จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 157 รู้จักประมาณตัวเอง
หากพูดให้ละเอียด เรื่องนี้พวกเขาทั้งสามรนหาที่เอง ดันไปหาเรื่องอัจฉริยะด้านกวี หลี่มู่แค่พูดออกมาตามปากสองประโยคก็ตอกพวกเขาไว้บนเสาแห่งความอัปยศได้อย่างง่ายดาย วันหลังไม่ว่าเมื่อใด ที่ไหน แค่มีคนพูดถึงที่มาของกลอนสองประโยคที่ว่า ก็จะต้องเอ่ยถึงสามคนนี้ เป็นเหมือนกับหินปูทางให้เขาเหยียบย่ำเอา
แน่นอน หลายคนอึ้งตะลึงในความสามารถด้านกวีของหลี่มู่
“เด็กหนุ่มคนนี้มีประวัติอย่างไรกันแน่ ความสามารถด้านบทกวีเก่งกาจถึงเพียงนี้ ไยจึงไม่เคยได้ยินชื่อเลย?”
“หรือจะเป็นคนต่างถิ่น?”
“คืนนี้ บางทีอาจเป็นประจักษ์พยานการถือกำเนิดของตำนานแห่งโลกกวีก็ได้”
บางคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์
หลินชิวสุ่ยสีหน้าทะมึน ในดวงตาฉายแววอาฆาตแค้นไร้สิ้นสุด เขากัดฟันกรอดยืนอยู่เดิมครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจเรียกบัณฑิตร่างกลมป้อมมากระซิบอะไรบางอย่าง “รีบไปรีบมา จะต้องทำให้ได้ บอกอาจารย์ เรื่องนี้เกี่ยวกับชื่อเสียงอันยาวนานของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์”
บัณฑิตร่างกลมป้อมจากไปอย่างรีบร้อน
หัวหน้าสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ที่อยู่ข้างๆ ก็ตั้งสติกลับมาได้แล้ว
เขาเรียกสหายร่วมชั้นคนสนิทคนหนึ่งมาทันที แล้วกระซิบเสียงต่ำเตรียมการอะไรสักอย่าง
คืนนี้ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็แล้วแต่ ต้องพลิกสถานการณ์กลับมาให้ได้ มิฉะนั้นหากข่าวลือออกไป ชื่อเสียงของเขาหัวหน้าบัณฑิตคนนี้ก็นับว่าเสียไปแล้วโดยสมบูรณ์ อีกทั้งยังพลอยทำให้สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ติดร่างแหไปด้วย นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ แล้ว กระทั่งส่งผลกระทบกับอนาคตการสอบราชการของเขา
บัณฑิตจากสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ก็รีบร้อนจากไปเช่นกัน
ชายอวดดีซ่งชิงเฟยสีหน้าคาดเดาอารมณ์ได้ยาก ยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่สายตาของเขาอาฆาตแค้น สีหน้าอึมครึม เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมจำนน และกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง
ในโถงใหญ่ คนส่วนใหญ่ยังไม่แยกย้ายไป
เพราะดูจากท่าทางของหัวหน้าสำนักบัณฑิตทั้งสอง ก็รู้ได้ว่าละครฉากนี้ยังไม่จบ
หากเด็กหนุ่มพูดจาอวดดีคนนั้นไม่มีภูมิหลังอะไรแล้วละก็ เช่นนั้นคืนนี้เขาก็ลำบากแล้ว แถมยังเป็นเรื่องลำบากครั้งใหญ่ยิ่งด้วย
……
สาวใช้ผลักประตู นำหลี่มู่เดินเข้าไป
ภายในห้องมีกลิ่นของดอกกล้วยไม้จางๆ หอมตลบยิ่งนัก ทำให้รู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง
หลี่มู่มองประเมินไปรอบๆ อย่างสงสัยใคร่รู้
ในห้องงดงามแปลกตาแบบโบราณ ข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ล้วนเป็นของใช้จากวัสดุไม้สีอ่อนที่งานแกะสลักประณีตวิจิตร ลายฉลุมีชีวิตชีวา ไม่ได้แสดงเอกลักษณ์แบบสตรีออกมาเด่นชัด เอกลักษณ์เพียงอย่างเดียวคือหนังสือเยอะนัก
ข้างกำแพงซ้ายขวามีชั้นหนังสือตั้งอยู่ บนนั้นมีตำราต่างๆ วางจนเต็มชั้น กระทั่งได้กลิ่นหอมของหมึกอยู่จางๆ สายตาของหลี่มู่เฉียบคมยิ่ง เพียงแวบเดียวก็มองออกว่าหนังสือเหล่านั้นไม่ได้เป็นแค่ของตบแต่ง แต่มีคนเปิดอ่านอยู่บ่อยๆ ถึงแม้จะรักษาอย่างดี แต่ขอบกระดาษชำรุดแล้ว
ทุกอย่างนี้บ่งบอกว่าเจ้าของห้องเป็นคนชอบหนังสือ รักหนังสือ และรักการอ่านหนังสือ
นอกจากหนังสือเยอะแล้ว เอกลักษณ์อีกอย่างในห้องคือดอกไม้เยอะ
เป็นดอกกล้วยไม้สีม่วงอ่อนพันธุ์หนึ่ง เล็กๆ ใหญ่ๆ รวมแล้วหลายสิบกระถาง วางอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ ในห้อง ส่วนมากออกดอกบานแล้ว ใบเรียวบาง ก้านดอกอ่อนไหวปลิวพลิ้วเบาๆ ทำให้คนอดเกิดความรู้สึกทะนุถนอมสงสารไม่ได้ กลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ในห้องคือกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์จากเกสรของดอกกล้วยไม้เหล่านี้
นอกจากนั้นก็ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ของผู้หญิงที่ชัดเจนอะไร
หากไม่ใช่ว่ารู้แล้วว่าห้องนี้เป็นของนางคณิกาอันดับหนึ่งในหอคณิกา หลี่มู่ยังคิดว่าตัวเองเข้ามาในห้องหนังสือของบัณฑิตสูงส่งสง่างามผู้ปลีกวิเวกคนใดเสียอีก
สาวใช้พาหลี่มู่เดินทะลุห้องนี้มายังห้องที่เชื่อมติดกันอีกห้องหนึ่ง
ที่นี่คือห้องชงชา การตกแต่งเรียบหรู ตลบอวลไปด้วยกลิ่นชาหอมสดชื่น
ดรุณีน้อยในชุดหรูฉวินรัดอกนั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะชาเงียบๆ นางกำลังชงชา กิริยาเนิบช้าราวกับเมฆคล้อยสายน้ำไหล ให้ความรู้สึกงดงามโดดเด่นไม่เหมือนใคร ผมของนางดุจเมฆ ดำดั่งหมึก เมื่อนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง ผมสลวยดุจกลุ่มเมฆยาวจนถึงข้อเท้า ทิ้งตัวลงมาข้างกายเป็นชั้นๆ ก่อตัวเป็นกลุ่มเมฆดำแผ่ไปบนพื้น
ภายใต้การขับเน้นจากผมดำขลับ ผิวของสาวน้อยขาวละเอียดเป็นอย่างยิ่ง ราวกับกำลังส่องแสงรางๆ ดวงหน้าเรียวเล็กวิจิตรประดุจหยกงามไร้ที่ติ จมูกโด่งงดงามราวช่างศิลปะชื่อดังแกะสลัก ริมฝีปากดุจผลอิงเถา (ผลเชอร์รี่)…
หลี่มู่ตะลึงไปในทันที
จะว่าอย่างไรดี สาวน้อยคนนี้เครื่องหน้าส่วนใดก็ล้วนวิจิตรยิ่ง เมื่อรวมกันแล้วกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกสวยคมแบบอาวุธคมกริบข่มขวัญคน แต่เป็นความงามล้ำที่เป็นมิตรและอ่อนละมุน ชวนให้คนอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกอยากใกล้ชิด
ไม่ใช่ความสวยสังหาร
แต่เป็นงามล้ำอ่อนละมุน
ในหัวของหลี่มู่มีสองประโยคนี้ผุดขึ้นมาทันใด
“คุณหนู คุณชายผู้นี้มาถึงแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยขึ้น จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ อย่างเรียบร้อย และเริ่มต้มน้ำ ช่วยดรุณีน้อยชงชา
หลี่มู่รู้ว่าสตรีที่อยู่ข้างหลังโต๊ะชาก็คือแม่นางฮวา ฮวาเสี่ยงหรง นางคณิกาอันดับหนึ่งของหอสดับเซียน
“คุณชาย เชิญนั่ง ข้าขอใช้ชาต่างเหล้าคารวะคุณชายหนึ่งจอก เพื่อขอบคุณที่คุณชายแต่งกลอนสาวงามในวันนี้” ฮวาเสี่ยงหรงเอ่ยปาก เสียงอ่อนนุ่มน่าฟังเป็นอย่างมาก เหมือนกับดอกกล้วยไม้ท่ามกลางสายลม ชวนให้คนทะนุถนอม
หลี่มู่ยิ้ม นั่งลงรับถ้วยชามา ลิ้มรสชาก่อนจะดื่มทีเดียวจนหมด
ตอนที่รับถ้วยชามา นิ้วมือแตะโดน เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งจากปลายนิ้วของนาง
ดื่มเสร็จบรรยากาศก็ค่อนข้างอึมครึม
หลี่มู่ไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ตอนนี้เอง กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ต่างไปจากกลิ่นกล้วยไม้ลอยกำจายมา หลี่มู่สูดเข้าไปโดยไม่รู้ตัว อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะตระหนักได้ว่านี่คือกลิ่นกายสาวพรหมจรรย์ของฮวาเสี่ยงหรง ในใจก็สั่นไหวขึ้นมาโดยพลัน
ก่อนที่จะทะลุมิติเขาเป็นแค่นักเรียนมัธยมต้นในหมู่บ้านเมืองเล็กๆ ไกลกันดารทั่วไป เคยได้ใกล้ชิดกับหญิงงามในระยะใกล้ขนาดนี้เสียที่ไหน
อีกทั้งความคิดของจักรวรรดิฉินตะวันตกค่อนข้างเปิดกว้าง หรูฉวินเกาะอกที่หญิงสาวสวมใส่ต่ำมาก คล้ายกับเสื้อคอคว้านลึกของโลกอย่างไรอย่างนั้น อกขาวเนียนและร่องอกลึกชัดเจนของฮวาเสี่ยงหรงจึงแทบจะเอื้อมมือสัมผัสได้ ทำให้หลี่มู่ที่แต่เดิมแกล้งทำเป็นสุขุมเริ่มรับมือไม่ไหว หน้าแดงขึ้นมาแล้ว
เขารู้สึกว่าการเผชิญหน้ากับสาวงามทรงเสน่ห์แบบนี้ ความกดดันมากยิ่งกว่าเผชิญหน้าผู้แข็งแกร่งยอดฝีมืออย่างเว่ยชงเสียอีก
“คุณชายดูจะค่อนข้างอึดอัด?” ฮวาเสี่ยงหรงเอ่ยปากก็ยิ้มแย้มมาก่อนเลยสามส่วน คิ้วตาดุจภาพวาด
หลี่มู่หัวเราะ กล่าวขึ้นอย่างไม่ไม่ปิดบังอะไร “มาหอคณิกาครั้งแรก”
ดวงตาของฮวาเสี่ยงหรงฉายแววตกใจน้อยๆ จากนั้นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ “คุณชายมีความสามารถด้านกลอนน่าตกใจมาก คืนนี้แต่ง ‘กลอนสาวงาม’ ที่สามารถเล่าลือไปได้อีกชั่วนาน ข้าทราบซึ้งใจยิ่งนัก ไม่มีอะไรตอบแทนได้ ทำได้แค่ชงชาให้กับคุณชายเท่านั้น เชิญคุุณชายดื่ม”
หลี่มู่แอบพูดในใจ ประโยคต่อจากไม่มีอะไรตอบแทนได้ ควรจะเป็น ‘คงต้องใช้กายตอบแทน’ ไม่ใช่หรือ? ทำไมกลายเป็นชงชาไปได้ สาวน้อยนี่หน้าตาสะสวย แต่ดันไม่ออกไพ่ตามหลัก
สำหรับเรื่องชา เขาไม่เคยได้ศึกษา ดังนั้นเมื่อดื่มก็เหมือนกับวัวเคี้ยวดอกโบตั๋น ดื่มรวดเดียวหมด
สาวใช้ชื่อซินเอ๋อร์ส่ายหัวอยู่ข้างๆ คุณชายคนนี้ความสามารถด้านกลอนน่าตกตะลึง แต่ด้านมารยาท ด้านพิธีชงชากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดูแล้วไม่มีกลิ่นอายกดดันเหมือนอย่างผู้มีความรู้ตามที่ลือกัน กลับเหมือนคนทึ่มทื่อ ไม่รู้จักอารมณ์ของหนุ่มสาว
ฮวาเสี่ยงหรงไม่มีใจดูถูกใดๆ ซ้ำยังรู้สึกว่าน่าสนใจเสียอีก ข้อมือยกขึ้นเล็กน้อย รินชาอีกจอกให้หลี่มู่ พร้อมพูด “ข้ายังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของคุณชายเลย”
หลี่มู่อ้าปากเกือบจะพูดออกไป
แต่คิดอีกที ครั้งนี้ตัวเองแค่มาเดินเล่นเปิดหูเปิดตาเท่านั้น ไม่ได้คิดอยากจะทำอะไรจริงจัง วาสนาได้พบกับหญิงงามเลิศทรงเสน่ห์แบบนี้คงจะมีเพียงครั้งเดียวเช่นกัน อัตราที่จะเกิดอะไรขึ้นคงไม่มาก ดังนั้นรู้ชื่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร
ดังนั้นเขาจึงยิ้มเอ่ย “เราสองล้วนระหกระเหินร่วมชะตา เมื่อมีวาสนาได้พานพบ ไยต้องสนว่ารู้จักกันหรือไม่…ข้าเป็นแค่คนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม วันนี้บังเอิญแต่งกวีได้ดี ถึงมีโชคได้พบหน้าแม่นางฮวา เจ้าและข้าต่างไม่ใช่คนโลกเดียวกัน ชื่อก็ไม่มีความหมายใดๆ แล้ว เป็นแค่คำเรียกเท่านั้น” ความหมายของหลี่มู่คือตัวเองมาจากดาวโลก ภายในยี่สิบปีจะต้องกลับไป ดังนั้นคนจากโลกต่างใบไม่มีทางคบค้ากันได้นานนัก
ฮวาเสี่ยงหรงอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้
ซินเอ๋อร์สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เงยหน้าขึ้น ใบหน้างดงามเล็กๆ นั่นก็แปลกใจมากเช่นกัน
แต่ว่า ดูเสื้อผ้าอาภรณ์ของหลี่มู่ให้ละเอียดแล้วก็เป็นผ้าธรรมดา ทั่วตัวไม่พกของประดับมีค่าใดๆ น่าจะไม่มีชาติกำเนิดสูงส่ง กระทั่งตระกูลร่ำรวยยังนับไม่ได้ คงเป็นแค่บัณฑิตจนๆ ผ่านทางมาเท่านั้น ดังนั้นซินเอ๋อร์รู้สึกว่าคำที่หลี่มู่ทอดถอนใจน่าจะรู้สึกว่าตัวเองต้อยต่ำ วันนี้ขึ้นมาข้างบนได้ก็แค่โชคดี ที่จริงไม่ได้มีฐานะและเงินทองทัดเทียมกับความสามารถ แน่นอนว่าอยู่โลกคนละใบกับคุณหนูของตน
น่าจะเป็นการรู้จักประมาณตัวเองอย่างหนึ่ง
ซินเอ๋อร์เห็นใจหลี่มู่อยู่หน่อยๆ
เพียงแต่ สาวใช้คนนี้ก็รู้สึกว่าหลี่มู่ฉลาดรู้จักตัวเองแบบนี้ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี
อย่างไรเสียคุณหนูของตนถึงแม้ช่วงนี้จะเจอกับเรื่องลำบาก ถูกบังคับให้เผยตัว แต่ก็น่าจะจัดการได้ ด้วยความสามารถ หน้าตา และชื่อเสียงของคุณหนู มีผู้มีเงินมีอำนาจไล่ตาม มีบุรุษรูปงามมากสามารถคอยเกี้ยวพาอีกไม่รู้ต่อเท่าไหร่ ที่ว่างเหลือให้เลือกมีมากมาย ไม่มีทางลดตัวลงมาเพื่อบัณฑิตไร้อำนาจไร้เงินทองเพียงเพราะ ‘กลอนสาวงาม’ จริงๆ หรอก ในเมื่อการดำรงชีวิตไม่ได้อาศัยความสามารถด้านกลอน บัณฑิตไส้แห้งคนนี้พยายามสุดชีวิตทั้งปี ก็ไม่แน่ว่าจะซื้อชาดสักตลับให้คุณหนูได้
แต่เดิมซินเอ๋อร์ยังกังวลว่าเมื่อหลี่มู่เข้ามาแล้วจะเอ่ยเรียกร้องอะไรเกินสมควร ทำให้เกิดความกระอักกระอ่วน ตอนนี้ดูท่าคงหลีกเลี่ยงได้แล้ว บัณฑิตคนนี้ฉลาดรู้จักประมาณตัวเองดีนี่
“เราสองล้วนระหกระเหินร่วมชะตา…” นัยน์ตาฮวาเสี่ยงหรงกลับฉายประกายวูบหนึ่ง นางสัมผัสกลอนบทนี้ให้ละเอียดอย่างอดไม่ได้
…………………….………………………………