จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 192 โอกาสมาแล้ว
ไช่จือเจี๋ยขี่ม้ามาอย่างรวดเร็วจนมาถึงยังเบื้องหน้า เขาเห็นสภาพน่าเวทนาของอ๋องน้อยฉินก่อน สายตาก็เปลี่ยนไป ทว่าเมื่อเขาเห็นหลี่มู่ที่ใบหน้าฉายจิตสังหารยืนอยู่ข้างๆ หัวใจก็ยิ่งเต้นรุนแรง
ทำไมถึงเป็นเทพแห่งความตายองค์นี้เล่า
เขาตระหนักได้ว่าตัวเองเข้ามาพัวพันกับสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัวเข้าเสียแล้ว
ต่อให้เขาใช้กำลังทหารของกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันออกอย่างเต็มที่ก็ทำอะไรหลี่มู่ไม่ได้ พลังที่หลี่มู่สำแดงออกมาตอนศึกโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ช่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก โดยเฉพาะหมัดสุดท้ายที่สังหารผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานซึ่งฝึกฝนพลังฟ้าประทานออกมาได้ในเสี้ยวพริบตา นี่ราวกับเป็นเทพมารแล้วชัดๆ
ศึกนั้นทิ้งความทรงจำฝังลึกในใจของไช่จือเจี๋ย ทำให้เขาเกิดความยำเกรงหลี่มู่ไปโดยสัญชาตญาณ
ทว่าถอยตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
เขาบังคับม้าให้หยุด ในใจราวกับกินหนูตาย เดินเข้ามาไม่ถามอะไรฉินหลินเลยสักนิด แต่ประสานมือให้หลี่มู่แล้วเอ่ย “บังเอิญจริง ได้เจอกับใต้เท้าหลี่มู่ที่นี่…” ไช่จือเจี๋ยในใจก่นด่า
หลี่มู่มองเขา ไม่ได้พูดอะไร
ส่วนเจี่ยงปิ่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งใจสั่นสะท้าน ตอนนี้ถึงจะได้รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้โหดเหี้ยมอำมหิตคนนี้เป็นใครกันแน่
มารดามันเถอะ เป็นเทพแห่งความตายองค์นี้เอง
หากรู้แบบนี้ก่อน…
เขาเสียใจนักที่ตัวเองไม่ได้ไปดูศึกของสำนักยุทธ์กระบี่สวรรค์ศึกนั้น จึงมองไม่ออกในทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือ เซียนกวีหลี่มู่ ขั้นฟ้าประทานหนุ่มน้อยที่สร้างความฮือฮาทั่วเมืองฉางอัน คนที่ไม่รู้จักท่านผู้นี้ ตอนนี้ในเมืองฉางอันน่ากลัวว่าจะมีแค่ไม่กี่คนแล้วกระมัง?
หากรู้แต่แรกว่าเป็นหลี่มู่ เช่นนั้นเจี่ยงปิ่งไม่มีทางพูดแบบนั้นเด็ดขาด
คนที่รู้สึกแบบเดียวกันยังมีฉินหลินอีกคน
เขาก็เพิ่งจะตั้งตัวได้ในพริบตานี้เช่นกัน ว่าเด็กหนุ่มที่เหมือนคนบ้าผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร
ผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายกำลังรบขั้นฟ้าประทานที่อายุสิบห้า มิน่าเล่า วาจาจึงได้อวดดี ลงมือได้เหี้ยมโหดเช่นนี้
แต่เขากลับยิ่งโกรธเสียยิ่งกว่าโกรธ
หลี่มู่ก็แค่เหวินจิ้นซื่อตัวเล็กๆ เท่านั้น ขุนนางของจักรวรรดิ ตำแหน่งขุนนางที่ราชวงศ์แต่งตั้งขึ้น ขุนนางเมืองของอำเภอขาวพิสุทธิ์ หากดูจากลำดับขุนนางแล้วก็ตำแหน่งต่ำต้อยดั่งหนอน อยู่ต่อหน้าเขาที่มีตำแหน่งอ๋องน้อยกลับกล้าดูหมิ่นเขาเช่นนี้?
“บังเอิญหรือ? ใต้เท้าไช่ หากท่านมาขอร้องเพื่อเจ้าโง่นี่ เช่นนั้นก็อย่าเอ่ยเลยดีกว่า” หลี่มู่ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
สีหน้าของไช่จือเจี๋ยค่อนข้างย่ำแย่
หลี่มู่จะแข็งกร้าวเกินไปแล้ว
“ใต้เท้าหลี่ อ๋องน้อยฉินผู้นี้เป็นบุตรชายที่เจิ้นซีอ๋องแห่งจักรวรรดิโปรดปรานมากที่สุด ตำแหน่งสูงศักดิ์ หากเขาล่วงเกินอะไรใต้เท้าหลี่ ให้ลงโทษเล็กน้อยก็พอแล้ว ข้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อท่าน หากสุดท้ายเรื่องราววุ่นวายจนไม่อาจแก้ไขได้ เกรงว่าถึงตอนนั้นใต้เท้าหลี่จะรับผิดชอบไม่ไหว” ไช่จือเจี๋ยพูด
ในเมื่อเขามาแล้วก็ต้องพูด มิฉะนั้นถึงตอนนั้นเจิ้นซีอ๋องพิโรธกล่าวโทษขึ้นมา เขารับผิดชอบไม่ไหวหรอก
พูดจบ ไช่จือเจี๋ยก็เสริมอีกประโยคโดยมีความนัยลึกซึ้งว่า “ใต้เท้าหลี่พรสวรรค์เป็นเลิศ หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก ไม่ว่าเรื่องใดก็ควรพิจารณาให้รอบคอบแล้วจึงค่อยลงมือ ไยจึงต้องวู่วามรีบร้อนเช่นนี้เล่า”
นี่เป็นการบอกหลี่มู่เป็นนัยว่า เจ้ามีพรสวรรค์ขนาดนี้ วันหน้าจะต้องดียิ่งขึ้นไปอีก ต้องมีสักวันที่จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่สายยุทธ์ของจักรวรรดิได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นก็สามารถทำอะไรได้ดั่งใจต้องการ ทำไมต้องรีบร้อนสร้างศัตรูด้วย?
อัจฉริยะต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ก่อนหน้าที่ยังไม่เติบโตก็ล้วนอ่อนแอกันทั้งนั้น
หากตายไป เช่นนั้นก็เป็นแค่คนตายคนหนึ่งเท่านั้น
นี่นับว่าเป็นการคิดเพื่อหลี่มู่
ทว่าหลี่มู่กลับไม่คิดเช่นนั้น
ตอนนี้เขาปลดปล่อยออกมาโดยสิ้นเชิง
ความโกรธวันนี้จะต้องระบายออกมาให้ได้
หากวางมาดแค่ครึ่งทางก็รามือไป เช่นนั้นจะต่างอะไรกับคนโง่?
อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หากความโกรธในใจวันนี้ไม่ได้ระบายออกมา อารมณ์จะหงุดหงิดนัก
หากใช้คำพูดที่ยิ่งอวดดีมาบรรยายก็คือจิตใจว้าวุ่น
นอกจากนั้นวิชาที่เขาฝึกยังเป็นวิชาเซียน การทะลวงขั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว ทำไมต้องกลัวหัวหดด้วย ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ในที่ว่าการเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็สำเร็จระดับต้นแล้ว อย่างดีถึงตอนนั้นก็หดหัวอยู่ด้านใน จะมีใครฝ่าทำลายเข้ามาได้?
“ใต้เท้าไช่ ข้าเข้าใจที่ท่านพูด” หลี่มู่มองอีกฝ่ายพลางพูดอย่างจริงจัง
ไช่จือเจี๋ยก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรแล้ว
หลี่มู่ดื้อดึงนัก
เขารู้สึกปวดฟันขึ้นมา
“ใต้เท้าหลี่ พลังของอ๋องน้อยนั้นไม่น้อยเลย ต่อให้เป็นขั้นฟ้าประทานในเมืองฉางอันก็อาจจะอัญเชิญมาได้ ใต้เท้าหลี่ไยต้องเอาทองไปรู่กระเบื้อง?” ไช่จือเจี๋ยยังเอ่ยโน้มน้าวด้วยความหวังดี
หลี่มู่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ใต้เท้าไช่ ท่านกับข้ามีวาสนาได้พบกันครั้งหนึ่ง ข้าถึงได้พูดดีๆ กับท่าน วันนี้ข้าขอบอกเอาไว้ ไม่ว่าใครจะมาก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น นอกเสียจากเขาคนนั้นจะเอาชนะข้าได้ วันนี้ข้าจะจัดการคน พูดแบบนี้ท่านคงเข้าใจแล้วกระมัง?”
ไช่จือเจี๋ยยิ่งรู้สึกปวดฟันกว่าเดิม
เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อหลี่มู่โมโหขึ้นมาจะดื้อดึงถึงเพียงนี้
พูดจนถึงขนาดนี้แล้ว หากพูดต่อไป หลี่มู่น่าจะแตกหักกันไปข้าง
แต่ให้ลงมือหรือ
เขายิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่
“ถอยไป” ไช่จือเจี๋ยโบกมือ ถอยไปพร้อมกับทหารคนสนิทและทหารชั้นยอดของกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันออก ออกห่างจากอนุสาวรีย์ประมาณสามสิบจั้ง ไม่ได้ถอยไปหมด…ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเขาจากไป หลังจากนี้ก็ยากจะหลบหนีความผิดเช่นกัน
ขึ้นหลังเสือลงยาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ลูบหน้าปะจมูกแท้ๆ
แต่ว่า เขาไล่คนที่มุงดูอยู่รอบๆ ไปหมดแล้ว
ทำแบบนี้นับว่าเป็นการรักษาหน้าให้อ๋องน้อยฉินหลินสักหน่อยกระมัง
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งก้านธูป ขุนพลกองรักษาการณ์เมืองฝั่งใต้และเหนือไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกำลังทหารอย่างที่ฉินหลินวาดหวังไว้
ไช่จือเจี๋ยรู้ดี ไม่ต้องเดาเลยแม้แต่น้อย จิ้งจอกแก่สองตัวนั้นจะต้องได้รับข่าวระหว่างเดินทางมาแน่นอน และรู้ถึงความจริงที่เกิดขึ้นที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มา เพราะพวกเขารู้ดีว่ามาแล้วก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาล่วงเกินหลี่มู่ไม่ได้ มิสู้แกล้งทำเป็นไม่ได้รับข่าวยังเสียดีกว่า
หลี่มู่มองไปยังธูปดอกนั้นที่ปักอยู่บนพื้น ยังเหลืออยู่แค่หนึ่งในสี่ส่วนสุดท้าย
“ท่าทางมนุษย์สัมพันธ์ของเจ้าจะไม่ดีเท่าไหร่ เชิญคนมาไม่ได้เลย” หลี่มู่มองฉินหลิน
ฉินหลินใจคับแค้นกัดฟันกรอด แต่ปากกลับไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
ธูปที่ปักอยู่บนพื้นสั้นลงเรื่อยๆ
บรรยากาศตึงเครียดทีที่กระจายในอากาศอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนฉินหลินก็กลัวมากขึ้นทุกที
ใช่แล้ว ตอนนี้เขากลัวแล้วจริงๆ
เครื่องลายครามไม่กระทบกับกระเบื้อง วิญญูชนไม่อยู่ในที่อโคจร หากรู้ว่าหลี่มู่เป็นคนบ้าแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วละก็ หลี่มู่พูดอะไรเขาก็จะยอมทุกอย่าง
“มารดามันสิ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผู้เฒ่าโจวทำไมยังไม่มาอีก?”
ความหวังสุดท้ายของเขาคือขั้นฟ้าประทานที่บิดาส่งมาคอยปกป้องเขา แต่ว่าปกติแล้วขั้นฟ้าประทานผู้นี้เข้มงวดกับเขาเกินไป มักจะเกิดการขัดแย้งกันบ่อยๆ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจึงไม่ดีนัก ในสถานการณ์ปกติ ผู้เฒ่าโจวอาศัยอยู่อีกแห่งหนึ่ง
เขาส่งคนไปเชิญมาเรียบร้อย
ตามหลักแล้วตอนนี้ไพ่ตายผู้นี้ควรจะมาถึงแล้วสิ
ฉินหลินใจร้อนรุ่มดั่งไฟเผา
……
“ผู้เฒ่าโจว รีบลงมือเถิด มิเช่นนั้นอ๋องน้อยจะตกอยู่ในอันตราย”
บนโรงเตี๊ยมชั้นสองแห่งหนึ่งที่ห่างจากอนุสาวรีย์ไปประมาณสองลี้ คนสนิทที่ถูกส่งออกมาก่อนหน้านี้กล่าวเร่งผู้อาวุโสในชุดคลุมยาวสีดำเบื้องหน้าอย่างร้อนใจ
ผู้อาวุโสชุดดำอายุราวหกสิบกว่าๆ หน้าตาธรรมดา ไว้เคราแพะ ใบหน้าอิ่มเอิบ สองมือไพล่หลังไว้ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่รีบ ไม่รีบ ดัดนิสัยของอ๋องน้อยเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
เขามาถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้ครึ่งก้านธูปกว่าๆ แล้ว ถึงก่อนหน้าเจี่ยงปิ่งขุนพลกองรักษาการณ์เสียอีก
แต่ไม่ว่าคนสนิทคนนี้จะเร่งอย่างไร ชายชราชุดดำก็สงบนิ่งเฉย ไม่เลือกลงมือ
เจิ้นซีอ๋องให้ความสำคัญอ๋องน้อยผู้นี้นัก อย่างไรเขาก็มีพรสวรรค์ด้านการยุทธ์ที่ไม่เลว แต่นิสัยระห่ำเกินไป ในสันดานเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ทำให้เจิ้นซีอ๋องปวดหัวนัก ดังนั้นจึงส่งฉินหลินมาที่กรมทหารเมืองฉางอัน ให้ปกป้องสุสาน หวังว่าจะใช้โอกาสนี้ขัดเกลานิสัยของบุตรชายคนเล็กสักหน่อย เพื่อให้เขาสุขุมขึ้นอีกนิด ถึงอย่างไรสุสานทหารก็เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของจักรวรรดิ
แต่หลังจากที่ฉินหลินมาถึงเมืองฉางอันก็ยังคงทำตามอำเภอใจ ยิ่งบ้าคลั่งอวดดี ทำเรื่องให้ฟ้าพิโรธคนเคียดแค้นต่างๆนานาที่สุสาน อีกทั้งเพราะฐานะสูงส่ง ในเมืองฉางอันจึงไม่มีใครไปควบคุมดูแลอย่างจริงจัง
ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานโจวอันได้รับมอบหมายให้เป็นคนดูแล เขาเคยเอ่ยเตือนหลายต่อหลายครั้งกลับทำให้ฉินหลินไม่พอใจ หลังจากที่ทั้งสองปะทะคารมกันหลายครั้ง สุดท้ายโจวอันก็เลิกสนใจไป
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเรื่องที่โจวอันยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็น
มีคนก้าวออกมาสั่งสอนท่านอ๋องน้อยที่บ้าคลั่งอวดดีคนนี้ นับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
ดังนั้นหากไม่ถึงช่วงเวลาสุดท้าย โจวอันก็ไม่รีบร้อนลงมือ
สำหรับหลี่มู่ที่สั่งสอนโจวอัน…
โจวอันมองร่างของหลี่มู่อยู่ไกลๆ มุมปากปรากฏรอยยิ้มดูถูกเหยียดหยาม
หลายวันมานี้ เรื่องเซียนกวีหรือขั้นฟ้าประทานหนุ่มที่พูดกันไปต่างๆ นาน เขาอยู่ในเมืองฉางอันก็ได้ฟังแล้วไม่รู้กี่รอบ แต่ว่าสำหรับเขานี่เป็นเรื่องตลกชัดๆ พลังฝึกขั้นฟ้าประทาน มีคนไหนบ้างที่ไม่ได้มุมานะ อดทน ฝึกฝนออกมาอย่างยากลำบาก ต่อให้เป็นอัจฉริยะสักแค่ไหน จะก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานด้วยอายุเพียงสิบห้าปีจริงๆ ได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
บนแผ่นดินใหญ่เสินโจวตอนนี้ เหล่าบุคคลชื่อเสียงโด่งดังที่อยู่บนจุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์อย่างเจ้าสำนักเทพทั้งเก้า อายุสิบห้าก็ไม่ได้เข้าสู่ขั้นฟ้าประทาน แล้วเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าจะทำได้อย่างไร
ในมุมมองของโจวอัน ศึกที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์อาศัยพลังโอสถฝืนทะลวงขั้นฟ้าประทาน ผลลัพธ์คือขอบเขตพลังไม่สมบูรณ์ หลงเหลืออาการแสดงในภายหลัง ทำให้ในช่วงเวลาสำคัญเกิดธาตุไฟเข้าแทรก ดังนั้นถึงได้สู้แพ้จนตาย เพียงแต่คนดูโง่เง่าพวกนั้นดูไม่รู้เรื่อง ถึงสร้างชื่อเสียงให้กับหลี่มู่เช่นนี้
สำหรับเขาแล้ว พลังที่แท้จริงของหลี่มู่อย่างมากก็แค่ขั้นยอดปรมาจารย์เท่านั้น ยังห่างจากขั้นฟ้าประทานแท้จริงอีกไกลโข
ยามไร้ซึ่งวีรบุรุษ พวกเกะกะระรานมีชื่อเสียง
นี่คือคำวิจารณ์ที่โจวอันมีให้หลี่มู่
เขาก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานมาหลายปี ฝึกฝนอย่างยากลำบากถึงนับว่าทำขอบเขตพลังให้มั่นคงได้ แต่กลับไม่มีชื่อเสียงและฐานะตำแหน่งเหมือนเช่นหลี่มู่ทุกวันนี้ นี่ไม่ยุติธรรมเลย
หลายวันมานี้เขาอยากจะให้บทเรียนกับขั้นฟ้าประทานหนุ่มน้อยที่ว่านี่อยู่ตลอด ในสายตาของเขา หลี่มู่คือหินปูทางที่สมบูรณ์แบบสุดยอด หากเหยียบหินปูทางก้อนนี้ไปจะสำเร็จมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่เขากลุ้มใจว่าไม่มีข้ออ้างและโอกาสที่เหมาะสม จึงขาดเหตุผลชอบธรรมมาโดยตลอด
และตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว
……………………………………