จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 235 วิหารเทพแมงมุม
“ถอยไป”
นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ตะโกนบอก ส่วนตนเองก็ก้าวฉับมาจากกระบวนทัพรูปลิ่ม ร่างมหึมาราวกับเจดีย์เหล็กสีดำเดินได้พุ่งตรงเข้าหาชายชราผีดิบจมูกงุ้ม ทุกหนึ่งก้าวยิงออกไปสามครั้ง ทุกครั้งส่งออกไปสี่ดอก
ในครั้งนี้ ศรของเขาไม่ใช่มีเพียงคมเขี้ยวเพื่อสังหารเท่านั้น แต่ความเร็วเพิ่มขึ้น แม่นยำและคมกริบกว่าเดิม สอดคล้องกับเคล็ดลับการทำศึกเดี่ยว
คันศรราวอัสนีบาตน่าพรั่นพรึง
หนึ่งคนหนึ่งคัน ง้างยิงห่าฝนคมศรเต็มท้องฟ้า
ชายชราผีดิบจมูกงุ้มก้าวเดินอย่างเอ้อระเหย ฝ่ามือก็สะบัดไม่หยุด คลื่นกำลังภายในสีฟ้าโหมซัดราวกับคลื่นทะเลที่บ้าคลั่ง ไอเย็นม้วนเป็นเกลียว ทำให้คมศรที่ยิงเข้ามาจับตัวแข็ง แตกกระจายไปทั้งหมด…
“สังหาร!”
นายน้องเผ่ายิงจันทร์ขยับเท้า พุ่งตัวออกจากพื้นดินอย่างรุนแรง ขณะอยู่กลางอากาศ คันธนูยาวที่จับมั่นอยู่ในสองมือเพียงสะบัดกลับมา สายธนูก็หดเล็กลง ตรงกลางคันศรแยกจากหนึ่งเป็นสอง ธนูยักษ์แปรเปลี่ยนเป็นดาบโค้งยาวสองเล่ม ถูกจับมั่นอยู่ในมือทั้งซ้ายขวา จากนั้นเข้าฟาดฟันทันที
นักรบแห่งทุ่งหญ้าไม่เพียงแต่มีวิชายิงธนูที่น่าตกตะลึง แต่ทักษะการสู้ระยะประชิดก็น่ากลัวยิ่งเช่นกัน
ชายชราผีดิบจมูกงุ้มไม่คิดรอช้า สองฝ่ามือแนบประสาน จากนั้นดึงแยกออกจากกัน ลำแสงสีน้ำเงินอ่อนจางปรากฏขึ้นสายหนึ่งกลางฝ่ามือ แล้วรวมตัวเข้าด้วยกันกลายเป็นกระบี่เรียวเล็กสีน้ำเงิน เขาสะบัดกระบี่ด้วยมือซ้าย ห่ากระบี่ราวสายฝนร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า
ปราณแท้แปรรูปร่าง
นำปราณแท้ฟ้าประทานที่ฝึกได้มาแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธ จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับที่เอากำลังภายในอย่างน้อยสามส่วนของร่างกายมาแปรสภาพเป็นปราณแท้ฟ้าประทานแล้ว ถึงจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้
เคร้งๆๆ!
ในชั่วพริบตานี้ ราวกับเกิดลมพายุขนาดใหญ่หอบม้วนขึ้นมา ลูกไฟส่องสว่างแสบตา พร้อมด้วยเสียงอาวุธที่กระทบกันไม่หยุดหย่อน ปะทุอยู่บนท้องฟ้ามืดสนิทยามค่ำคืนอย่างต่อเนื่อง
เพียงไม่นาน ลูกไฟเหล่านั้นก็หยุดลง
ร่างของนายน้อยเผ่ายิงจันทร์เกิดรอยเลือดเล็กๆ ขึ้นทั่วตัว
ดาบคู่ของเขาไม่สามารถป้องกันกระบี่เรียวของฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมด พริบตาเดียว บนร่างก็ถูกแทงเข้าไปหลายสิบครั้งเป็นอย่างน้อย แต่โชคยังดีที่วิธีการเข้าแลกแบบไม่กลัวว่าจะต้องตายพร้อมกันของเขาทำให้บาดแผลเหล่านี้เพียงแทงทะลุกล้ามเนื้อ ไม่ได้บาดเจ็บไปถึงเอ็นกระดูก
สำหรับนักรบจากท้องทุ่งหญ้าแล้ว บาดแผลเพียงแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย
“บุกต่อไป! อย่าหยุด ข้าจะจัดการตาเฒ่านี่เอง”
นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ท่าทีอาจหาญ ไม่สนใจบาดแผลของตนเองแม้แต่น้อย เริ่มสร้างพายุแสงดาบและพุ่งเข้าโรมรันกับชายชราผีดิบจมูกงุ้มอีกครั้ง
นักรบแห่งทุ่งหญ้าคนอื่นๆ บุกฝ่าต่อไปโดยมีกุนซือหนุ่มของพวกเขาเป็นหัวหอก
ตามแผนการก่อนหน้านี้ของพวกเขา ขอเพียงแค่หนีออกจากหน่วยเลี้ยงรับรองที่ถนนกลิ่นกำจาย ก็สามารถไปรวมตัวกับกองหนุนที่เตรียมไว้ได้ หลังจากนั้นจึงบุกฝ่าออกไปจากเมืองฉางอันด้วยกัน หากต้องมาติดอยู่ที่นี่นานเกินไป จนทหารรักษาการณ์จากพื้นที่ต่างๆ ของเมืองฉางอันมารวมกลุ่มกัน ซ้ำยังมีบรรดาทหารรบจากฐานที่มั่นนอกเมืองมาสมทบอีก ต่อให้นักรบแห่งทุ่งหญ้าจะอาจหาญสักเพียงใด น้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟเสมอ คงได้ถูกฝังอยู่ที่นี่กันทั้งหมดเป็นแน่
ด้วยเหตุนี้ จะล่าช้าอีกไม่ได้เด็ดขาด
“หึๆ รีบลงไปนอนได้แล้ว”
ชายชราผีดิบจมูกงุ้มพลันเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ เขาแยกตัวออกจากกลุ่ม ตั้งสมาธิทั้งร่างมาไว้ในจุดเดียวและระเบิดมันออกมา กระบี่เรียวส่องประกายเจิดจ้าระยิบระยับ ทั่วแผ่นฟ้ามีผลึกน้ำแข็งสีฟ้าปลิวกระจายอย่างเฉียบพลัน เพียงแค่กระบี่เรียวเหนี่ยวนำ ผลึกน้ำแข็งก็หลอมรวมกันเป็นมังกรกระดูกสีฟ้าขนาดยักษ์ พุ่งตรงไปหมายจะกลืนกินนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ทันที
“หมาป่าสวรรค์พิฆาตจันทรา!”
นายน้อยเผ่ายิงจันทร์รู้ดีว่าเวลาสำคัญมาถึงแล้ว จึงออกกระบวนท่าไม้ตาย สองดาบง้างขึ้นบนและลงล่าง โค้งราวจันทราสองดวง กำลังภายในในกายกระเพื่อมเป็นคลื่น แล้วหมุนวนด้วยวิธีการอันเป็นเอกลักษณ์ ท่ามกลางการไหลวนของพลังนี้ ประหนึ่งมีร่างหมาป่าสีเงินกลืนจันทร์ที่กำลังเปล่งเสียงคำรามบนท้องทุ่งหญ้าปรากฏขึ้นมาด้านหลังเขา
“ฟาดฟัน!”
เขาร้องคำราม
หมาป่าสีเงินกลืนจันทร์กระโจนตัวออกมา พุ่งเข้าปะทะกับมังกรกระดูกสีฟ้าทันที
ยอดกระบวนท่าปะทะยอดกระบวนท่า
ท่าสังหารพุ่งชนท่าสังหาร
กลางอากาศ กระแสพลังซัดกระจัดกระจาย
ตูม!
เสียงระเบิดดังสนั่น แผ่ขยายเป็นวงกว้างกลางท้องฟ้า
หมาป่ากลืนจันทร์สีเงินและมังกรกระดูกสีฟ้าระเบิดออกแทบจะในเวลาเดียวกัน เศษเสี้ยวที่แตกกระจายแปรเปลี่ยนเป็นแรงระเบิด
ร่างสูงราวเหล็กดำของนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ยังยืนตระหง่านอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน ใช้ร่างของตนรับแรงกระแทกที่โหมซัดเข้ามา เพื่อไม่ให้คลื่นพลังซัดไปถึงพวกพ้องที่อยู่ด้านข้าง ส่วนชายชราผีดิบจมูกงุ้มเซถอยไปสามก้าว ก่อนจะสลายกระแสพลังปั่นป่วนทั้งหมดไปจนไร้ร่องรอย
เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างทั้งคู่ นายน้อยเผ่ายิงจันทร์อ่อนแอกว่าชายชราผีดิบจมูกงุ้มอยู่ระดับหนึ่งอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น จิตสังหารยังไม่สลายไป
ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ความหนาวเหน็บระลอกหนึ่งพุ่งเข้ามาโจมตีอย่างไร้เสียงไร้เงา
ปราณเย็น
นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ที่ไม่ทันได้สังเกตถูกไอเย็นนี้เข้าปะทะทั้งร่าง ความหนาวเย็นแผ่กระจาย เส้นผมและขนต่างแข็งทื่อไปจนหมด ก่อนอ้าปากพ่นเลือดออกมาทันใด แต่เลือดยังไม่ทันสัมผัสกับพื้น ก็จับตัวกลายเป็นน้ำแข็งสีแดงไปก่อนแล้ว
“ตายซะ”
ร่างชายชราผีดิบจมูกงุ้มวูบไหว ทิ้งเสี้ยวเงาไว้เป็นทาง ปลายกระบี่หมายจะเสียบเข้าไปที่กลางหัวใจของนายน้อยเผ่ายิงจันทร์
นายน้อยยิงจันทร์ที่แทบกลายเป็นน้ำแข็งเคลื่อนไหวแข็งทื่อ ไม่มีทางที่จะหลีกพ้นสถานการณ์ตรงหน้านี้ไปได้ ในตอนนี้เอง ประกายแสงสีทองพุ่งเข้ามา เสียงเคร้งดังสนั่น คันธนูทองคำหนักสามสิบจินปรากฏขึ้นต้านทานกระบี่สังหารเล่มนี้
ธิดาเทพชิงเยียนเป็นผู้ลงมือ
ส่วนนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ถูกกุนซือหนุ่มช่วยกลับไป
“เจ้ารีบพาทุกคนหนีไป ข้าจะรั้งเขาไว้เอง” เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าพุ่งเข้าปะทะกับชายชราผีดิบจมูกงุ้มพร้อมด้วย ‘ธนูเหนี่ยวตะวัน’ ในมือ เพียงยกมือขึ้น ศรสีทองหลายสิบเล่มก็พุ่งทะยานออกไปทันที
ร่างของชายชราผีดิบจมูกงุ้มเคลื่อนไหวราวกิ่งหลิวต้องพายุ วูบไหวหลบหลีกห่าศรสีทองที่พุ่งเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว
ทว่าวิชาธนูของเทพธิดาสงครามเร็วยิ่งกว่า ท่าทางยั่วยุอารมณ์ของนางราวกับกำลังร่ายรำ มือดึงสายธนูเสมือนกำลังดีดสายพิณบรรเลงอย่างไรอย่างนั้น แสงจันทราที่เปล่งประกายบนสายธนูก็ราวสายน้ำกำลังเคลื่อนคล้อย ศรสีทองบ้าคลั่งรวมตัวกันในพริบตา และปกคลุมร่างของชายชราผีดิบจมูกงุ้มเอาไว้ดั่งสายฝน
ฟิ้วๆๆๆ
พลังคุกคามของธนูเทพถูกเร่งขึ้นจนขีดสุด
“อ๊า…” จู่ๆ ชายชราผีดิบจมูกงุ้มก็ร้องขึ้น ร่างถอยฉากออกไปอย่างรวดเร็ว ลูกศรทองคำปักเข้าไปที่หัวไหล่ แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมา สีหน้าของเขาเหี้ยมเกรียม เอ่ยขึ้นว่า “นี่มันวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ของต้าเจ๋อเปี๋ยแห่งที่ราบทุ่งหญ้าเมื่อหลายปีก่อนนี่ เจ้าเป็นชนรุ่นหลังของต้าเจ๋อเปี๋ยหรือ?”
ธิดาเทพชิงเหยียนปิดปากไม่พูดอะไร กระหน่ำยิงธนูต่อ
“อย่าคิดว่าข้าจะรับมือเจ้าไม่ได้ วิชาธนูของเจ้ายังไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบของต้าเจ๋อเปี๋ยในตอนนั้นเลย” ชายชราผีดิบจมูกงุ้มบันดาลโทสะ ปราณแท้เหมันต์ยมโลกก่อตัวขึ้น สองมือล้วงเข้าไปในถุงสมบัติ คว้าเอากระบองกระดูกคู่หนึ่งออกมาร่ายรำดุจสายลม สกัดลูกศรสีทองที่พุ่งเข้ามาจนสลายไปทั้งหมด
“กระบองกระดูกนี้ ข้าหล่อมันขึ้นมาจากกระดูกขาของศพคนจากทุ่งหญ้าผู้หนึ่ง…” ชายชราผีดิบจมูกงุ้มหัวเราะลั่น “ถ้าหากว่าวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ของเจ้าร้ายกาจได้สักหนึ่งในสิบส่วนของต้าเจ๋อเปี๋ยละก็ ข้าก็คงจะทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ว่า…”
พูดออกมาเพียงครึ่งเดียว จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป หันขวับจ้องมองไปทางทิศตะวันออก
“ศิษย์น้อง…” ดวงตาของเขามีน้ำตาเอ่อคลอในฉับพลัน “ไม่ ศิษย์น้อง ใครสังหารเจ้ากัน?”
เขาสัมผัสได้ว่าศิษย์น้องที่เป็นดั่งพี่น้องร่วมสายเลือดตายจากไปแล้ว
นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน ในเมืองฉางอันแห่งนี้ นอกจากแค่สองคนนั่น จะยังมีใครที่สามารถทำลายวิชามารเหล็กและไม้ได้อีก?
“ย้าก…” ร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกระแสลม ม้วนทะยานไปทางทิศตะวันออกบนท้องฟ้ายามค่ำคืนทันที ไม่แยแสพวกธิดาเทพชิงเยียนเลยแม้แต่น้อย
ธิดาเทพชิงเยียนมีสีหน้าโล่งอก ร่างบางสั่นโงนเงนเล็กน้อย ก่อนจะกระอักเลือดออกมา
“ท่านธิดาเทพ…” องครักษ์เทพหมาป่าสองคนรีบเข้ามาประคองตัวนางด้วยสีหน้าตกใจ
“ข้าไม่เป็นไร แค่ฝืนใช้ธนูเทพจนสูญพลังไปมากเท่านั้น” นางโบกมือ สีหน้าขาวซีด หลังจากถูกจับตัวมาที่จักรวรรดิฉิน กำลังภายในก็ถูกสะกดเอาไว้ ทั้งหิวทั้งกระหาย พลังกายเลือดลมอ่อนแอลง เมื่อครู่เพื่อที่จะรับมือกับศัตรู นางต้องฝืนกระตุ้นใช้ธนูเทพ จึงถูกแว้งกัดเอาเล็กน้อย ไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไร
“ไป”
กุนซือแห่งทุ่งหญ้าตะโกนขึ้น
ชายชราผีดิบจมูกงุ้มคลุ้มคลั่งถอยจากไป นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะฝ่าวงล้อม ถ้าหากยังมัวชักช้า เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาอีก
ธิดาเทพชิงเยียนพยักหน้า รีบสาวเท้าขึ้นนำ
แต่ว่า นางจ้องมองไปทางฝั่งตะวันออกด้วยความสงสัยจนถึงที่สุด
สองภูตยมบาลที่มีพรสวรรค์คู่นั้นมีพลังน่ากลัวอย่างมาก วิชามารเหล็กไม้ก็แทบจะเทียบเคียงได้กับร่างอมตะไปแล้ว ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีชื่อเสียงโด่งดังยิ่ง ลือกันว่าถูกราชวงศ์ของจักรวรรดิฉินสยบลงได้ ต่อให้เป็นระดับสูงสุดของขั้นฟ้าประทานก็ตาม หากคิดจะสังหารพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ดูจากท่าทีเมื่อสักครู่ หนึ่งในสองภูตยมบาลถูกสังหารไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
ใครกันที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้?
กลุ่มนักรบจากที่ราบทุ่งหญ้าพุ่งตรงไปยังทางออกของถนนกลิ่นกำจายราวกับพายุคลั่ง
เหล่าทหารรักษาการณ์ฝั่งตะวันออกของเมืองที่เฝ้าอยู่ถูกซัดจนแตกพ่ายแทบจะในเวลาเดียวกับที่เข้าปะทะ
ประตูทางออกอยู่ตรงหน้านี้แล้ว เหล่านักรบหญิงองครักษ์เทพหมาป่าและนักรบเผ่ายิงจันทร์ทั้งหลายต่างมีสีหน้ายินดีปรากฏให้เห็น
แต่ทว่าในตอนนี้เอง สีหน้าของธิดาเทพชิงเยียนแปรเปลี่ยนไปทันควัน
“หยุดก่อน” นางตะโกนขึ้นมา
นักรบเผ่ายิงจันทร์หลายคนไม่ทันได้ตั้งตัว พุ่งออกจากถนนไป จู่ๆ ร่างกายของพวกเขาก็เหมือนกับกิ่งไม้ที่ถูกคมมีดตัดออก ขาดกระจายไปคนละทิศละทางอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ร่างป่นเป็นเศษหล่นร่วงลงบนพื้นดิน กระทั่งยังไม่ทันจะได้กรีดร้องก็ดับดิ้นไปแล้ว
“อะไร?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ใยแมงมุม…ใยแมงมุมแห่งทุ่งหญ้า”
พวกกุนซือหนุ่มรวมไปถึงนายน้อยเผ่ายิงจันทร์สีหน้าเปลี่ยนทันที รีบตะโกนสั่งหยุดคนอื่นๆ
ขบวนพลรูปลิ่มหยุดลงอย่างกะทันหัน
นักรบหกนายที่เยี่ยมยอดที่สุดแห่งเผ่ายิงจันทร์กลายเป็นชิ้นเนื้อกองต่อหน้าทุกคน กระทั่งอาวุธและเสื้อผ้าบนร่างของพวกเขาก็ถูกใยแมงมุมที่มองไม่เห็นหั่นสะบั้นออกจากกัน น่าเวทนาเกินบรรยาย ร่างกายทั้งหมดไม่เหลือเค้าโครงเดิมให้เห็น
ใบหน้าของธิดาเทพชิงเยียนปรากฏโทสะ
“ฝีมือคนจากวิหารเทพแมงมุม”
นางเอ่ยขึ้น
พอสิ้นเสียง นักรบที่ราบทุ่งหญ้าคนอื่นๆ ต่างก็หน้าถอดสีไปตามๆ กัน ราวกับได้พบเจอกับอะไรบางอย่างที่น่าพรั่นพรึงถึงขีดสุด
“ก็ดี ในตอนนั้นก็เป็นคนจากวิหารเทพแมงมุมที่ลอบแว้งกัดพวกเรา…” ในดวงตาของธิดาเทพชิงเยียนเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอย่างยากจะปิดบัง นางและนักรบหญิงองครักษ์เทพหมาป่าอีกสี่สิบหกนางต้องได้รับความอัปยศในวันนี้ก็เพราะวิหารเทพแมงมุม
“คนจากวิหารเทพแมงมุม ทำไมจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้?”
กุนซือหนุ่มขมวดคิ้วแน่น
“หึๆ ข้าอยู่ที่นี่ รอพวกเจ้าอยู่นานแล้ว” ร่างผอมซูบในชุดคลุมสีเขียวเดินออกมาจากเงามืด ร่างเล็กผอมซูบราวกับคนแคระ คนคนเดียวกลับยืนขวางนักรบแห่งที่ราบทุ่งหญ้าทั้งหมดเอาไว้
“เป็นเจ้าจริงๆ!” ธิดาเทพชิงเยียนเอ่ยขึ้น
……………