จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 193 มีชีวิตอยู่ไม่ดีหรือ
นี่เป็นโอกาสที่เยี่ยมยอดนัก
โจวอันยืนอยู่ที่หน้าต่างของโรงเตี๊ยม มองไปยังธูปที่ใกล้จะไหม้หมดสิ้นข้างล่างอนุสาวรีย์ซึ่งอยู่ไกลๆ มุมปากยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว
สวรรค์ช่วยข้าจริงๆ!
โจวอันแทบจะสะกดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
เขาเหมือนเห็นภาพท่านอ๋องน้อยซาบซึ้งใจตนหลังจากที่สังหารหลี่มู่ไปแล้ว เห็นภาพที่ทั่วทั้งเมืองฉางอันต่างสรรเสริญชื่อเสียงของเขา เห็นภาพที่ชื่อเสียงของตนลือเลื่องไปทั่วจักรววรดิ…นั่นจะเป็นภาพที่งดงามเสียเหลือเกิน
“หึๆ ฮ่าๆๆ…” โจวอันหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
“มีเรื่องอะไรถึงได้หัวเราะอย่างมีความสุขขนาดนั้น?” เสียงดังฉับพลันมาจากทางด้านหลัง
โจวอันตกใจ หันหน้ากลับมา
ครั้นมองไป แววตาของเขาก็ยิ่งตื่นตะลึง ทั้งตัวราวกับกลายเป็นก้อนหินไปแล้ว
“เจ้า…ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ นั่น…” เพราะเขาเห็นว่าหลี่มู่ที่แต่เดิมยังอยู่ข้างล่างอนุสาวรีย์ในเสี้ยวขณะก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่ามาปรากฏอยู่ตัวอยู่ข้างโต๊ะด้านหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกทั้งกำลังดื่มชา มองเขาด้วยใบหน้าหยอกล้อ
โจวอันนึกว่าตัวเองตาลายจริงๆ จึงหันกลับไปมองทางอนุสาวรีย์โดยไม่รู้ตัว
หลี่มู่ไม่อยู่ที่นั่นแล้วจริงๆ
“แปลกใจหรือ?” หลี่มู่วางถ้วยชาลง พูดเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ขั้นฟ้าประทาน? เจ้าก็คือที่พึ่งสุดท้ายของหมาบ้าตัวนั้นกระมัง หึๆ มาตั้งนานขนาดนี้แต่นิ่งดูดายหลบอยู่บนโรงเตี๊ยมตลอด ข้าควรบอกว่าเจ้ามีความอดทนดี หรือควรจะชมว่าความคิดลึกซึ้งดี หืม?”
สีหน้าของโจวอันเคร่งเครียด
เขาเพิ่งได้รู้ว่าตัวเองโดนเจอตัวตั้งนานแล้ว
“เจ้าพบข้าได้อย่างไร?” โจวอันโคจรกลิ่นอายกำลังภายใน กระตุ้นพลังลอบระวังป้องกัน
หลี่มู่ไม่ตอบ บอกว่า “พลังฝึกขั้นฟ้าประทานนั้นก็ไม่ง่าย เจ้าไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เถอะ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
โจวอันหัวเราะหยามหยัน “ฆ่าข้า? ฮะๆ ฮะฮ่าๆๆๆ!” เขาเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วพลันหยุดลง พูดขึ้นด้วยสีหน้าเหี้ยมโหดว่า “อาศัยคนรุ่นหลังปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นเจ้าน่ะหรือ วันนี้ข้าจะใช้หัวของเจ้ามาช่วยให้ข้ามีชื่อเสียงโด่งดัง ให้เจ้ารู้ว่ามีคนบางคนที่เจ้าไม่ควรมีเรื่องด้วย และเรื่องบางเรื่องเจ้าก็ไม่ควรออกหน้า…อัจฉริยะที่ว่ากันก็แค่หินปูทางของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงเท่านั้น”
หลี่มู่ส่ายหน้า “มีชีวิตอยู่ไม่ดีหรือ?”
การใช้งานเนตรสวรรค์ของเขามาถึงขั้นชำนาญในระดับหนึ่งแล้ว
เวลาก้านธูปสามในสี่ก่อนหน้านี้ เขาเบิกเนตรสวรรค์กวาดมองไป ก็เจอตำแหน่งที่อยู่และระดับพลังของผู้แข็งแกร่งที่อยู่รอบๆ ในระยะหลายลี้ โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานเช่นโจวอัน คลื่นพลังงานแข็งแกร่งยิ่งนัก แน่นอนว่าหลี่มู่เจอตั้งนานแล้ว อีกทั้งหลี่มู่ยังสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเป็นกลุ่มเป็นสายจากร่างของโจวอันอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าคือไพ่ตายและพรรคพวกของฉินหลิน
“ฮ่าๆ เห็นพูดกันว่าเจ้าบ้าระห่ำ ไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรอยู่จริงเสียด้วย” รัศมีอำนาจของโจวอันเพิ่มขึ้นไม่หยุดจากการโคจรกำลังภายใน แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง “อย่าคิดว่าเจ้าโชคดีเอาชนะธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ขั้นฟ้าประทานจอมปลอมได้ แล้วจะต่อกรกับขั้นฟ้าประทานได้ วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ ขั้นฟ้าประทานที่แท้จริงมีพลังอย่างเทพมารเช่นไร”
“ไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรอยู่” หลี่มู่มองเขาด้วยสายตาเวทนา หัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ขั้นฟ้าประทานจอมปลอม? เกรงว่าเจ้าคงเข้าใจผิดแล้ว สำหรับข้าพลังแท้จริงของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ตอนนั้นแข็งแกร่งกว่าเจ้าเยอะ เจ้าฝืนทนไม่ได้แม้สิบกระบวนท่า”
หลี่มู่มองจุดแข็งจุดอ่อนของโจวอันทะลุปรุโปร่งผ่านเนตรสวรรค์ได้นานแล้ว
โจวอันคนนี้ต่างหากถึงจะเป็นขั้นฟ้าประทานจอมปลอมที่แท้จริง กำลังภายในยังเปลี่ยนเป็นปราณแท้ได้ไม่หมด แม้แต่พลังฟ้าประทานเสี้ยวหนึ่งก็ยังฝึกฝนออกมาไม่ได้ ห่างจากธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์อยู่อีกชั้นหนึ่ง แต่สุดท้ายเจ้านี่กลับดูถูกธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ พูดจาอวดดี…มั่นใจจนแทบจะใกล้เคียงกับโง่เขลา
“ฮ่าๆ ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์แข็งแกร่งกว่าข้า? เหลวไหล วันนี้เจ้าจงตายในเงื้อมมือข้า กลายเป็นหินปูทางของข้าเสีย” โจวอันหัวเราะบ้าคลั่ง จากนั้นก็ลงมือ
วิชาหลักที่เขาฝึกฝนคือกำลังภายในธาตุลม ภายใต้ระลอกคลื่นปราณแท้ ความเร็วของเขาราวภูตผี พุ่งเข้าไปสังหารหลี่มู่ ระยะห่างของทั้งสองห่างกันแค่หนึ่งจั้งกว่าเท่านั้น แทบจะเพียงชั่วเวลาสายฟ้ากะพริบ กระบี่ฝ่ามือก็จ่อมาที่หน้าผากของหลี่มู่แล้ว
เร็ว!
เร็วสุดขีด
ทว่าหลี่มู่เร็วยิ่งกว่าเขา
“คนไม่คิดทำร้ายเสือ แต่เสือกลับคิดทำร้ายคน…”
ร่างของหลี่มู่เลือนรางอย่างแปลกประหลาด ราวกับเสี้ยวเงาหายไปจากที่ตรงนั้น
“ถึงยามอู่แล้ว…เป็นเจ้าที่รนหาที่เอง” หลี่มู่ไม่ปรานีอีกต่อไป
“อะไร?” โจวอันตกใจสุดขีด
……
ตุบ!
ศีรษะคนโชกเลือดถูกโยนมาตกข้างหน้าฉินหลิน
“โทษที ยั้งมือไม่อยู่ ฆ่าตายเสียแล้ว ดังนั้น…ตัวช่วยของเจ้า ทั้งตัวน่าจะเหลือแค่ส่วนหัวส่วนสุดท้าย” ท่าทางของหลี่มู่จริงใจนัก เหมือนกับพูดอย่างขอโทษขอโพยจริงๆ
สายตาของฉินหลินแข็งค้าง
ร่างของเขาสั่นสะท้านรุนแรง
เพราะหวาดกลัว
เพราะเขาจำได้ นั่นคือศีรษะของโจวอัน
ไพ่ตายใบใหญ่ที่สุดของเขา พลังแข็งแกร่งที่สุดที่ตนใช้ได้ในเมืองฉางอัน และก็เป็นที่พึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในหนึ่งปีกว่ามานี้ โจวอันขั้นฟ้าประทาน จากผู้แข็งแกร่งซึ่งมีอิทธิพลในเมืองฉางอันกลายเป็นศพเย็นชืดเหลือแต่ศีรษะภายในเวลาหนึ่งถ้วยชาที่หลี่มู่จากไปแล้วกลับมา
ฉินหลินเห็นความหวาดกลัวและเหลือเชื่อที่ค้างอยู่บนใบหน้าของโจวอันได้อย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดยิ่งว่า เสี้ยวขณะก่อนตายเขาเจอกับเรื่องน่ากลัวที่สุดอันเหนือความคาดหมาย
โจวอันตายแล้ว
ความดื้อดึงและความโอหังที่ว่าในใจของฉินหลินสลายหายไปในชั่วพริบตานี้
เขาลืมความเจ็บปวดของกระดูกที่หัก ฟันกระทบกันกึกๆ ในที่สุดก็ยอมแพ้อ้อนวอนว่า “ข้าผิดไปแล้ว อย่าฆ่าข้าเลย ข้ายอมแล้ว…” เขาอ้อนวอนอย่างยากลำบาก หัวใจถูกความกลัวท่วมจนมิด
“หากการอ้อนวอนมีประโยชน์ เช่นนั้นก่อนหน้านี้ที่แม่เฒ่าไช่ขอร้องอ้อนวอนเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่มีใจเมตตาเล่า?” หลี่มู่เอ่ย
“ข้าคือบุตรผู้สืบทอดแห่งจวนเจิ้นซีอ๋อง ท่านพ่อรักข้ามากที่สุด หากฆ่าข้าจะต้องนำเรื่องเดือดร้อนครั้งใหญ่มาให้เจ้าแน่ ท่านพ่อของข้ามีความสัมพันธ์กับทั้งสำนักตรวจการแล้วก็ทุ่งปิดภูผา…” ฉินหลินสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ร้องอ้อนวอนพลางแบที่พึ่งและไพ่ตายที่ตนมีทั้งหมดออกมา “ใต้อำนาจของท่านพ่อข้ายังมีผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานอีกสิบคน พวกเขา…”
ฉัวะ!
แสงดาบฉายวาบ
ศีรษะของฉินหลินร่วงลงพื้น
“เช่นนั้นก็ให้พวกเขามาหาข้าแล้วกัน” ในมือของหลี่มู่ถือดาบคมที่เอามาจากข้างเอวเจี่ยงปิ่ง เลือดไหลหยดที่ปลายดาบ
“เจ้า…กล้า…สังหารข้า…จริงๆ? เจ้า…” ศีรษะที่ร่วงลงพื้นจ้องหลี่มู่เขม็ง ใบหน้าบิดเบี้ยว สุดท้ายก็ขาดใจ
“ฆ่าเพื่อปกป้อง เจ้าตายไปแล้ว ผู้บริสุทธิ์มากมายน่าจะอยู่สบายขึ้น” หลี่มู่ไม่เสียใจแม้แต่น้อย ดูจากเรื่องที่ฉินหลินทำแค่ในช่วงครึ่งชั่วยามนี้ เขาก็สมควรตายแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยคนวิปลาสเช่นนี้ไป
ส่วนเจี่ยงปิ่งขุนพลกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันตกนั้นตกใจจนฉี่ราดไปแล้ว
สวรรค์ นั่นท่านอ๋องน้อยเชียวนะ บอกว่าฆ่าก็ฆ่ากันเลย
นี่มันโทษมหันต์เลยนะ
“เจ้า…เจ้าๆๆ…” เขามองหลี่มู่ ร้อนรนจนไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอะไร เพราะดาบที่หลี่มู่สังหารฉินหลินเป็นดาบของเขา หลี่มู่ชักมันออกมาจากเอวเขา หากสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาเขาก็จะถูกลากเข้าไปด้วยน่ะสิ
“เจ้าก็ไปเป็นเพื่อนท่านอ๋องน้อยของเจ้าแล้วกัน”
หลี่มู่ยกมือตวัดดาบอย่างไม่ลังเล ตัดศีรษะของเจี่ยงปิ่งลงในทันที
ขุนพลกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันตกคนนี้ตะเภาเดียวกับฉินหลิน ฉินหลินก่อกรรมทำชั่วที่สุสานฉางอัน หากบอกว่าเจี่ยงปิ่งไม่รู้แม้แต่น้อยจะเป็นไปได้อย่างไร ดูจากท่าทางที่แทบจะคุกเข่าเลียฉินหลินอยู่รอมร่อ เจี่ยงปิ่งไม่ใช่แค่ไม่รู้ แต่ยังเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดอันดับหนึ่งของฉินหลินด้วย
หากจะฆ่าก็ไม่ต้องยั้งมือ
หัวสองหัวเซ่นบูชาอยู่ตรงหน้าอนุสาวรีย์
“ใต้เท้าไช่จะรั้งข้าไว้?” หลี่มู่มองไปยังไช่จือเจี๋ย
“มิกล้า มิกล้า ใต้เท้าหลี่…เชิญตามสบาย” ไช่จือเจี๋ยตอนนี้เหงื่อแตกพลั่ก สีหน้าที่แกล้งแสดงว่าสุขุมบิดเบี้ยว ยากที่จะเก็บอาการหวาดกลัวไว้
พูดตามตรง จิตและรังสีสังหารมหาศาลของหลี่มู่ทำเอาเขาสะดุ้งตกใจ
กล้าฆ่าจริงๆ ด้วย
ศีรษะทั้งสองที่วางอยู่หน้าอนุสาวรีย์ ศีรษะหนึ่งคืออ๋องน้อยของเจิ้นซีอ๋องแห่งจักรวรรดิฉิน อีกหนึ่งคือขุนพลกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันตก หนึ่งในห้าหัวหอกที่อยู่ภายใต้อำนาจเจ้าเมืองหลี่กังแห่งฉางอัน ไม่ว่าคนไหนก็ล้วนเป็นผู้ที่แค่กระทืบเท้าก็ทำให้เมืองฉางอันสั่นไหว แต่ตอนนี้กลายเป็นเครื่องเซ่นสังเวยไปแล้ว
หลี่มู่พยักหน้า ยามคิดจะไปก็นึกอะไรขึ้นได้อีก “การสังหารเจ้าสองคนนี้ในวันนี้ ข้าเป็นคนลงมือแต่ผู้เดียว รายงานที่เจ้าจะส่งขึ้นไปอย่าได้ดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วย เข้าใจหรือไม่?”
ไช่จือเจี๋ยใบหน้าขมขื่น ตอบว่า “เข้าใจขอรับๆ”
ในตอนนี้ หัวหน้าทหารคนสนิทที่เคยไม่พอใจและคัดค้านยามไช่จือเจี๋ยสำรวมต่อหลี่มู่เมื่อครั้งเด็กหนุ่มสังหารอาจารย์ของสองสำนักบัณฑิตก็เชื่องไปเลย ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง ก้มหน้าไม่กล้ามองหลี่มู่แม้แต่แวบเดียว เขาเพิ่งรู้สึกว่าที่หอสดับเซียนคืนนั้น การที่ไช่จือเจี๋ยแสดงท่าทีนอบน้อมต่อหน้าหลี่มู่นั้นจำเป็นเพียงใด มิฉะนั้นเกรงว่าวันนี้พวกเขาคงเจอหายนะไปแล้ว
หลี่มู่หมุนตัวเดินเข้าไปในสุสาน
“ภายในหนึ่งชั่วยาม อย่าให้ใครเข้ามา”
เสียงของหลี่มู่ดังออกมาจากในประตูสุสาน
ไช่จือเจี๋ยไม่กล้าชักช้า สั่งให้คนคุ้มกันรอบๆ จากนั้นก็แบ่งกำลังทหารออกไปเตือนผู้คนที่มุงดูรอบๆ แต่ละคนก่อนหน้านี้ว่าอย่าได้พูดเหลวไหล อย่าได้แพร่งพรายเรื่องในคืนนี้ออกไป และยังเรียกทหารใต้บัญชาการของเจี่ยงปิ่งมาทั้งหมด กำชับทีละคน สั่งให้มีท่าทีเป็นไปในแบบเดียวกัน
เขาไม่ได้ทำเพื่อแก้ต่างให้หลี่มู่แต่อย่างใด
แต่เขาไม่อยากกลายเป็นศัตรูของหลี่มู่ในภายหลังด้วยเรื่องเล็กน้อยพวกนี้
หลี่มู่ที่มีใจคิดสังหารขึ้นมา ฟ้าไม่กลัว ดินก็ไม่กลัว เป็นเทพแห่งความตายจริงๆ คนแบบนี้อย่าให้อีกฝ่ายนึกถึงจึงจะดี
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ในวันนี้ ไม่ต้องให้เขาไปรายงานก็เชื่อว่าไม่นานนักคงไปถึงหูของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่แต่ละฝ่าย
หลี่มู่จะรับความพิโรธของเจิ้นซีอ๋องบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิได้อย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่ไช่จือเจี๋ยต้องไปคิดพิจารณาด้วย
สิ่งที่เขาทำได้ก็ทำหมดแล้ว
ทำได้แค่นี้เท่านั้น
………………………………