จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 232 ปล้นคนรวยช่วยคนจน
นี่เป็นห้องลับแห่งหนึ่งที่ห่างไกลออกมามาก หลิวเฉิงหลงจัดเตรียมล่วงหน้าไว้อย่างดี อยู่ห่างจากเวทีหลักหลายลี้ สงครามที่กำลังปะทุบนเวทีหลักตอนนี้ไม่มีทางส่งผลกระทบมาถึงที่นี่ได้
เหลียงอี้เฟย ไป๋หย่วน หานเฝ่ยหราน และจินเซวียนทั้งสี่คนล้วนมีสีหน้าหื่นกระหาย จ้องมองถังฮูหยินที่นั่งหลบอยู่ในมุมกำแพงทั้งสีหน้าหวาดกลัวระคนโกรธเพราะอับอาย พร้อมระเบิดเสียงหัวเราะซึ่งมีแต่ผู้ชายด้วยกันที่เข้าใจ
“มารดามันเถอะ คืนนี้พลาดสองสาวน้อยไป แต่ว่าก็ยังได้สาวงามสะพรั่งคนนี้มา ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว ฮ่าๆๆ ผู้หญิงของถังฉงคนนี้ รับรองรสชาติต้องเด็ดแน่” ไป๋หย่วนยิ้มเย็นชา ค่อยๆ เดินบีบเข้ามาทีละก้าว เอ่ยขึ้นว่า “ถังฮูหยิน ทำตัวให้ว่าง่ายหน่อย เจ้าถอดเองเถอะ พวกข้าจะได้ไม่ต้องลงไม้ลงมือจนทำเจ้าบาดเจ็บขึ้นมา”
“ถูกแล้ว ฮี่ๆ ถังฮูหยิน ให้ความร่วมมือหน่อย หากทำให้พวกข้าพึงพอใจ ลูกสาวสองคนของเจ้าอาจจะไม่ต้องเจอเรื่องที่น่าอัปยศถึงเพียงนี้ก็เป็นได้” จินเซวียนใช้ถังถังและถังมี่มาข่มขู่ถังฮูหยิน และจี้จุดอ่อนของถังฮูหยินเข้าพอดิบพอดี
นางที่ถูกขังในรถเหล็กบุปผชาติตลอดไม่รู้เลยว่าลูกสาวทั้งสองถูกช่วยเหลือออกมาแล้ว
เดิมทีนางคิดจะปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองอย่างสุดชีวิต ทว่าตอนนี้ ถังฮูหยินกลับไม่กล้าเลือกความตายแล้ว
“ฮ่าๆ ถอดสิ ว่าง่ายหน่อย หากเจ้าทำตัวไม่ดี ลูกสาวทั้งสองของเจ้าจะลำบากเอานา” เหลียงอี้เฟยเห็นว่ายุได้ผล ก็รีบราดน้ำมันเข้ากองไฟเพิ่ม เดินหน้าคุกคามต่อทันที
“ฮ่าๆๆๆ ถังฉง เจ้ามันตายสบายเกินไป ความอัปยศที่เจ้ามอบให้พวกเราครั้งนั้น ตอนนี้ให้ผู้หญิงของเจ้าชดใช้แทนก็แล้วกัน” แววตาของหานอี้เฟยแฝงด้วยประกายแห่งความโหดร้าย
ทั้งสี่คนยืนล้อมถังฮูหยินที่คุดคู้อยู่ที่มุมกำแพง
พอเห็นว่าถังฮูหยินกำลังจะยอมแพ้ เวลานี้เอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นภายในห้อง…
“พอเห็นว่าพวกเจ้าสมควรตายแบบนี้ ข้าก็วางใจแล้ว”
ร่างที่สวมหน้ากากผียิ้มสีเงินปรากฏตัวขึ้นด้านในราวกับเดินทะลุออกมาจากสุญญากาศ เขตแดนแปลกประหลาดครอบคลุมพื้นที่ในห้องทั้งหมดในพริบตาเดียว
“ใครกัน?”
“เป็นเจ้า…”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
พวกไป๋หย่วนสี่คนต่างส่งเสียงร้องตกใจ
พวกเขาที่กำลังจมอยู่กับตัณหาราคะเหมือนถูกสาดน้ำเย็นจากหัวจรดเท้า กำลังที่แท้จริงของคนในหน้ากากผีสีเงินนี้ พวกเขาเคยประสบกับตัวมาแล้ว น่าพรั่นพรึงเป็นอย่างมาก แล้วทำไมคนคนนี้ถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่ได้?
“เจ้า…” หานเฝ่ยหรานอ้าปากจะพูดอะไรออกมา ประกายดาบทางหนึ่งก็ส่องแสงขึ้น ศีรษะของเขาหลุดลอยออกไปทันที
“เจ้ามันหน้าเหี้ยมที่สุด ดังนั้นก็ตายเป็นคนแรกแล้วกัน จะได้ไม่ต้องบ่นมากความอะไรอีก” หลี่มู่แยกเขี้ยวพูด
ต้องขอบคุณวิชาเต๋าตามหาคนของซินแสเฒ่าที่ขี้โกงเป็นอย่างยิ่ง ตอนพบว่าถังฮูหยินไม่ได้อยู่ในรถกรงเหล็กนั่น หลี่มู่เจอเส้นผมบางส่วนของถังฮูหยินตกอยู่ จากนั้นจึงใช้เส้นผมนำทางแล้วใช้วิชาเต๋า แค่ครั้งแรกก็สามารถติดตามมาถึงห้องลับนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้หลี่มู่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเพื่อสังเกตระยะหนึ่งแล้ว
เห็นได้ชัดเจนว่า ในสี่คนนี้หานเฝ่ยหรานนิสัยเหี้ยมเกรียมที่สุด แค่มองก็รู้ว่าเป็นพวกเจ้าแผนการ ดังนั้นตัดไฟไปแต่ต้นลมเลยจึงดีที่สุด
ตึง
ร่างไร้วิญญาณล้มลงกับพื้น
จนกระทั่งตาย หานเฝ่ยหรานก็ยังไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะจบชีวิตแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนี้
“อ๊าก…” เหลียงอี้เฟยตกใจจนกรีดร้องสุดเสียง หมุนตัวกลับคิดจะวิ่งหนีออกไปทางประตู
ทว่าเสียงปังดังขึ้น กลางอากาศราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นตั้งอยู่ ดีดตัวเขาจนกระดอนกลับเข้ามา
“คิดหนีหรือ? สายเกินไปแล้วล่ะ” หลี่มู่เอ่ยขึ้น
เขาวางค่ายกลวิชาเต๋า ‘ค่ายกลเขตแดนพันธนาการมังกร’ เอาไว้ในห้องนี้แล้ว ปิดล้อมพื้นที่รอบห้องเอาไว้ทั้งหมด มีแต่ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังมากกว่าหลี่มู่เท่านั้นถึงจะทลายเขตแดนนี้ได้ มิเช่นนั้นอย่าหวังว่าจะว่าหลุดออกจากห้องลับนี้ไปได้
เมื่อเห็นเช่นนี้ จินเซวียนก็รู้ตัวทันทีว่าตนเองตกอยู่ในอันตรายแล้ว แต่ว่าสายตาเขาเกิดประกายขึ้น ก่อนจะเคลื่อนย้ายในพริบตาตรงไปทางถังฮูหยิน
เจ้าคนในหน้ากากผียิ้มสีเงินจะต้องเข้ามาช่วยคนแน่นอน ขอแค่จับตัวถังฮูหยินเอาไว้ อาจจะใช้เป็นตัวประกันได้
เขาเป็นผู้สืบทอดสำนักแสงศักดิ์สิทธิ์ ในสี่คนนี้ เขามีพลังมากที่สุด อยู่ได้ระดับครึ่งขั้นฟ้าประทานแล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองก็แม่นยำมากที่สุดด้วย
แต่ทว่า ก่อนหน้าที่หลี่มู่จะปรากฏตัวขึ้นก็คำนวณเอาไว้หมดแล้ว คิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาคิดหรือ?
“ตัดอสุนี”
ร่างเงาหลี่มู่ไหววูบ ฟันออกไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องลับมีประกายดาบสว่างวาบ ราวกับอสุนีฟาดลงมาโลกมนุษย์เพื่อชำระล้างสิ่งชั่วร้าย
จินเซวียนรู้สึกเพียงดาบคมกริบเข้ามาตรงหน้า พอขับเคลื่อนกำลังภายใน คิดที่จะต้านทานไว้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ที่คอหอยเย็นวาบ จากนั้นภาพที่เห็นจากครรลองสายตากลับกลายเป็นแผ่นหลังของตนเอง
‘ทำไมข้าถึงมองเห็นแผ่นหลังของตนเองได้…ข้า…’
สมองของจินเซวียนมีความสงสัยผุดขึ้นมา ทว่าก็รู้สึกตัวได้ทันทีว่าเป็นเพราะศีรษะของตนถูกบั่นจนขาดสะบั้นแล้ว
ตัวเอง…กำลังจะตาย
ตายไปเช่นนี้น่ะหรือ?
ไม่นะ
ชั่วพริบตาสุดท้าย ความรู้สึกทั้งมวลดับลงไปพร้อมกับความหวาดกลัวสุดขีดนั้นเอง
วูบสุดท้ายก่อนที่จินเซวียนจะตาย เขารู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุด ตนเองไม่ควรมาที่เมืองฉางอันเลย น่าเสียดายที่หนึ่งความคิดชั่วร้ายนำมาซึ่งความตาย หนำซ้ำสิ่งที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือ เขาที่ฝึกฝนวรยุทธ์จนแก่กล้า ยังไม่ทันได้แสดงความสามารถ กลับต้องมาถูกบดขยี้ราบคาบเช่นนี้ อีกทั้งลมหายใจสุดท้าย เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองตายด้วยน้ำมือของใคร
ร่างของหลี่มู่ปรากฏขึ้นด้านหน้าถังฮูหยิน
เขาไม่ได้เห็นเหลียงอี้เฟยกับไป๋หย่วนอยู่ในสายตา หมุนตัวกลับ จับเสื้อนอกคลุมไปคลุมบนร่างถังฮูหยิน จากนั้นดัดเสียงของตน เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งว่า ”วางใจเถิด สองคนนั้นถูกช่วยไปก่อนหน้าแล้ว ยามนี้ปลอดภัยหายห่วง”
ดวงตาของถังฮูหยินพลันเปล่งประกายสุกใส ราวกับได้ชีวิตกลับคืนมาใหม่ นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ ”จริงหรือ? พวกนาง…ตอนนี้อยู่ที่ใดกัน?”
หลี่มู่ตอบกลับ ”ไปรวมกลุ่มกับคนของพวกนางแล้ว สุภาพบุรุษวาโยหวางเฉิน ถังฮูหยินน่าจะรู้จักกระมัง”
“อา ท่านหวางนี่เอง องค์หญิงฉินต้องมาด้วยอย่างแน่นอน…” เมื่อได้ยินประโยคนี้ ถังฮูหยินก็เหมือนยกภูเขาออกจากอกไปหมดสิ้น
ตอนนี้เอง ไป๋หย่วนเห็นว่าคงหนีไม่พ้นแล้ว ในแววตามีประกายสังหารวูบผ่าน เขาอาศัยโอกาสขณะที่หลี่มู่หันหลังให้ กลางฝ่ามือมีกริชสีฟ้าเล่มหนึ่งไหลลงมา จากนั้นขว้างไปยังแผ่นหลังของหลี่มู่ทันที
ในสี่คนนี้จินเซวียนมีพลังมากที่สุด ไป๋หย่วนรองลงมา พลังฝึกอยู่ในจุดของสูงสุดขั้นยอดปรมาจารย์ ยิ่งไปกว่านั้น เขาถนัดการเล่นทีเผลอเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับงูพิษที่พ่นพิษออกมาได้อย่างไร้ซุ่มเสียง กายเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจภูตผี
ทว่า ถึงแม้หลี่มู่จะไม่หันกลับมา เขากลับเหมือนมีดวงตาอีกข้างโผล่ขึ้นมาด้านหลัง
“ชักดาบสะบั้น”
หลี่มู่พลิกมือฟันหนึ่งดาบออกไป กลางห้องลับมีประกายดาบสว่างขึ้นอีกครั้ง
ร่างของไป๋หย่วนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
หลังจากนั้นร่างถูกผ่าเป็นสองซีก ร่วงหล่นลงพื้นดิน
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทั่วบริเวณ
หลี่มู่หมุนตัวมา สายตาไปหยุดที่เหลียงอี้เฟยซึ่งเหลืออยู่คนสุดท้าย
ตุบ
เหลียงอี้เฟยทิ้งตัวคุกเข่าลงบนพื้นทันที
สีหน้าของเขาขาวซีด ราวกับสุนัขจรจัดที่ถูกคนฟาดหลังหัก ร้องขอชีวิตอย่างขมขื่น ”อย่า อย่าฆ่าข้าเลย บิดาข้าเป็นราชครูของราชวงศ์ ปล่อยข้าไปเถอะ…” เจ้าเดนมนุษย์คนนี้ไม่เหลือความเหี้ยมโหดกำเริบเสิบสานก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย เขาจ้องมองศพอาบเลือดทั้งสามที่อยู่ในห้องลับ เมื่ออยู่ต่อหน้าการคุกคามของความตายเช่นนี้ เขาตกใจจนแทบบ้าไปเรียบร้อย
หลี่มู่ยกมือขึ้น วางดาบยาวพาดลงบนบ่าของเหลียงอี้เฟย เอ่ยขึ้นว่า ”เงินล่ะ?”
“หา?” เหลียงอี้เฟยตะลึง
หลี่มู่พูดอย่างโมโห ”ไม่ต้องมาทำไขสือ พวกเจ้ารวมตัวกันมาร่วมงานประมูล จะไม่เอาเงินมาด้วยได้อย่างไร? เงินที่พวกเจ้าเตรียมมาเอาไปเก็บไว้ที่ไหน? ยังไม่รีบนำออกมาอีก?” นี่เป็นวิธีรวยทางลัดที่หลี่มู่คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงทำใจกว้างให้ฝ่าบาทคนนั้นของหวางเฉินหยิบยืมเงิน และยังประมูลตัวถังถังส่งคืนไปโดยตรงอีก นั่นเป็นเพราะเขาวางแผนล่วงหน้าไว้แล้วว่าจะมาให้รีดไถคืนจากเจ้ากากเดนพวกนี้
คนอย่างเหลียงอี้เฟย ในเมื่อมีเงินมาเข้าร่วมการประมูล แน่นอนว่าต้องเตรียมพร้อมมา บนตัวจะต้องมีเงินก้อนใหญ่อยู่อย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรเจ้ากากเดนสี่คนนี้ก็สมควรตายอยู่แล้ว ไม่สู้เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์เสียดีกว่า สังหารพวกนี้แล้วแย่งชิงมาให้จบๆ ไป เงินของเจ้าก็คือเงินของข้า
นี่เรียกว่าอะไรนะ
ผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์? ปล้นคนรวยช่วยคนจน?
ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดีนั่นละ
หลังจากที่เข้าใจถึงเจตนาของหลี่มู่ เหลียงอี้เฟยก็ราวกับเห็นแสงสว่างของทางรอดอยู่รำไร
ในเมื่อเจ้าคนใส่หน้ากากผียิ้มสีเงินคนนี้ไม่ใช่คนไม่มีกิเลสอะไร เรื่องนี้ก็ง่ายแล้ว
ใจของเขาเต้นวูบหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า ”ท่านจอมยุทธ์ ถ้าท่านไว้ชีวิตข้า ไม่ว่าจะเอาเงินทองสักเพียงไหน บิดาของข้าก็ประเคนให้ท่านได้…”
เพียะ!
ปากของเขาถูกตบด้วยหลังดาบ เลือดสดไหลออกมาเป็นทาง
หลี่มู่กล่าวอย่างไม่พอใจ ”นี่ไม่ใช่คำถามเลือกตอบ ข้าถามอะไรเจ้าก็ตอบอย่างนั้นมา ไม่อนุญาตให้ตั้งคำถามเอง…เงินที่พวกเจ้าเอามาเข้าร่วมการประมูลอยู่ที่ไหน?”
เหลียงอี้เฟยเจ็บจนน้ำตาไหล
ตอนนี้เขาไม่กล้าอิดออดประวิงเวลาอีก รีบร้อนตอบกลับว่า “ท่านจอมยุทธ์โปรดไว้ชีวิตด้วย…ก่อนนี้เพราะซื้อตัวถังฮูหยินจากหลิวเฉิงหลงแห่งหน่วยเลี้ยงรับรองล่วงหน้า จึงจ่ายเงินสองล้านตำลึงทองที่พวกข้าสี่คนรวบรวมมาไปแล้ว…” เงินที่เขาเหลือติดตัวจึงไม่มากแล้ว
หลี่มู่โมโห ดวงตาเผยแววเหี้ยมเกรียม “มารดาเจ้าสิ…พูดเช่นนี้ ไว้ชีวิตเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วน่ะสิ?”
“มิใช่ๆๆ…” เหลียงอี้เฟยตกใจจนวิญญาณหลุดลอย รีบร้อนเอ่ยว่า “ท่านจอมยุทธ์โปรดฟังข้าก่อน บนตัวของข้ายังมีอีกนิดหน่อย ส่วนพวกเขาสามคน…ก็อาจจะมีอยู่อีกบ้าง”
“เรื่องนี้ข้ายังต้องให้เจ้าบอกอีกหรือ ข้าจัดการเจ้าทิ้งเสีย แล้วไปค้นเอาเองก็จบเรื่องแล้ว?” กระบี่ยาวในมือหลี่มู่ขยับเล็กน้อย จากนั้นเขาหัวเราะเสียงเย็น “รีบพูดอะไรที่มีค่าออกมาเสีย เงินประกันที่หน่วยเลี้ยงรับรองเก็บจากคนอื่นๆ แล้วยังเงินส่วนที่ประมูลได้ไปอีก มันเก็บอยู่ที่ไหน เจ้ารู้หรือไม่?”
“ข้ารู้ ข้ารู้” เหลียงอี้เฟยคายออกมาจนหมดเปลือก สารภาพจนสิ้น
พวกเขาสี่คนต่างมีฐานะทางราชการอยู่ ดังนั้นหลิวเฉิงหลงจึงไม่ได้เฉยเมย วันที่จ่ายเงินค่าประกัน พวกเขาจึงได้ไปยังคลังเงินของหน่วยเลี้ยงรับรองด้วย
“เอาละ ขอบใจเจ้ามาก” หลี่มู่กล่าว
พูดจบ คมดาบก็สะบั้นทันที
เหลียงอี้เฟยอยู่ในสีหน้ายากจะเชื่อ ศีรษะลอยละลิ่วออกไป
“ชาติหน้า ก็เกิดเป็นคนดีเสีย”
หลี่มู่เอ่ยขึ้น
คำพูดประโยคนี้…ช่างอวดดีเหลือประมาณ
……
ผ่านไปช่วงหนึ่งถ้วยชา
ที่คลังเงินของหน่วยเลี้ยงรับรอง
นัยน์ตาของหลี่มู่เปล่งประกายสีทอง
“ฮ่าๆๆ คราวนี้รวยแล้วเรา วะฮ่ะๆๆ” เขาดีใจลิงโลด
ข่าวที่เหลียงอี้เฟยให้มามีประโยชน์มาก เขาหาคลังเงินของหน่วยเลี้ยงรับรองเจอได้อย่างง่ายดาย ในนั้นมีเงินประกันของพวกขุนนางเศรษฐีน้อยใหญ่ที่มาร่วมประมูลครั้งนี้ เอามารวมกันก็กว่าสามล้านตำลึงทองแล้ว พอเพิ่มเงินเก็บอีกหลายปีของหน่วยเลี้ยงรับรองเข้าไปอีก กองเงินที่อยู่ตรงหน้านี้รวมแล้วเป็นก้อนเงินมหาศาลกว่าสิบล้านตำลึงทอง เทียบเท่าได้กับคลังสมบัติเล็กๆ เลยทีเดียว
“เป็นของข้าทั้งหมดแล้ว…”
หลี่มู่หัวเราะร่า รีบเข้าไปกอบโกยมือเท้าเป็นระวิงอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
ตัวเขาสร้างภาชนะมิติเก็บของแล้วหลายชิ้น สามารถเก็บตั๋วทอง ทองคำ อัญมณีต่างๆ รวมไปถึงสมบัติที่มีสีสันสวยสดดูล้ำค่าในคลังเงินแห่งนี้เข้าไปในมิติเก็บของทั้งหมด
มิติเก็บของหลายชิ้นถูกยัดใส่จนเต็ม ก็ยังไม่อาจทำให้คลังเงินแห่งนี้โล่งลงได้
“น่าเสียดาย”
เขาเดินไปเหลียวหลังไปอย่างรู้สึกเสียดาย
ถ้ารู้เช่นนี้ เขาน่าจะสร้างเจ้าภาชนะมิติเก็บของนี่อีกสักหน่อย
หากไร้ต้นหญ้าก็มิอาจขุนม้าให้อ้วนได้ หากมนุษย์ไม่มักในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนก็ไม่มีทางร่ำรวย หลี่มู่พลันรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว วิธีช่วงชิงแบบนี้เป็นหนทางสู่ความร่ำรวยที่ยอดเยี่ยมที่สุดดังคาด
หน่วยเลี้ยงรับรองนี้ขูดเลือดกินเนื้อเมืองฉางอันมาหลายปี หลิวเฉิงหลงที่เป็นหัวหน้าก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก กล้าคิดลอบทำร้ายฮวาเสี่ยงหรง ตั้งตนเป็นหัวหอกการประมูลอันไร้ศีลธรรมในคืนนี้ เหมือนกับพวกเหลียงอี้เฟย ต่างก็สมควรตายกันทั้งนั้น หลี่มู่ที่กำลังปล้นคลังเงินนี้ไม่มีความรู้สึกกดดันในใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ถังฮูหยินที่อยู่อีกด้านกลับจ้องมองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
ยามที่คนใส่หน้ากากผียิ้มสีเงินผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นในห้องลับ ท่าทีเขาช่างองอาจลึกลับเหมือนผู้แข็งแกร่ง มีพลังไร้เทียมทาน ราวกับเทพมังกรที่ไม่อาจแตะต้องได้ ไป๋หย่วน จินเซวียน เหลียงอี้เฟย และหานเฝ่ยหรานต่างก็เป็นคนมีเบื้องหลังและกลุ่มอำนาจที่ทรงอิทธิพล แต่กลับถูกเขาสังหารเหมือนผักปลา บทจะสังหารก็สังหารทิ้งเสียดื้อๆ ทำให้นางนอกจากจะรู้สึกยินดี ก็ยังตกตะลึงไปด้วย
ทว่ายามนี้คนใส่หน้ากากผียิ้มสีเงินกลับเหมือนโจรตัวเล็กที่โลภมากไปเสียนี่ หนำซ้ำท่าทางละโมบยังดูเหมือนเด็กๆ
เขาเป็นใครกันแน่?
ในใจของถังฮูหยินเต็มไปด้วยความอยากรู้
“เอาละ งานของข้าเสร็จลุล่วงหมดแล้ว นี่ก็แค่เอากำไรมานิดๆ หน่อยๆ ต่อไปก็ได้เวลาไปเก็บเงินต้นเสียที…” หลี่มู่จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ยิ่ง คลังเงินคลังทองแบบนี้ข้างหน้าคงยังมีอีกมากนัก แล้วเขาก็ไม่ได้รังเกียจเรื่องนี้ ขณะที่เดินออกจากประตูคลังเงิน หลี่มู่เอ่ยขึ้นว่า “ถังฮูหยิน เดี๋ยวข้าจะส่งท่านไปหาหวางเฉิน พวกท่านแม่ลูกจะได้เจอกันเสียที…”
เสียงยังไม่ทันหายไป
เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
แสงแวววับของคมกระบี่สายหนึ่ง ราวกับน้ำตกจากสวรรค์ชั้นเก้า ประหนึ่งเทพมังกรแหวกเมฆา คมกริบเหนือสิ่งใด กำลังแหวกม่านนภายามค่ำคืนฟาดฟันลงมายังหลี่มู่
“เจ้าโจรลามก ตายซะ”
เสียงตะโกนเย็นเยียบดังขึ้นมาพร้อมกับแสงกระบี่
………………