จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 188 พบคนรู้จัก
“เอ่อ เร็วขนาดนี้เลย?” หลี่มู่โพล่งออกมา “ตื่นมาตอนเช้าไม่ต้องอาบน้ำหรือ? ข้าว่าทะเลสาบแห่งนี้น้ำใสเย็นฉ่ำ ทิวทัศน์งดงาม…”
สตรีชุดขาวกุมขมับของตนอย่างไร้คำพูด
“เณรน้อย เจ้าอยากดูข้าอาบน้ำ?” นางยื่นหน้ามาจนกือบจะแนบชิดหน้าของหลี่มู่ ดวงตาจับจ้องแววตาเขา ราวกับมองทะลุวิญญาณของเขาผ่านดวงตา
หลี่มู่ถอยหลังไปอย่างค่อนข้างลนลาน ใบหน้ามีรอยยิ้มบางที่ทั้งกระอักกระอ่วนและไร้มารยาท “เอ่อ อย่าเข้าใจผิดไป ข้าแค่เสนอข้อเสนอแนะที่จำเป็นภายใต้สถานการณ์จำเพาะก็เท่านั้น”
“หึ เณรน้อยลามก” สตรีชุดขาวหลุดหัวเราะออกมา “หกรากไม่สะอาด ไม่ช้าก็เร็วอาจารย์ของเจ้าต้องจับเจ้าลงโทษแน่”
หลี่มู่พูด “อมิตาพุทธ ท่านอาจารย์ภาคภูมิใจในตัวข้า ไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่”
“เอาละ ไม่ต่อคำกับเจ้าแล้ว” สตรีชุดขาวยิ้มพราย ถอยหลังไป สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อคืนวานเจ้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง หาปัญหาให้ตัวเอง รีบไปจากเมืองฉางอันเสียเถอะ พวกเรามีโอกาสไว้ค่อยพบกันใหม่”
พูดจบนางก็หมุนตัวจากไป ร่างกะพริบวูบกระโดดขึ้นสูง ดุจดั่งหงส์ขาวโบยบิน ท่วงท่างดงาม ก่อนหายไปท่ามกลางทิวเขาป่าไม้ไกลโพ้นอย่างรวดเร็ว
หลี่มู่อาลัยอาวรณ์ มองยังทิศทางที่สตรีชุดขาวหายลับไป
ไปเสียแล้ว?
จอมยุทธ์ช่วยสาวงามแล้ว ไม่ใช่ว่าสาวงามควรจะทอดกายตอบแทนหรอกหรือ?
หลี่มู่ลูบคาง
‘เวรเอ๊ย วิชาที่เราฝึกคือ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ เป็นวิชาที่สงบจิตใจได้ดีที่สุด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสาวงามผู้นี้ จิตใจกลับสั่นคลอนได้อย่างง่ายดายจากคำพูดและรอยยิ้มของนาง…นางปีศาจก็คือนางปีศาจสินะ’
ความสวย บางครั้งก็เป็นอาวุธสังหารที่ร้ายแรงยิ่งอย่างหนึ่ง
แต่ว่าในใจหลี่มู่รู้ดี เขาเจ้าชู้ไปตามปากนั้นได้ แต่ในความเป็นจริงตัวเองจะมีเยื่อใยกับสตรีแบบนี้ไม่ได้
ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกัน หลี่มู่ไม่อยากสิ้นเปลืองความคิดจิตใจกับโลกนี้ให้มากนัก และก็ไม่อยากพัวพันมากเกินไป เพราะเขาแบกรับภาระอันแสนหนักอึ้งเอาไว้ สตรีชุดขาวไม่เหมือนกับฮวาเสี่ยงหรง หากบอกว่าหลี่มู่อาจจะเลือกฮวาเสี่ยงหรง เช่นนั้นเขาก็ไม่มีทางเลือกสตรีชุดขาวแน่นอน
ถึงแม้จะหลงใหลในความงามล่มเมืองของอีกฝ่าย แต่ลึกๆ ในใจของหลี่มู่ก็รู้ชัดดีว่าตัวเองควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร
ดังนั้น นับตั้งแต่แรกจนถึงตอนสุดท้าย เขาจึงไม่ได้ถามชื่อของนางเลย
ชีวิตมนุษย์คล้ายจอกแหน การพบเจอโดยบังเอิญไม่กี่ครั้ง ไม่ได้หมายความว่ามีวาสนาต่อกันจริงๆ ยิ่งไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ
“สหายหลี่ของเราคนนี้ก็เป็นคนที่มีหลักการนะเนี่ย”
หลี่มู่หัวเราะ ก่อนจะกระโดดลงไปในทะเลสาบข้างๆ เสียงดังตูม น้ำทะเลสาบเยียบเย็นจู่โจมร่างกายของเขา ปกปิดและขยี้ดับความหวั่นไหวกลุ่มนั้นในใจ สุดท้ายก็หายไปโดยสิ้นเชิง
สุดท้ายหลี่มู่ก็ขึ้นฝั่ง ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย จากนั้นเดินลงจากเขาไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ลงเขาไปแล้วเดินอีกหลายลี้จนมาถึงถนนของเมืองฝั่งตะวันตก ผู้คนถึงค่อยๆ เยอะขึ้น
เมืองฉางอันแบ่งเป็นเขตตะวันออก ตะวันตก เหนือ ใต้ และกลาง รวมทั้งหมดห้าเขต หนึ่งในนั้นพื้นที่เขตกลางเล็กที่สุด แต่กลับเป็นเขตการปกครองของเมืองฉางอัน งานด้านการปกครองเล็กใหญ่ทั่วทั้งเมืองฉางอัน เรื่องใดที่ยกระดับเป็นระดับมณฑลล้วนแต่วางแผนตัดสินใจตามที่ว่าการน้อยใหญ่ต่างๆ ในเขตนี้ทั้งสิ้น
อีกสี่เขตใหญ่ที่เหลือพื้นที่ไม่ต่างกันมาก แต่แบ่งส่วนยากดีมีจน
ยกตัวอย่างเช่นเขตเมืองตะวันตก นับว่าเป็นเขตคนยากจนในเมืองฉางอัน
คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนมากเป็นประชากรระดับกลางไปถึงล่าง สิ่งก่อสร้างล้วนเก่าทรุดโทรม
และในเมืองเขตตะวันตกยังมีสุสานทหารที่มีชื่อมากที่สุดในเมืองฉางอันนามว่า ‘สุสานฉางอัน’ เป็นสุสานที่ฝังเหล่าทหารผู้สู้รบสละชีพเพื่อจักรวรรดิต้าฉินนับตั้งแต่ที่จักรพรรดิฉินกวงอู่ย้ายเมืองหลวงมา
หลี่มู่เดินไปตามถนนสายหลักของเขตเมืองตะวันตก เดินไปเรื่อยๆ โดยไร้จุดหมาย
เขาโคจรพลังจิตวิญญาณ ใช้เนตรสวรรค์สำรวจทุกสิ่งรอบๆ เพื่อฝึกฝนพลังของมัน และยังเป็นการขุดค้นความสามารถของเนตรสวรรค์ให้มากยิ่งขึ้นด้วย
เดินไปเดินมา ก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ กับสุสานฉางอันโดยไม่รู้ตัว
ในฐานะสุสานทหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฉางอัน ที่นี่จึงค่อนข้างเจริญ คนสัญจรไปมามากมาย ร้านหาบเร่แผงลอยริมถนนตั้งเรียงรายแน่นขนัด ส่วนมากก็ขายอาหารต่างๆ และพวกธูปเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง ของเซ่นไหว้สำหรับเวลาเข้าไปไหว้ในสุสานเป็นหลัก บางครั้งจะได้ยินเสียงร้องไห้เป็นระลอก นั่นคือเสียงของคนที่นึกถึงเรื่องเศร้าและเสียใจอย่างสุดซึ้งกำลังร้องไห้โฮเสียงดังหลังจากเข้ามาเซ่นไหว้คนในครอบครัวข้างในสุสาน
หลี่มู่เห็นแล้วในใจรู้สึกปลงอนิจจังยิ่งนัก
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นเหล่าแม่ม่ายที่ยังอายุน้อยๆ จูงลูกเล็กไร้เดียงสาเข้ามาในสุสานเพื่อเซ่นไหว้สามีผู้ลาจาก ภาพเช่นนั้นช่างทำให้คนเศร้าใจจริงๆ
“กระดูกขาวทับถมจมชายฝั่ง ยังเฝ้าฝันถวิลหาผู้เป็นสามี”
หลี่มู่ส่ายหน้า
เขาไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าใดนัก ดังนั้นเมื่อเดินมาถึงซุ้มประตูขนาดใหญ่ของ ‘สุสานฉางอัน’ ที่หน้าถนนหลักก็หยุดฝีเท้าลง
เขาเงยหน้ามองขึ้นไป ซุ้มประตูสลับเป็นชั้นๆ
ซุ้มประตูถนนสายหลักของสุสานฉางอันประกอบขึ้นจากซุ้มประตูยี่สิบกว่าชั้น ใหญ่โตโอ่อ่า ใช้ความสามารถของช่างฝีมือจนสุดฝีมือ แกะสลักเป็นมังกรพันหลัก ร้อยพันวิหค ยังมีเสาสัตว์แปลกหายากต่างๆ รูปจำลองศาสตราวุธและนักรบหลากหลายแบบ มีเพียงขุนศึกระดับผู้นำทัพเท่านั้นที่ตายแล้วถึงจะสร้างซุ้มประตูระดับนี้บนถนนหลักได้ พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ที่นี่ฝังร่างผู้มีคุณูปการระดับผู้บัญชาการยี่สิบกว่าคนของจักรวรรดิต้าฉินที่สู้พลีชีพเอาไว้
นักรบผ่านสงครามนับไม่ถ้วน บ้างพลีชีพ บ้างรบอยู่นานถึงได้ชัยชนะกลับมา
หลี่มู่เคารพนับถือผู้ที่หลับนิรันดร์อยู่ที่นี่อย่างยิ่งยวด
ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน อยู่ที่โลกใบไหน ทหารที่ฝ่าไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ท่ามกลางลมพายุ สละชีพเพื่อรักษาซึ่งความสงบสุข ล้วนควรค่าแก่การเคารพนับถือทั้งนั้น
ลังเลเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเดินตามถนนสายหลักไปถึงหน้าอนุสาวรีย์ทหารกล้าที่ประตูใหญ่ของสุสานทหาร ก่อนจะจุดธูปบูชา
บรรยากาศแบบนี้ ทำให้หลี่มู่คิดถึงอนุสาวรีย์วีรบุรุษบนดาวโลก
เขาเดินตามกระแสคนไปประมาณสองลี้ก็มาถึงประตูใหญ่ของสุสานทหาร
อนุสาวรีย์ทหารกล้าสูงใหญ่ราวเจ็ดจั้ง ราวกับกระบี่ยาวสีดำแทงขึ้นไปในท้องฟ้า ตั้งตระหง่านอย่างเงียบงัน หน้าฐานหินมีกระถางธูปหินขนาดใหญ่ที่แกะสลักทั้งใบตั้งอยู่สามใบ คนที่เดินทางมาเซ่นไหว้ก็วางของไหว้ จุดธูปเทียน เผากระดาษเงินกระดาษทองภายใต้การดูแลของทหารยาม
หลี่มู่ซื้อธูปสามดอกจากร้านหาบเร่ข้างทาง จุดธูป จากนั้นก็มายังหน้าอนุสาวรีย์ โค้งคำนับแล้วปักธูปไว้ในกระถางธูปใบยักษ์
ทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็หมุนตัวเตรียมจากไป
ในสุสานทหารไม่จำเป็นต้องเข้าไป
แต่ว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ที่ประตูทางเข้าสำหรับทหารด้านข้างก็มีเสียงร้องไห้อ้อนวอนพุ่งผ่านเสียงรบกวนอื่นๆ ดังขึ้นในหูของหลี่มู่
“ใต้เท้า ใต้เท้า ขอร้องท่านละ ให้ข้าได้เข้าไปดูลูกชายข้าเถอะ สี่ปีก่อนเขาถูกฝังอยู่ที่นี่ ฮือๆๆ…ข้ากับหลานสาวของข้าเดินทางมาจากตำบลสุขสงบที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ระหว่างทางโดนปล้น เงินติดตัวถูกชิงไปหมด…ข้าแก่แล้ว อาจจะมาดูลูกชายอีกไม่ได้อีก…”
คนแก่คนหนึ่งกำลังร้องไห้อย่างโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
เสียงนี้ค่อนข้างคุ้นหูสำหรับหลี่มู่
เขาหันไปมอง กลับเห็นว่าที่หน้าประตูสุสาน มีหญิงชราผมขาวโพลนหลังโค้งค่อมคุกเข่าอยู่บนพื้น พลางอ้อนวอนทหารที่เฝ้าประตูสุสานเหล่านั้นอย่างน่าเวทนา โขกศีรษะคำนับติดๆ กันจนเลือดไหลแล้ว
เป็นแม่เฒ่าไช่นี่เอง
ยายเฒ่าจิตใจดีที่ขายบะหมี่เจในตำบลสุขสงบคนนั้น
“ท่านอา ท่านอาผู้ใจดีทั้งหลาย ฮือๆ ให้พวกเราเข้าไปเถอะ ท่านแม่ของไช่ไช่ไม่อยู่แล้ว ท่านพ่อนอนอยู่ในนี้มาสี่ปี ไช่ไช่อยากเข้าไปดูท่านพ่อ ข้างในจะต้องหนาวมากแน่…ท่านพ่อต้องกลัวมากแน่นอน” ไช่ไช่หลานสาวของแม่เฒ่าไช่ก็อยู่ด้วย นางหน้าตามอมแมมผมเผ้ากระเซาะกระเซิง เสื้อผ้าขาดวิ่นจนแทบจะปกปิดร่างกายไม่ได้ กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นพลางขอร้องอย่างน่าเวทนา
“ไสหัวไปๆๆ ใต้เท้าของข้าสั่งเอาไว้ ใครก็ตามที่เข้าไปกราบไหว้ต้องจ่ายค่าเข้าห้าสิบอีแปะ ไม่มีเงินก็ไสหัวไปเสีย มาร้องห่มร้องไห้ เจ้าร้องไห้หน้าศพให้ข้ารึไง?” ทหารตัวใหญ่กำยำคนหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ยกเท้าขึ้นเตะแม่เฒ่าไช่จนล้มกลิ้งไปข้างๆ อย่างไร้ความปรานี
คนทั้งหลายรอบๆ เห็นภาพนี้ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์
ส่วนทหารยามเฝ้าประตูสิบกว่านายที่เหลือกลับหัวเราะอย่างมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น ประหนึ่งเห็นเรื่องตลกขำขันก็มิปาน
“ท่านย่า ท่านย่า…อย่าตีท่านย่าของข้า” ไช่ไช่น้อยพุ่งออกไปอย่างหวาดกลัวเหลือคณา ประคองแม่เฒ่าไช่ที่ล้มอยู่บนพื้นไว้ น้ำตาทั่วใบหน้าเปื้อนดินของนางแยกเป็นรอยสองสาย เทียบกับช่วงก่อนหน้านี้แล้ว หนูน้อยผอมลงไปมากทีเดียว
“ใต้เท้า ขอร้องท่านล่ะ ให้ข้าได้พบลูกชายข้าเป็นครั้งสุดท้ายเถิด…ลูกชายสามคนของข้าล้วนพลีชีพเพื่อต้าฉิน ลูกคนโตและคนรองไม่เหลือแม้กระดูก มีเพียงคนที่สามที่หาร่องรอยเจอว่าฝังอยู่ที่นี่” แม่เฒ่าไช่ลุกขึ้นมา คลานเข้าไปอ้อนวอนอีกอย่างน่าสังเวช “เมืองฉางอันห่างไกลเหลือเกิน ชั่วชีวิตข้าอาจจะมาอีกไม่ได้แล้ว ขอร้องท่านล่ะ ใต้เท้า ให้ข้าได้พบหน้าลูกคนที่สามเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ”
นางอ้อนวอนขอร้อง เสียงร้องไห้เศร้าโศก บีบคั้นจิตใจผู้คน
ใบหน้าเล็กที่ขาดสารอาหารของไช่ไช่เต็มไปด้วยคราบมอมแมม นางคุกเข่าข้างๆ ท่านย่าอย่างเรียบร้อย ร้องขออย่างน่าสงสาร
คนเดินเข้าออกรอบๆ เห็นภาพฉากนี้แล้วก็มุงกันเข้ามา หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ทหารเฝ้าประตูสิบกว่านายพวกนั้นว่าชั่วร้ายเหี้ยมโหดจริงๆ ทำเรื่องแบบนี้ลงได้ บุตรชายของหญิงชราสละชีพเพื่อบ้านเมือง นางกลับเข้าไปดูหน้าป้ายหลุมศพไม่ได้ แม้แต่เงินแบบนี้ยังจะขูดรีด ช่างทำบาปทำกรรมนัก
“ใช้ไม่ได้จริงๆ”
“ใช่แล้ว เงินแบบนี้ยังขูดรีดกันอัก ระวังลูกชายจะเกิดมาไม่มีรูทวาร”
“ญาติพี่น้องของพวกเราสละชีพเพื่อจักรวรรดิ หลับนิรันดร์อยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้คนพวกนี้มาขูดรีดพวกเราหรือ?”
คนที่เดินทางมาเซ่นไหว้ญาติพี่น้องหลายคนล้วนรู้สึกเช่นเดียวกัน พากันเอ่ยปากตำหนิอย่างอดไม่ได้
คนมากมายชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ ทหารสิบกว่าคนพวกนั้นต่างรู้สึกอับอาย
ชายตัวโตหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราที่เป็นหัวหน้าคนนั้น ใบหน้าฉายแววอับอายจนกลายเป็นโกรธ พูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมโหดว่า “หุบปาก นังเฒ่ามากเล่ห์สมควรตาย กล้ารวมตัวก่อเรื่องหน้าสุสานทหาร ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง ใครก็ได้ จับแขวนบนเสาแล้วตีมันเสีย!”
ทหารข้างหลังพุ่งขึ้นมาอย่างเหี้ยมโหดดุดัน
“อย่านะ ปล่อยท่านย่าๆ…ฮือๆๆ” ไช่ไช่น้อยลนลาน ดึงเสื้อของย่าเอาไว้แน่น นางที่หวาดกลัวไร้ที่พึ่งเหมือนลูกเป็ดซึ่งทั้งโลกทอดทิ้งกลางพายุฝน ย่าคือความหวังและสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงอย่างเดียวในชีวิตของนาง
หลี่มู่เห็นภาพฉากนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
แม่เฒ่าไช่สองย่าหลานในที่สุดก็มาถึงเมืองฉางอัน รู้ว่าลูกชายออกรบจนตัวตายแล้ว ตลอดทางมาก็ลำบากไม่น้อย กลับถูกขวางไว้ที่ด่านสุดท้ายหน้าสุสานทหาร…น่าสงสารประชาชนตาดำๆ ที่มีชีวิตยากลำบากนัก ไม่ว่าโลกใด ชีวิตของชนชั้นล่างมักจะทุกข์เข็ญคล้ายๆ กัน
เรื่องแบบนี้ เมื่อเขาได้เจอแล้วก็ไม่มีทางไม่สนใจแน่นอน
……………………………………