จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 216 ดาบอยู่ในมือ ครอบครองใต้หล้า
“มีเอกลักษณ์” องค์ชายสองฟังคำจากหลิวเฉิงหลงจบ บนใบหน้างดงามสง่าก็เผยรอยยิ้มบางๆ ไม่ได้โมโหเลย
ต่อให้เป็นคนมีอำนาจและน่าเกรงขามเพียงใด ยามที่เขาจู่ๆ เกิดความสนใจในคนหรือของสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาจริงๆ ความอดทนจะสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลิวเฉิงหลงทำหน้ากระสับกระส่าย
หน่วยเลี้ยงรับรองเล็กๆ เขายังไม่อาจควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ จะติดตามทำการใหญ่อยู่ข้างกายองค์ชายสองได้อย่างไร?
“รอให้การแข่งขันคืนนี้เสร็จสิ้นลง ข้าจะไปรับนางด้วยตัวเอง” องค์ชายสองกล่าว “เอาละ เฉิงหลง เรื่องเล็กเรื่องนี้เจ้าไม่ต้องใส่ใจ…เจ้าไปเตรียมการเรื่องนั้นเถอะ ล่อเสือออกจากถ้ำดีที่สุด จะได้จัดการฝ่ายตรงข้ามเสียให้หมด จับคนคนนั้นให้ได้ถึงจะเป็นเป้าหมายสูงสุดในการมาเมืองฉางอันของข้า”
หลิวเฉิงหลงสีหน้าเคร่งเครียด “กระหม่อมทราบแล้ว องค์ชายโปรดวางใจ”
พูดจบเขาก็หมุนกายจากไป
ครั้นเดินออกไปจากห้อง หลิวเฉิงหลงถึงได้โล่งอก
เขารีบเดินออกไปจากหอโอบจันทร์ แต่เมื่อเดินผ่านห้องส่วนตัวชั้นยอดอีกห้องบนชั้นสอง ก็พลันได้ยินเสียงแปลกๆ ดังออกมา สำเนียงประหลาด เป็นภาษาที่ไม่คุ้นหู ไม่ใช่ภาษาของคนฉิน แต่เป็นภาษาหมานของเผ่าหมานจากที่ราบทุ่งหญ้า
ที่นี่ทำไมถึงมีพวกเผ่าหมานได้?
พอเขาคิดจะเดินไปสำรวจ
ในตอนนี้เอง ประตูห้องพลันเปิดออก ชายหนุ่มท่าทางเหมือนคุณชายตระกูลร่ำรวยในชุดแพรเดินออกมา
พริบตานี้ หลิวเฉิงหลงเห็นว่าในห้องยังมีชายหนุ่มอีกสามสี่คน สวมชุดผ้าไหมชั้นดี ประดับร่างกายด้วยของล้ำค่า ท่าทางเหมือนพวกเศรษฐีใหม่ป่าวประกาศว่าบ้านข้ารวย กำลังพูดอะไรบางอย่างด้วยใบหน้าตื่นเต้น ส่วนข้างชายหนุ่มเหล่านี้มีชายชาวที่ราบทุ่งหญ้าตัวล่ำกำยำอยู่สองคน แต่งตัวเหมือนทาสในบ้านของคนฉิน ก้มตัวคุกเข่า ดูท่าทางเหมือนทาส
เมื่อเห็นภาพนี้ หลิวเฉิงหลงก็วางใจทันที
ลูกหลานตระกูลร่ำรวยกำราบพวกเผ่าหมานที่ราบทุ่งหญ้ามาเป็นทาสหรือองครักษ์ เรื่องแบบนี้ไม่แปลก อีกทั้งวันนี้หลังจบการประกวดนางคณิกาอันดับหนึ่งก็จะมีประมูลทาสสาวที่ราบทุ่งหญ้า ลูกหลานตระกูลร่ำรวยมากมายต่างจ้องจะตะครุบประมูลกลับไปลิ้มรสสักสามสี่คน ดังนั้นจึงนำทาสที่ราบทุ่งหญ้ามาไว้ข้างกาย สามารถทำหน้าที่ล่ามได้
ที่แท้ก็เป็นพวกคุณชายไร้การศึกษานี่เอง
หลิวเฉิงหลงยิ้มเดินผ่านไป หันหลังเดินออกจากหอโอบจันทร์
และในเสี้ยวขณะที่เขาจากไป บรรยากาศในห้องส่วนตัวนั้นก็เปลี่ยนไปโดยพลัน
หนึ่งในคนทั้งสี่พลันหุบยิ้มบนใบหน้า ส่วนอีกสามคนก็ถอนหายใจโล่งอก ชายที่ราบทุ่งหญ้าทั้งสองเหยียดตัวตรง กลายเป็นนักรบที่ราบทุ่งหญ้าที่กล้าหาญองอาจ ยังเหลือท่าทางต่ำต้อยที่แกล้งแสดงเหมือนก่อนหน้านี้เสียที่ไหน
“ฟู่ น่าจะปิดได้แล้ว คนที่เดินผ่านไปเมื่อครู่คือหลิวเฉิงหลงหัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรอง หมารับใช้ตัวนั้นเจ้าเล่ห์เพทุบาย จะประมาทไม่ได้เลย” นัยน์ตาของชายหนุ่มที่ใบหน้าขาวสะอาดเครื่องหน้าอ่อนโยนฉายแววระมัดระวัง
“น่าจะปิดได้แล้ว” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ทั่วร่างประดับประดาด้วยหยก ทอง และของมีค่ายิ้มบางๆ พลางเอ่ย “ไม่เป็นไร พวกเรามาซื้อคน ไม่ได้ลงมือช่วงชิงสักหน่อย ไม่ต้องไปกังวลคนของหน่วยเลี้ยงรับรองให้มากนัก แต่ว่าต้องคิดให้ดีๆ หากล้มเหลวจะรับมือกับกองทหารรักษาการณ์ในเมืองอย่างไร”
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ของนายน้อยกัวมาก” ชายหนุ่มเครื่องหน้าอ่อนโยนเอ่ย
เขาย่อมเป็นกุนซือของเหล่าชายที่ราบทุ่งหญ้าที่แฝงตัวเข้ามาในเมืองฉางอันเพื่อช่วยธิดาเทพและคนอื่นๆ
ส่วนชายหนุ่มที่ใส่หยกทองของมีค่าเต็มตัว ก็คือนายน้อยของสมาพันธ์การค้าอันดับหนึ่งของแผ่นดินใหญ่เสินโจว สาขาย่อยฉินตะวันตก ชื่อว่ากัวจื้อฮุย แต่งตัวเหมือนพวกเศรษฐีใหม่ คล้ายกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเขามีเงิน หน้าตาธรรมดา ใบหน้ากลมป้อมชวนให้คนรู้สึกเป็นมิตรและอ่อนโยน รูปลักษณ์ทั้งตัวเป็นประเภทที่โยนเข้าไปในฝูงชนก็หาไม่เจอ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ใหญ่และสุกสว่างราวกับบ่อน้ำลึกมืดดำ
คนที่ให้รางวัลฮวาเสี่ยงหรงทีเดียวหนึ่งแสนตะกร้าเมื่อครู่ก็คือเขา
“เกรงใจอะไร ข้าคือเซียนแห่งหมู่มาลี จะทนเห็นสาวสวยพวกนั้นตกเป็นของเล่นของผู้อื่นได้อย่างไร?” กัวจื้อฮุยพโบกพัดจีบเก้าโครงลงทองในมือ พูดพลางโคลงหัวไปด้วย “ข้าตั้งมั่นเอาไว้ว่าจะปกป้องหมู่มวลมาลีชั่วชีวิต ไม่ให้เซียนหญิงตัวน้อยแปดเปื้อนธุลี ฮ่าๆๆ!”
กุนซือชาวที่ราบทุ่งหญ้าหัวเราะเฝื่อนๆ อับจนคำพูด
นายน้อยคนนี้ใจกว้าง ใช้เงินเหมือนเบี้ย มีคุณธรรม แต่สมองไม่ค่อยจะปกตินัก พูดจาทุกครั้งล้วนมีคำพูดให้ตกใจ ชอบไล่ตามสาวงามโดยเฉพาะ ถูกขนานนามว่าเจ้าชู้แต่ไม่บ้ากาม เขาเป็นเซียนท่ามกลางหมู่มาลี เป็นอัจฉริยะประหลาด พอเห็นสาวงามก็ก้าวขาไม่ออก
“อีกเดี๋ยวงานประมูลเริ่มขึ้นก็ต้องพึ่งนายน้อยแล้ว ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเมื่อแม่ทัพของข้ากลับไปที่ราบทุ่งหญ้าแล้วจะหาวิธีชดใช้แน่นอน” กุนซือจากที่ราบทุ่งหญ้าประสานมือพลางเอ่ย
กัวจื้อฮุยหัวเราะลั่น “สหายฟางโปรดวางใจ จะพยายามสุดกำลังแน่นอน”
……
ห้องส่วนตัว หอเซียนโบยบิน
หลี่มู่ลืมตาขึ้นช้าๆ
ก่อนหน้านี้ยามดูการร่ายรำ หลี่มู่ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสฝึกฝนครั้งนี้ผ่านไป ฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำอย่างเข้าถึงอารมณ์ ใต้แสงจันทร์ ท่วงทำนองแห่งเต๋าของกายเต๋าแห่งแสงแผ่ระลอก ทำให้ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ในร่างหลี่มู่กระตุ้นและโคจรขึ้นเอง ก่อนเข้าสู่สภาวะที่ลึกลับมหัศจรรย์ ได้ผลมีประสิทธิภาพสูงสุดเหมือนยามที่เขาได้ดูการร่ายรำของฮวาเสี่ยงหรงครั้งแรก
พลังจิตวิญญาณยกระดับขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้ขาดแค่จุดหักเหสุดท้ายเท่านั้น ขาดอีกแค่นิดเดียววิชาก่อนกำเนิดขั้นที่หนึ่งก็จะสมบูรณ์แล้ว
หลี่มู่รู้สึกว่าเนตรสวรรค์ของตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เมื่อใจเกิดความคิด เขาก็แอบเปิดเนตรสวรรค์มองไปข้างนอก แค่กวาดมองไป คนทั้งหมดทั้งในและนอกหน่วยเลี้ยงรับรองก็คล้ายกลายเป็นกลุ่มพลังงานยิบย่อยปรากฏขึ้นในสายตาของหลี่มู่ พลังแข็งแกร่งอ่อนแอ อายุขัยสั้นยาว พลังชีวิตแข็งแกร่งหรืออ่อนแรง เขามองเห็นทั้งหมด
เนตรสวรรค์สามารถมองทะลุผ่านความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของชีวิตได้หมด นั่นคือหนึ่งในอภินิหารของมัน
ก่อนหน้านี้หลี่มู่ก็ค้นพบอภินิหารนี้แล้ว
แต่มองได้ไม่ไกลและกว้างขนาดนี้ ประมาณระยะหลายร้อยจั้งรอบๆ เท่านั้น ทว่าจากการเพิ่มขึ้นของพลังหลี่มู่ อานุภาพเนตรสวรรค์สามารถทะลุกำแพง อิฐหิน จนมองเห็นคนที่อยู่ข้างหลังได้แล้ว
กลุ่มพลังงานยิ่งเข้มข้นเรืองรอง ก็หมายถึงพลังของคนคนนั้นยิ่งแข็งแกร่ง
กลุ่มพลังงานบางกลุ่มในนั้นปล่อยลำแสงพุ่งขึ้นฟ้า ราวกับกลุ่มควันส่งสัญญาณ นี่คือพลังงานที่ยอดยุทธ์ผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์เท่านั้นถึงจะมี
แล้วก็ยังมีร่างอีกบางส่วน พลังงานที่แผ่ออกมาดุจดวงอาทิตย์ดวงเล็กๆ แทบจะกลบพลังงานของคนอื่นรอบๆ ทั้งหมด แม้แต่แสงพลังงานของผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์ยังถูกกลบไป แข็งแกร่งเกินจริงจนถึงขีดสุด
‘นี่น่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานแล้ว…เฮ้อ จำนวนขั้นฟ้าประทานที่ปรากฏอยู่บนถนนกลิ่นกำจายคืนนี้จะมากเกินไปหน่อยแล้วมั้ง’
หลี่มู่มองไปแล้วก็พลันตกใจ
ในตอนนี้เอง สายตาของเขากวาดไปยังหอโอบจันทร์ที่ห่างออกไปสามสิบสามจั้ง ตื่นตกใจโดยพลัน ในห้องส่วนตัวชั้นสองของหอโอบจันทร์มีแสงพลังงานที่เปล่งประกายระยิบระยับที่สุด ประหนึ่งดวงอาทิตย์ดวงโต หลี่มู่แค่มอง ดวงตาก็เหมือนมีแสงวูบวาบสะท้อนกลับมา เบื้องหน้าขาวโพลนไปหมด ตรงหว่างคิ้วเจ็บปวดรุนแรงราวมีเข็มทิ่มแทง
เขารีบเก็บเนตรสวรรค์กลับไป
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลี่มู่ใจสั่นสะท้าน
หรือในหอโอบจันทร์จะมีผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งแฝงตัวอยู่?
คืนนี้เห็นท่าคงไม่สงบแน่ๆ
ถนนกลิ่นกำจายเล็กๆ ของหน่วยเลี้ยงรับรองยาวก็แค่หลายพันจั้งเท่านั้น แต่กลับรวบรวมผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานเอาไว้ถึงยี่สิบกว่าคน ขั้นปรมาจารย์อีกหลายร้อยคน แล้วยังมีผู้ลึกลับคนนั้นในหอโอบจันทร์ เมื่อครู่ที่เขากวาดตามองไปไกลๆ ยังเห็นกำลังทหารรอคำสั่งอยู่รางๆ อีกด้วย…
หรือคืนนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
หลี่มู่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศประหลาดในอากาศได้รางๆ
หรือจะพุ่งเป้ามาหาข้า?
ไม่น่ากระมัง
เขาขบคิดในใจ ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตู
หลี่มู่หันไปมองเจิ้งฉุนเจี้ยน เจิ้งฉุนเจี้ยนก็มีสีหน้าแปลกใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่เขาเตรียมเอาไว้
เจิ้งฉุนเจี้ยนออกไป ครู่หนึ่งก็เข้ามาขอคำแนะนำจากหลี่มู่ “คุณชาย ข้างนอกมีอาจารย์หวางคนหนึ่ง บอกว่าเป็นสหายเก่าของคุณชาย มีเรื่องสำคัญมากอยากขอพบสักหน่อย”
“ให้เขาเข้ามาเถอะ” หลี่มู่รู้แล้วว่าใครมา
เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจากนอกประตู
ประตูเปิดออก จอมเวทวัยกลางคนชุดดำเดินเข้ามา คือ ‘สุภาพบุรุษวาโย’ ที่เคยสู้กับเจียวในแอ่งน้ำตกเก้ามังกรตรงภูเขาหลังที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์นั่นเอง
หลี่มู่คิดไม่ถึงว่าคนคนนี้ก็มาเมืองฉางอันด้วย
“คุณชาย พวกเราเจอหน้ากันอีกแล้ว” หวางเฉินพูดพลางยิ้ม ท่าทางสนิทสนม ยกมือประสานเล็กน้อย
หลี่มู่ไม่ได้รู้สึกดี แล้วก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับคนคนนี้ เหตุที่ให้เข้ามาเพราะอยากรู้ว่าเรื่องสำคัญที่ว่าคืออะไรกันแน่
“อาจารย์หวาง เชิญนั่ง” หลี่มู่พูดด้วยสีหน้าราบเรียบ
หวางเฉินนั่งลง ยกถ้วยชาเบื้องหน้าดื่มหมดในรวดเดียว ยิ้มขื่นพลางเอ่ย “คุณชายเป็นคนที่ธุระรัดตัวจริงๆ ร่องรอยราวเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ข้าน้อยตามหาคุณชายหลายครั้ง ไม่ถูกปฏิเสธก็กลับไปมือเปล่า คืนนี้ในที่สุดก็ได้พบท่านแล้ว”
หลี่มู่ถาม “ไม่ทราบว่าอาจารย์หวางมาหาข้ามีเรื่องอันใด?”
หวางเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย กำลังจะอ้าปากพูดอะไร
หลี่มู่พลันโบกมือบอก “หากอาจารย์หวางอยากให้ข้ารับใช้ฝ่าบาทองค์นั้นของท่าน ก็อย่าได้เอื้อนเอ่ยเลย”
“คุณชายหลี่ช่างไม่เกรงใจจริงๆ” หวางเฉินยิ้มเจื่อน “ในเมืองฉางอันสองสามวันที่ผ่านมานี้ เมื่อข้าได้ยินว่าคุณชายหลี่ปฏิเสธองค์ชายสองก็ตะลึงยิ่งนัก คุณชายปฏิเสธแม้แต่องค์ชายสองที่เตรียมขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ทำให้ข้าเข้าใจ หากคิดจะโน้มน้าวคุณชายไปรับใช้ฝ่าบาทของข้าเกรงว่าคงจะเปลืองแรงเปล่าๆ…ข้าแซ่หวางไม่เข้าใจ ไยคุณชายหลี่จึงปฏิเสธองค์ชายสองเล่า? หรือเพราะเงื่อนไขที่องค์ชายสองให้ไม่ตรงกับใจของคุณชาย?”
หลี่มู่ยิ้มเรียบๆ “ของที่ข้าอยากได้ ข้าจะเอามาเอง ไม่ต้องให้คนอื่นตบรางวัลหรือบริจาค…อีกอย่างในสายตาของข้ามีแต่การฝึกยุทธ์ มีดาบอยู่ในมือก็ครอบครองใต้หล้าได้”
ที่แท้ก็เป็นพวกคลั่งยุทธ์
คลั่งยุทธ์แต่เป็นเหวินจิ้นซื่อที่อายุน้อยที่สุดของจักรวรรดิ อีกทั้งความสามารถด้านกลอนกวียังเลิศล้ำได้อย่างไร?
หวางเฉินพยักหน้า เขาเข้าใจความคิดพวกอัจฉริยะที่คลั่งไคล้ใหลหลงพวกนี้ดี
“คืนนี้ที่มา ข้ามีเรื่องอยากขอให้คุณชายช่วยฝ่าบาทของข้าสักครั้ง” หวางเฉินพูดเปิดอก
………………………