า พวกเจ้าจะต้องโกงแน่ๆ หัวหน้าอะไรนี่ข้าไม่เป็นแล้ว พวกเรามาประชุมใหม่ จับสลากเลือกหัวหน้าคนใหม่”
ทุกคนอึ้งตาค้าง
ทุกครั้งล้วนเล่นไม้นี้ตลอด
ดวงตาดอกท้อของบัณฑิตหนุ่มฉายรอยยิ้มขมขื่น “ทุกท่าน หัวข้อหารือของเราในวันนี้คล้ายจะหลุดประเด็นไปมากโข ไม่ใช่ว่าถกประเด็นเรื่องโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์โดนถล่มหรอกหรือ?”
“ใช่แล้วๆ เรื่องเลือกหัวหน้าคนใหม่ วันหลังค่อยว่ากันก็แล้วกัน”
“พูดอะไรกัน ข้าว่าลูกพี่เป็นหัวหน้าไปดีจะตาย”
“ใช่แล้ว ใครกล้าพูดเรื่องเปลี่ยนหัวหน้า ข้าจะสับมันเสีย”
“ถ้าลูกพี่เป็นคนพูดเล่า?”
“ไม่มีทาง ลูกพี่ไม่มีทางพูดโง่ๆ แบบนี้หรอก”
ในโถงใหญ่เอะอะโหวกเหวกกันอีกรอบ
หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุใบหน้าเหมือนท้องผูก อดกลั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยืนขึ้นตวาด “เงียบได้แล้ว ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะออกทำการใหญ่ ฮ่าๆๆ หากข้าทำสำเร็จ โรงฝึกยุทธ์พลังพายุเราจะลืมตาอ้าปากได้แล้ว”
……
“ยอดปรมาจารย์?”
จวนสกุลหลี่ ภายในห้องหนังสือ สีหน้าของเจ้าเมืองหลี่กังราบเรียบ แต่ในแววตากลับมีประกายที่คนนอกไม่อาจเข้าใจได้ฉายวาบ
‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนยืนอยู่ข้างๆ พยักหน้ากล่าว “ใช่แล้วขอรับ ที่น่าแปลกก็คือตอนอยู่อำเภอขาวพิสุทธิ์ ข้าน้อยกลับดูไม่ออกว่าคนคนนี้มีพลังฝึกขั้นยอดปรมาจารย์ น่าจะเป็นเพราะเขาจงใจแอบซ่อนพลัง” เมื่อครู่เขาเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอำเภอขาวพิสุทธิ์ รายงานกับเจ้าเมืองหลี่กังตามความจริงทุกประการ
“น่าสนใจ” หลี่กังเห็นได้ชัดว่าไม่ได้สะเทือนอารมณ์หรือหวาดกลัวเพราะได้ยินข่าวว่าหลี่มู่เป็นยอดปรมาจารย์
ใบหน้าของเขากลับปรากฏรอยยิ้มบางๆ เสียด้วยซ้ำ
“ใต้เท้า พวกเราจะลงมืออะไรหรือไม่?” เจิ้งฉุนเจี้ยนถามหยั่งเชิง
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า?” หลี่กังย้อนถาม
เจิ้งฉุนเจี้ยนตอบ “ไม่อย่างนั้นพวกเราคอยเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ”
หลี่กังพยักหน้า บอกว่า “ได้ ข้าฟังเจ้า…ใช่แล้ว ในเมื่อเขาไปรับมารดาที่ตรอกไล่หมูแล้ว ไยจึงไม่เดินทางกลับอำเภอขาวพิสุทธิ์ไป? แต่กลับให้เจ้าซ่อมแซมเรือน หรือว่าคิดจะอยู่ยาว เจ้ารู้ว่าเขาคิดอะไรหรือไม่?”
เจิ้งฉุนเจี้ยนพูด “บางทีคงคิดอยากฝึกฝนตัวเอง ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย วิถียุทธ์เป็นเลิศ อยู่ในเมืองฉางอันสามารถชิงดีชิงเด่นกับผู้แข็งแกร่งทั้งหลายใต้หล้าได้…เด็กผู้นี้ฝึกฝนทั้งวิชายุทธ์และวิชาเวท ทั้งสองล้วนบรรลุถึงขั้นสูง เป็นผู้คลั่งไคล้ในการยุทธ์ ไม่รู้ประวัติของผู้ถ่ายทอดวิชาให้”
“ชิงดีชิงเด่นกับผู้แข็งแกร่งใต้หล้า?”
ใบหน้าที่แต่เดิมแฝงแววหลอกล้อและรอยยิ้มบางๆ ของหลี่กังเคร่งขรึมขึ้นทันที
ประโยคนี้ได้ยินเมื่อครั้งที่แล้วคือยามใด ใครเป็นคนพูด?
เนิ่นนานเหลือเกิน
……
เรือนด้านหลังของจวนสกุลหลี่
ในเรือนแห่งวิทยาการใต้ดิน
ฮูหยินเจ้าเมืองที่ใบหน้าเต็มไปด้วยก้อนเนื้อวางกระดาษในมือลง ไม่พูดอะไรอยู่นาน
ครู่ใหญ่ ดวงตาที่เหมือนรอยแยกระหว่างก้อนเนื้อฉายแววเหี้ยมโหดพาดผ่าน
“สยงเอ๋อร์ ท่าทางของที่แม่เตรียมไว้ให้เจ้าจะไม่พอ ต้องเพิ่มวัตถุดิบอีกเล็กน้อย…หวังว่าเจ้าจะทนได้ เป็นมังกรหรือหนอน ก็ต้องดูเจ้าครั้งนี้แล้ว”
นางลุกขึ้นเดินไปยังห้องที่ประตูปิดสนิทห้องนั้น
……
ในที่พักธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง
“หลี่มู่ก็มาเมืองฉางอันเหมือนกัน?” องค์หญิงฉินเจินขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาทำไมจึงมาเหมือนกัน
“เขาเป็นขั้นยอดปรมาจารย์อย่างนั้นรึ? สวรรค์…” สุภาพบุรุษวาโยหวางเฉินมองฉินเจินด้วยสีหน้าตัดพ้อ ข้าบอกเอาไว้ตั้งนานแล้วว่าให้ดึงหลี่มู่มาเป็นพวก สุดท้ายเจ้าไม่ฟัง ตอนนี้เป็นอย่างไร พลาดผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์ไปคนหนึ่ง นี่เป็นความเสียหายมหาศาลจริงๆ
สังเกตเห็นสีหน้าของหวางเฉิน ฉินเจินส่ายหน้า “ยอดฝีมือขั้นยอดปรมาจารย์ดึงมาเป็นพวกได้ง่ายๆ เสียที่ไหน? หากหลี่มู่เป็นยอดปรมาจารย์จริง เช่นนั้นจิตใจของเขาก็แน่วแน่หนักแน่นดุจศิลา ผลประโยชน์เล็กน้อยจะทำให้เขาหวั่นไหวได้อย่างไร ประสาอะไรกับแต่ละฝ่ายล้วนแย่งชิงผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์ ให้ประโยชน์มหาศาล พวกเรามีอะไรไปให้เขาได้?”
หวางเฉินอึ้ง คิดๆ แล้วก็จริง ตัวเองมองเรื่องง่ายเกินไป
แต่ในใจของเขาก็สงสัย ศึกเจียวยักษ์ที่แอ่งน้ำตกเก้ามังกรในตอนนั้น ทำไมหลี่มู่จึงไม่แสดงพลังขั้นยอดปรมาจารย์ออกมา? หากตอนนั้นเขาสำแดงพลังของยอดปรมาจารย์ก็น่าจะสยบมังกรเจียวได้ ส่วนเว่ยชงก็ยิ่งทำร้ายเขาไม่ได้ด้วย
หรือว่า…
ความคิดบ้าระห่ำที่ทำให้ตัวเองต้องตกตะลึงและยากจะเชื่อผุดขึ้นมาในหัว
……………………………………………………
[1] ตีกระทบแผ่นไม้ เรื่องอื่นเราไม่พูด วันนี้เราจะมาพูดเรื่อง… เป็นคำพูดโหมโรงของนักเล่าเรื่องก่อนที่จะเล่าเรื่องราวต่างๆ