จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 152 หน่วยเลี้ยงรับรอง
บทที่ 152 หน่วยเลี้ยงรับรอง
ศึกท้าดวลระหว่างยอดปรมาจารย์หนุ่มหลี่มู่กับธรรมจารย์กระบี่สวรรค์ เทพกระบี่รุ่นอาวุโสที่ปลีกวิเวกนานหลายปี สร้างความโกลาหลฮือฮาไปทั่วทั้งเมืองฉางอัน โดยเฉพาะโลกยุทธจักรในเมืองฉางอัน ได้ยินข่าวนี้แล้วก็ต่างมองเป็นเรื่องใหญ่ ถึงอย่างไรศึกท้าดวลของยอดปรมาจารย์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นมานานเกือบสิบปีแล้ว
ทุกฝ่ายต่างจับตามอง
“ใต้เท้า เวลานี้จะแทรกแซงหน่อยหรือไม่?” เจิ้งฉุนเจี้ยนขอคำแนะนำจากเจ้าเมืองหลี่กัง
ในเมื่อเกี่ยวข้องถึงขั้นยอดปรมาจารย์ ก็ทำให้ทางการตื่นตกใจแล้ว ยอดปรมาจารย์เป็นตัวแทนของกำลังรบขั้นกลางถึงสูงของจักรวรรดิหนึ่ง ในแผ่นดินใหญ่เสินโจว จำนวนของยอดปรมาจารย์ในฉินตะวันตก ฉู่ใต้ และซ่งเหนือรวมกันแล้วไม่เกินหนึ่งหมื่นคน กล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่ชั้นบนสุดของการฝึกยุทธ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิใด ยอดปรมาจารย์คนหนึ่งล้วนเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่า ไม่ควรจะสูญเสียไปง่ายๆ ดังนั้นเรื่องนี้ ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองแห่งเมืองฉางอัน หลี่กังควบคุมข่าวนี้ไม่ได้ อีกทั้งยังเกินอำนาจตัดสินใจ จะต้องรายงานต่อผู้นำระดับสูงของจักรวรรดิ
ความหมายของเจิ้งฉุนเจี้ยนคือเสนอให้จวนเจ้าเมืองออกหน้า หยุดการท้าดวลของยอดปรมาจารย์หนึ่งอาวุโส หนึ่งหนุ่มน้อยเอาไว้ก่อนชั่วคราว และรอความเห็นจากทางจักรวรรดิค่อยตัดสินใจ เช่นนี้อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ที่ว่าการเจ้าเมืองลอยตัว ต่อให้วันข้างหน้าผู้นำระดับสูงของจักรวรรดิสอบสวนก็ไม่ต้องรับผิดชอบ
ทว่าเจ้าเมืองหลี่กังกลับหัวเราะพลางส่ายหน้า “ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”
ท่าทีของเขาไม่สนใจไม่ไถ่ถาม
เจิ้งฉุนเจี้ยนก็เดาความคิดของท่านเจ้าเมืองคนนี้ไม่ถูกเช่นกัน จึงไม่พูดอะไรอีก
ปกครองเมืองฉางอันมายาวนานถึงหลายสิบปี ผ่านพายุฝนการปกครองมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่ล้มลง วิธีการและความคิดของเจ้าเมืองหลี่กังไม่ได้เหมือนกับชื่อของเขาที่ฟังดูง่ายๆ ธรรมดา ใครมองว่าตุ๊กตาล้มลุกทางการเมืองผู้นี้เป็นมือใหม่ไม่ได้เรื่อง สุดท้ายคนที่เสียเปรียบจะเป็นเขาคนนั้น
เจิ้งฉุนเจี้ยนหลายปีมานี้ติดตามอยู่ข้างกายหลี่กัง วางแผนออกอุบาย ถึงแม้ส่วนมากหลี่กังจะเชื่อและทำตามเขา ทำให้เจิ้งฉุนเจี้ยนมีตำแหน่งการปกครองพิเศษในเมืองฉางอัน แต่ก็มีแค่ตัวเขาที่รู้ว่าตำแหน่งเช่นนี้ หลี่กังให้เขาได้ก็สามารถชิงกลับไปได้เพียงเสี้ยวความคิดเช่นกัน ดังนั้นเจิ้งฉุนเจี้ยนจึงระมัดระวังมาโดยตลอด
ตอนนี้เขาถูก ‘ยันต์เป็นตาย’ ของหลี่มู่ควบคุม แต่ก็ยังคงไม่กล้าตุกติก
ดีที่หลี่มู่ก็ไม่ได้มีเงื่อนไขให้เขาทำอะไร
สำหรับเรื่องที่ช่วยหลี่มู่ปรับปรุงเขตเรือนหลังเล็กที่ตรอกไล่หมู เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปกปิด เจ้าเมืองหลี่กังรู้นานแล้วเช่นกัน
หลี่กังหยิบพู่กันขึ้นมา ตวัดไปยังกระดาษขาวบนโต๊ะ
ปีนั้น เขาเองเป็นจิ้นซื่อเหมือนกัน แน่นอนว่าลายมือการเขียนพู่กันงดงาม ตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในนักเขียนพู่กันที่มีชื่อของจักรวรรดิ เขาสะบัดปลายพู่กันอย่างคล่องแคล่ว เขียนเสร็จในรวดเดียว หลังจากเสร็จแล้วก็วางพู่กันไว้ข้างๆ เป่าไปครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นบนโต๊ะก็เหมือนมีกลิ่นอายงามล้ำลอยอวล
นี่ก็คือบทความอันไพเราะที่ว่า
หลี่กังไม่ใช่แค่เขียนพู่กันได้งดงามอย่างเดียวเท่านั้น ความสามารถและลีลาด้านวรรณกรรมล้วนเป็นหนึ่ง
สิ่งที่เขาเขียนคือฉือ[1]บทหนึ่ง
“ขุนเขาเลื่องชื่อหาใช่สูงหรือต่ำ หากมีเทพสถิตเขานั้นก็เลื่องลือได้ สายน้ำศักดิ์สิทธิ์หาใช่ตื้นหรือลึก หากมีมังกรปกปักก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ เรือนนี้ซอมซ่อโกโรโกโส แต่ข้าที่เป็นเจ้าของเปี่ยมด้วยคุณธรรม ที่แห่งนี้จึงมิได้ซอมซ่อ ตะไคร่เขียวขึ้นคลุมบันไดดุจม่านมรกต ผู้มาพบปะพูดคุยล้วนเป็นปัญญาชน ผู้ที่คบค้าไม่มีผู้ใดไร้ความรู้ อ่านพระคัมภีร์แตกฉาน ดีดพิณได้โดยไม่ต้องเติมแต่งสิ่งใด ที่นี่ไร้เสียงดนตรีอึกทึกรบกวนใจ ไร้ซึ่งงานราชการให้เหนื่อยล้า หนานหยางมีกระท่อมขงเบ้ง ซีสู่มีศาลาจื่ออวิ๋น ขงจื่อกล่าวไว้ว่า ที่ที่มีผู้ทรงธรรม จะมีอะไรโกโรโกโสอีกเล่า?”
นี่คือฉือชั้นเอกของนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงอันเป็นเอกลักษณ์และทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย
เจิ้งฉุนเจี้ยนอ่านจบก็รู้ที่มาที่ไป
ฉือบทนี้ไม่ใช่ผลงานของใต้เท้าหลี่กัง แต่เป็นบทประพันธ์ชิ้นเอกที่เพิ่งจะแพร่ไปทั่วเมืองฉางอันเมื่อวานนี้และสร้างความฮือฮาไปทั่ว
ผู้ประพันธ์ก็คือยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์หลี่มู่ที่สร้างคลื่นปั่นป่วนก่อนหน้านี้นั่นเอง
เมื่อหนึ่งวันก่อนหน้านี้ หัวหน้ารองของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเผยแพร่ฉือบทนี้ด้วยปากเปล่า และส่งต่อออกไปในขอบเขตระดับหนึ่ง พอดีกับที่เมื่อวานมีงานชุมนุมกวี เมื่อเทพพยากรณ์ท่องออกมา บัณฑิตปัญญาชนที่เข้าร่วมงานบางคนก็เผยแพร่ฉือที่น่าตกใจนี้ออกไป ดังนั้นภายใต้การผลักดันของปัญญาชนเหล่านี้จึงเหมือนสาดเกลือลงในหม้อน้ำมัน ทำให้เดือดพล่านขึ้นทันที
‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ พัดกวาดไปในโลกวรรณกรรมของเมืองฉางอันราวพายุกระหน่ำ
โดยเฉพาะเมื่อผู้ประพันธ์ฉือบทนี้คือหลี่มู่ยอดปรมาจารย์หนุ่มน้อยที่เป็นที่น่าสนใจในช่วงนี้ ยิ่งน่าอัศจรรย์ขึ้นไปอีก
ในช่วงนี้หลายคนออกมาเปิดเผยเรื่องราวของยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์หลี่มู่ โดยเฉพาะเรื่องที่เขาตบมือสามครั้งตัดสัมพันธ์พ่อลูกกับเจ้าเมืองหลี่กัง ออกจากบ้านไปตกทุกข์ได้ยากอะไรพวกนี้ ฉือบทนี้ยิ่งผสานเรื่องราวและการเปลี่ยนแปลงจิตใจของเขาได้อย่างกลมกลืน จึงยิ่งเพิ่มความเป็นศิลปะมากขึ้น
ถึงแม้ในฉือบทนี้จะมีบางแห่งที่ลึกล้ำยากเข้าใจ เช่นกระท่อมขงเบ้งกับศาลาจื่ออวิ๋นสถานที่สองแห่งนี้ อีกทั้งประโยคขงจื่อสุดท้ายนั่น ตกลงแล้วหมายถึงอะไรกันแน่ ตอนนี้ก็ยังยากที่จะสรุปได้ แต่ชื่อเสียงของหลี่มู่ยิ่งโด่งดังไปในเมืองฉางอันเพราะฉือบทนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนนี้หลี่มู่ถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะผู้พร้อมทั้งบุ๋นและบู๊แล้ว
ว่ากันว่า ในช่วงเวลาสั้นๆ หลี่มู่มีคนที่ชื่นชมบูชาตัวเขาไม่น้อย โดยเฉพาะสตรีชั้นสูงที่มีชื่อเสียงบางคนยิ่งมองว่าเขาเป็นเหยื่อที่หอมหวานยั่วยวนที่สุด แอบปรึกษากันว่าจะล่าอย่างไรด้วยซ้ำ
เจิ้งฉุนเจี้ยนคิดไม่ถึงว่าหลี่กังจะเขียนฉือบทนี้ขึ้นในห้องหนังสือของตัวเอง
“ฮ่าๆ ฉุนเจี้ยน เจ้าก็เป็นนักกวีมีชื่อในเมืองฉางอัน ไหนลองว่ามาสิว่าฉือบทนี้เป็นอย่างไร” หลี่กังใบหน้าประดับรอยยิ้ม พูดขึ้นเหมือนไม่ใส่ใจ
เจิ้งฉุนเจี้ยนใจหายวูบ ไม่รู้ว่าควรจะวิจารณ์อย่างไร
อันที่จริง หลายวันมานี้เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ท่านเจ้าเมืองที่ในตอนนั้นบันดาลโทสะตบมือสามครั้งขับไล่หลี่มู่ออกไปผู้นี้ เหมือนจะไม่ได้รังเกียจและเคียดแค้นบุตรชายเหมือนอย่างที่ทุกคนคิดเอาไว้ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยส่งตนและพวกฉู่ซูเฟิงไปจัดการหลี่มู่ แต่หลังจากเรื่องนั้น ท่าทีต่อลูกที่ถูกทอดทิ้งของเจ้าเมืองเหมือนจะเปลี่ยนไป
พูดไม่ได้ว่าใกล้ชิด แต่ก็พูดไม่ได้ว่าห่างเหิน…สรุปแล้วคาดเดายากนัก
“เป็นฉือที่ตรงกับนิสัยของคุณชายหลี่นัก มีเอกลักษณ์โดดเด่น เป็นฉือที่ยอดเยี่ยมบทหนึ่ง” สุดท้าย เจิ้งฉุนเจี้ยนก็ได้แต่วิจารณ์ไปเช่นนี้ ถึงอย่างไรข้างนอกก็พูดกันแบบนี้
หลี่กังหัวเราะลั่น ชายรูปงามที่ดูเหมือนอายุสี่สิบต้นๆ ซึ่งเป็นช่วงอายุที่มีเสน่ห์มากที่สุด เมื่อยิ้มขึ้นมาให้ความรู้สึกเหมือนสุภาพบุรุษอ่อนโยนและงดงาม “เอกลักษณ์โดดเด่นสี่คำนี้ยังไม่พอ ฉือบทนี้นับจากที่เจ้าลูกเวรนั่นตวัดปลายพู่กัน ก็เรียกได้กระทั่งว่าไร้ใครเทียมแล้ว นี่คือบทกลอนเปรียบเทียบ ขุนเขาเลื่องชื่อหาใช่สูงหรือต่ำ หากมีเทพสถิตเขานั้นก็เลื่องลือได้ สายน้ำศักดิ์สิทธิ์หาใช่ตื้นหรือลึก หากมีมังกรปกปักก็อำนาจศักดิ์สิทธิ์ได้ หึๆ เจ้าลูกคนนี้เปรียบเทียบตัวเองว่าเป็นเทพเป็นมังกร พูดให้น่าฟังหน่อยคือมีปณิธานแรงกล้า พูดตรงๆ คือมีความทะเยอทะยานคับฟ้า”
เจิ้งฉุนเจี้ยนคิดๆ ดูในใจ นี่เหมาะกับบุคลิกลักษณะของหลี่มู่คนนั้นที่เขารู้จัก บ้าระห่ำนัก เป็นราชาปีศาจ พูดว่ามีใจทะเยอทะยานก็ไม่เกินไป
หลี่กังหัวเราะ เหมือนมีแรงบันดาลใจอะไร จึงยกพู่กันขึ้นอีกครั้ง แล้วเขียนอรรถาธิบายด้วยตัวอักษรแบบเสี่ยวข่าย[2]ไว้ข้างล่างฉือบทนี้ไว้ เป็นเพียงแค่ประโยคสั้นๆ สองประโยค
มัจฉาเกล็ดทองหาใช่สัตว์ในแอ่งน้ำ เมื่อพานพบโอกาสจะผงาดเป็นมังกร!
เขียนเสร็จก็วางพู่กันไว้ที่เดิม แล้วเดินยิ้มจากไป
เจิ้งฉุนเจี้ยนตามติดอยู่ข้างหลัง ใบหน้าเป็นปกติแต่ในใจกับสั่นสะท้าน
นี่พูดถึงหลี่มู่หรือ?
ท่านเจ้าเมืองกลับประเมินลูกที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้สูงถึงเพียงนี้เชียว เมื่อพานพบโอกาสก็จะกลายเป็นมังกร วาดหวังเอาไว้ถึงเพียงนี้ เหมือนจะอยู่เหนือคุณชายใหญ่หลี่สยงเสียด้วยซ้ำ? เช่นนั้นตอนนั้นทำไม…เขาพลันตระหนักได้ว่าตัวเองเหมือนเข้าใจอะไรผิดไป
เช่นนั้นโอกาสของหลี่มู่อยู่ที่ใดกัน?
คือการท้าดวลกับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ครั้งนี้อย่างนั้นหรือ?
น่าจะใช่กระมัง
ในใจของเจิ้งฉุนเจี้ยนมีความคิดผุดขึ้นมานับไม่ถ้วน
……
“จารึกเรือนซอมซ่อ?”
องค์หญิงฉินเจินอ่านฉือบทนี้จบ ในที่สุดบนใบหน้าก็ปรากฏความอึ้งตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เหตุที่นางอึ้งตะลึงก็เพราะจากความเข้าใจของนาง หลี่มู่ที่คุณธรรมต่ำช้าไม่มีทางเขียนฉือดีมีเอกลักษณ์แบบนี้ได้
เหตุผลนั้นง่ายมาก
กล่าวกันไว้ว่า ลายมือและบทกวีล้วนสื่อถึงตัวตน หลายครั้งบทกวีหรือลายมือนั้นหลอกคนไม่ได้ ความคิดจิตใจของคนเป็นเช่นไร บทกวีที่เขียนออกมาก็จะเป็นอย่างนั้น นับแต่โบราณมามีคนศีลธรรมต่ำช้าใจทะเยอทะยานเขียนบทกวีดีๆ สืบทอดเรื่อยมาเป็นพันเป็นร้อยปี แต่ไม่มีทางเขียนออกมาได้เป็นเอกลักษณ์อย่าง ‘ขุนเขาเลื่องชื่อหาใช่สูงหรือต่ำ หากมีเทพสถิตเขานั้นก็เลื่องลือได้ สายน้ำศักดิ์สิทธิ์หาใช่ตื้นหรือลึก หากมีมังกรปกปักก็เรืองอำนาจศักดิ์สิทธิ์ได้’ แน่นอน ในบทประพันธ์นั้นแฝงไว้ด้วยความคิดจิตวิญญาณของคนคนหนึ่ง
“หรือจะจ้างคนแต่งขึ้น?”
นางสงสัย
แต่ก็ล้มเลิกความคิดนี้อย่างรวดเร็ว
เพราะฉือบทนี้เหมาะกับประสบการณ์ชีวิตของหลี่มู่จริงๆ
มีเพียงแค่คนที่ผ่านอุปสรรค ความล้มเหลว ความยากลำบาก และความทุกข์ทรมานเท่านั้นถึงจะเขียนกวีแบบนี้ออกมาได้ เรื่องที่หลี่มู่ตบมือสามครั้งตัดความสัมพันธ์พ่อลูกลือกันมาตั้งนานแล้ว ต่อให้นางไม่ได้สนใจคนคนนี้ ก็ต้านทานหวางเฉินสาวกหลี่มู่ข้างกายนางที่พูดพร่ำตลอดไม่ได้
บางทีนางอาจจะมองผิดไปจริงๆ?
ในใจของฉินเจินคิดไว้เช่นนี้
ครู่หนึ่ง หวางเฉินเดินเข้ามาจากข้างนอก “องค์หญิง จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว หนึ่งชั่วยามหลังจากนี้พวกเราจะออกเดินทางไปหน่วยเลี้ยงรับรอง ถึงตอนนั้นองค์หญิงจะต้องปกปิดฐานะให้ดีๆ”
……
ในเมืองฉางอัน ที่หนึ่งที่ลึกลับเป็นที่สุด
“ฮ่าๆ ยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์ จารึกเรือนซอมซ่อ…ทุกท่าน เด็กคนนี้ใช้ได้หรือไม่?” ชายหนุ่มหน้าตางดงามอ่านจารึกเรือนซอมซ่อจบก็หัวเราะถามผู้คนรอบกาย
“ประสบความสำเร็จแต่เยาว์วัย อาจจะไม่ยอมให้องค์ชายใช้งาน”
“บทประพันธ์เปรียบเปรยตัวเองสูงส่งเกินไป”
“ลองดูก็ได้”
“ฮ่าๆ องค์ชายเคารพให้ความสำคัญกับปัญญาชน เมื่อได้พบผู้มีความสามารถย่อมยินดี นี่เป็นเรื่องปกติ หากองค์ชายประสงค์จะสนับสนุนเขา ข้ายินดีไปโน้มน้าวเขา ชักชวนเด็กคนนี้มาเพื่อองค์ชาย”
“อืม อายุน้อย ตื้นลึกหนาบางขาวสะอาด มีศักยภาพเพียงพอ สามารถฝึกฝนอบรมได้ แต่ยิ่งเป็นผู้มีความสามารถล้ำเลิศยิ่งหยิ่งทะนง องค์ชายจำต้องมีแผนสำรองเตรียมเอาไว้ หากองค์ชายเอามาใช้ไม่ได้จะต้องรีบกำจัด”
ความคิดมีกันต่างๆ นานา
อีกทั้งฐานะและตำแหน่งของทุกคนที่พูดล้วนสูงส่งเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะ “ข้าไม่กลัวเขาหยิ่งทะนง ไม่กลัวเขาไม่เห็นหัวผู้อื่น แต่กลัวเขาจะไม่รู้จักรับความหวังดี ความหยิ่งทะนงของปัญญาชน ฮึๆ…ข้าจะทำให้เขาศิโรราบ ให้เขารู้ว่าทำงานให้กับข้าเป็นเพียงตัวเลือกเดียวของเขา คนที่ข้าหมายตาเอาไว้ มีใครรอดพ้นกัน”
……
ยามค่ำ
หลี่มู่มาปรากฏตัวที่ปากทางเข้าของหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอัน
หน่วยเลี้ยงรับรอง หากเปลี่ยนชื่อก็คือหอคณิกาของทางการ นางคณิกาในนั้นส่วนใหญ่คือภรรยา อนุ และบุตรสาวของชนชั้นสูง หรือขุนนางที่กระทำความผิดโดนริบทรัพย์ถูกบังคับส่งตัวมาที่นี่ จากฮูหยินขุนนางผู้สูงส่ง คุณหนูผู้สูงศักดิ์ กลายเป็นนางคณิกา ‘แขนเรียวงามหมื่นคนหนุน เรียวปากอิ่มอุ่นหมื่นคนชิม’ ชะตาของคนในครอบครัวของขุนนางที่ทำผิดพูดได้ว่าน่าเวทนา แต่ก็เพราะฐานะตำแหน่งในอดีตของพวกนางจึงได้ดึงดูดให้ผู้ชายที่ชอบหาความสำราญมากมายแห่แหนกันไป
ดังนั้นหน่วยเลี้ยงรับรองจึงเรียกได้ว่าเป็นหอคณิกาที่กิจการดีที่สุดในเมืองฉางอัน
หลี่มู่ยามกลางวันฝึกฝนวิชานึกนิมิต แต่หาวิธีที่เหมาะสมฝึกฝนไม่ได้ จิตใจหงุดหงิดนัก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้รีบร้อนฝึกฝนจนธาตุไฟเข้าแทรก เขาจึงใช้ ‘ยันต์เป็นตาย’ เรียกเจิ้งฉุนเจี้ยนให้มาเดินชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองฉางอันเป็นเพื่อน มาเปิดหูเปิดตาดูสภาพความเป็นอยู่ของเมืองที่เจริญรุ่งเรืองต่างโลกก็ไม่เลวเหมือนกัน
หลี่มู่เฝ้าใฝ่ฝันถึงและอยากรู้อยากเห็นมาโดยตลอด
แต่จากการนำทางอย่างตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจของเจิ้งฉุนเจี้ยน ก็มาถึงปากประตูใหญ่ของหน่วยเลี้ยงรับรองเสียอย่างนั้น
“คุณชาย ไม่สู้เข้าไปชมสักหน่อย?” เจิ้งฉุนเจี้ยนเสนอ
หลี่มู่พยักหน้าด้วยสีหน้าปกติ “ก็ดีเหมือนกัน”
ที่จริงในใจของเขาค่อนข้างจะอดใจไม่ไหวแล้ว
เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษดื้อดึงไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งสำหรับผู้ชายที่ทะลุมิติมา การเที่ยวหอนางโลมไม่ใช่เรื่องที่เฝ้าปรารถนาเป็นอย่างยิ่งหรือไร? ในเมื่อมาแล้วก็จงอยู่อย่างมีความสุข ทำไมจะไม่มีความสุขเล่า? ต่อให้ไม่ทำอะไร มาดื่มเหล้ามาชม ก็เป็นประสบการณ์ในชีวิตเหมือนกัน
……………………………………………………
[1] ฉือ ลักษณะการประพันธ์ประเภทหนึ่ง มีฉันทลักษณ์โดดเด่น บังคับวรรณยุกต์ จำนวนตัวอักษร และจำนวนคำในประโยค
[2] เสี่ยวข่าย รูปแบบของตัวอักษรเขียนพู่กันจีนอย่างหนึ่ง ประดิษฐ์ขึ้นในช่วงราชวงศ์ฮั่น เป็นการเขียนแบบบรรจง ตัวเล็ก งดงามเป็นระเบียบ