จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 237 วิชาธนูเทพที่แท้จริง
หลังจากอึ้งตะลึง ใบหน้าของนายน้อยเผ่ายิงจันทร์และกุนซือแห่งที่ราบทุ่งหญ้าก็ฉายแววยินดี
การประมูลก่อนหน้านี้ คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเป็นปฏิปักษ์กับหน่วยเลี้ยงรับรอง อีกทั้งฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนเขาจะเป็นคนสังหารตัวประหลาดผีดิบ…เป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู
เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้ามองไป พลันมีความรู้สึกประหลาดมากเกิดขึ้นในใจอย่างไม่มีเหตุผล
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึไม่ นางรู้สึกรางๆ ว่าคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน
“เจ้า…เจ้าเป็นใคร?” เฒ่าประหลาดผีดิบมือเปื้อนไปด้วยเลือดขององครักษ์หญิงเทพมาป่า กำลังจ้องหลี่มู่เขม็ง
สัญชาตญาณของเขาทำให้เขารู้สึกถึงความหวาดเกรง จึงไม่ได้ลงมือไปในทันที
ส่วนผู้เฒ่าแมงมุมเขียวก็รู้สึกเช่นเดียวกัน การปรากฏตัวขึ้นของคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินสร้างความกดดันให้แก่เขา เขาถอยหลังไปช้าๆ เร้นกายอยู่ในเงามืด ไม่พูดอะไร และก็ไม่ได้สังหารอีก สุดท้ายทั้งตัวก็ผสานไปในความมืดโดยสมบูรณ์เหมือนของเหลว
“เจ้าฆ่าศิษย์น้องของข้าทำไม?” ตัวประหลาดผีดิบถามเสียงต่ำอีกครั้ง
หลี่มู่ตอบ “เพราะ…อืม เขาพูดมากเกินไป โหวกเหวกจนข้าปวดหูไปหมด”
หากไม่ใช่ว่าที่นั่นบาดเจ็บล้มตายสาหัสจริงๆ เมื่อได้ยินคำตอบแบบนี้ องครักษ์หญิงเทพทั้งหลายคงเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้ว
“ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”
ในที่สุดตัวประหลาดผีดิบก็ยากจะรับงับโทสะเอาไว้ ร่างแปลงเป็นสายอัสนีพุ่งสังหารมายังหลี่มู่
“มา มาฆ่าข้าสิ”
หลี่มู่ตวัดมือ ดาบโค้งในมือของทหารเผ่ายิงจันทร์ที่ตายไปแล้วลอยมาถึงมือหลี่มู่กลางอากาศ ท่วงท่ารวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เสร็จสิ้นในพริบตา จากนั้นเขาพลิกมือฟันออกไปทันใด แสงดาบเป็นวงกว้างฟาดฟันแหวกท้องฟ้า
ปราณแท้ฟ้าประทานของตัวประหลาดผีดิบหลอมขึ้นเป็นกระบี่เรียวสีฟ้าเย็นเยือกตั้งรับไว้กลางอากาศ กลับถูกพลังอันน่ากลัวฟันกระเด็นร่วงไปอยู่ที่เดิม ส่วนตัวมันถอยหลังติดๆ กันไปสี่ห้าก้าวถึงจะยืนได้มั่น สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ
นี่แหละที่ว่ากันว่าผู้เชี่ยวชาญแค่ลงมือก็รู้ว่ามีดีหรือไม่
ดาบนี้ของหลี่มู่ทำให้ตัวประหลาดผีดิบรู้สึกถึงความกดดัน
แต่ว่าหลี่มู่ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสโจมตีซ้ำเติม
เพราะเส้นไหมบางคมกริบดุจมีดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่ละเส้นๆ เฉือนมาทางเขาอย่างเงียบงันไร้ร่องรอยท่ามกลางฟ้ามืด
หลี่มู่มองเห็นศพของนักรบแห่งที่ราบทุ่งหญ้าที่แหลกเป็นชิ้นไม่เป็นรูปเป็นทรงบนพื้น ก็รู้ว่าเป็นพลังคุกคามจากใยแมงมุมพวกนี้
เขาโยนดาบยาวในมือออกไป
ดาบเหล็กกล้าในมือกลายเป็นเศษเหล็กกลางอากาศ
โอ้โฮ คมจริงแฮะ
หลี่มู่ทอดถอนใจ
จากนั้นเขาไม่ใช่แค่ไม่หลบ แต่กลับเข้าไปใกล้ใยแมงมุมทันที แล้วยกมือคว้ามันกลางอากาศ…
“อย่า…” เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าร้องเตือนอย่างไม่รู้ตัว
“ระวัง” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์และกุนซือของชาวทุ่งหญ้าตกใจหน้าจนเปลี่ยนสี อยากจะเตือนแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
แต่ทว่า สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าไม่ใช่ภาพมือของคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินถูกใยแมงมุมตัดเป็นชิ้นๆ แต่เป็นใยแมงมุมนั่นถูกหลี่มู่คว้าเอาไว้แล้วกระชากเหมือนฝ้ายอ่อนนุ่ม ต่อมาจึงลากร่างละม้ายคนแคระสวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มที่ซ่อนอยู่ในเงาเหมือนปลาแอบอยู่ในน้ำดำมืดออกมา
“เจ้า…” ผู้เฒ่าแมงมุมเขียวร้องตกใจ
เขาตื่นตะลึงถึงขีดสุด
เป็นไปได้อย่างไร?
ใยแมงมุมของตนตัดได้แม้กระทั่งเหล็ก แต่กลับฟันมือของศัตรูจนขาดไม่ได้?
พลังมหาศาลที่น่าสะพรึงกลัวทะลักมาจากใยแมงมุม ทำเอาเขาสูญเสียการควบคุมไปในทันที
“ซนจริงๆ เลยนา อายุปูนนี้แล้วยังจะเล่นซ่อนแอบอีก…ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง” หลี่มู่หยอกล้อ มือก็จับใยแมงมุมเหวี่ยงผู้เฒ่าแมงมุมเขียวไปในอากาศช้าๆ สามสี่รอบเหมือนกับลูกตุ้ม จากนั้นหลี่มู่ก็ปล่อยมือโยนออกไป
โครม
ตึกหินตึกหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปสิบหกจั้งถูกกระแทกพังถล่มลงมาทันที
“ฮ่าๆ สนุกไหมเล่า?” หลี่มู่หัวเราะลั่น
ท่ามกลางฝุ่นตลบจากที่ไกลๆ เสียงโกรธแค้นของผู้เฒ่าแมงมุมเขียวดังขึ้น “เคี้ยกๆ…เจ้าทำให้ข้าสนใจเสียแล้ว วิหารเทพแมงมุมจะไล่สังหารเจ้าทั้งบนฟ้าและใต้ดินไปตลอดกาล…”
หลี่มู่ส่ายหน้า “ตัวร้ายทุกตัวก็มีคำพูดแค่ไม่กี่ประโยคนี้แหละ ช่างเป็นบทสนทนาที่ไร้ประโยชน์เสียจริง”
เขาไม่ไปสนใจอีก แต่สายตาหยุดอยู่ที่ร่างของเทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้า
พูดให้ถูกคือหยุดอยู่ที่ใบหน้าและ…ไหล่ด้านหน้าของเทพธิดาแห่งสงคราม
หลี่มู่คิดอยากจะดูให้ละเอียดอีกที และหาเอกลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับกัวอวี่ชิงจากใบหน้านางเพื่อยืนยันการคาดเดาของตน
แต่ทว่าแววตาแบบนี้ในสายตาของคนอื่น กลับเป็นดูแล้วค่อนข้างโจ่งแจ้งและคุกคาม
หรือคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินจะจับจ้องความงามของธิดาเทพชิงเยียนตาเป็นมันเหมือนกัน?
กุนซือหนุ่มคาดเดาในใจ
ส่วนตัวเทพธิดาสงครามเองคิ้วขมวดมุ่น ในใจเกิดความรู้สึกรังเกียจขึ้นมารางๆ อย่างอดไม่ได้
ตั้งแต่เล็กจนโตถูกสายตาแบบนี้ของคนต่างเพศจ้องมองนับครั้งไม่ถ้วน ผ่านการเข้ามาชวนคุยแบบไม้แข็งหรือไม้อ่อนและความใกล้ชิดมากมาย ทำให้นางยากจะอดทนต่อการจ้องมองแบบนี้
ยามนางขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้และจะเอ่ยปากพูด…
หลี่มู่พลันถามขึ้นว่า “ธิดาเทพชิงเยียนใช่หรือไม่? เจ้ารู้จักคนที่ชื่อกัวอวี่ชิงไหม?”
เทพธิดาแห่งสงครามหน้าเปลี่ยนสีทันควัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดระแวง กล่าวว่า “เจ้า…เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?” แล้วพูดขึ้นอีก “ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่เคยติดต่อกับเขาด้วย…เจ้าถามผิดคนแล้ว”
หลี่มู่เห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง การคาดเดาในใจก็ได้รับการพิสูจน์ไปแล้วกว่าครึ่ง
“เช่นนั้นบางทีเจ้าน่าจะรู้จักธนูคันนี้”
หลี่มู่พูดพลางหยิบ ‘ธนูรั้งจันทรา’ ในมิติเก็บของที่ตนสังเวยเอาไว้ออกมา คันธนูยาวสีเงินขนาดใหญ่ราวกับกิ่งไม้ที่เติบโตตามธรรมชาติ ดูดซับแสงจันทร์จากดวงจันทร์ทั้งสองกลางท้องฟ้า ดุจสายน้ำไหลวนอยู่บนคันศร
“ธนูรั้งจันทรา?!” เทพธิดาสงครามเผลอร้องอย่างตกใจ
สีหน้านายน้อยเผ่ายิงจันทร์และกุนซือของที่ราบทุ่งหญ้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
“ธนูคันนี้…ไปอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร?”
เสียงร้องตกใจดังขึ้นท่ามกลางความมืด
เห็นได้ชัดว่า นักลอบสังหารผู้เฒ่าแมงมุมเขียวที่ท่องอยู่ในเงามืดก็ตกใจกับภาพที่หลี่มู่นำ ‘ธนูรั้งจันทรา’ ออกมาเช่นกัน ธนูคันนี้มีชื่ออย่างมากในที่ราบทุ่งหญ้า เป็นตัวแทนของตำนาน เทพนิยาย และเรื่องต้องห้าม
ถึงแม้ตำนานจะดับสูญไปนานมากแล้ว แต่ก็ยังคงมีตำแหน่งสูงส่งในใจของทหารกล้าแห่งที่ราบทุ่งหญ้ามากมายนับไม่ถ้วน
“ธนู? ถ้าข้าบอกว่าเก็บได้ พวกเจ้าต้องไม่เชื่อแน่” หลี่มู่หัวเราะ
เทพธิดาสงครามแห่งท้องทุ่งหญ้าสีหน้าดุจน้ำค้างเย็นเยียบ “ตกลงได้มาอย่างไรกันแน่? เจ้าของธนูอยู่ที่ไหน?”
ใบหน้าของหลี่มู่ภายใต้หน้ากากแย้มรอยยิ้ม “เจ้าบอกมาก่อนว่าเจ้ารู้จักกับกัวอวี่ชิงหรือไม่ มีความสัมพันธ์อะไรกับเขา?”
เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าพูดอย่างเย็นชา “เจ้าก็เป็นพวกใจทะเยอทะยานละโมบในอาวุธเทพต้องห้ามเช่นกันรึ? ข้าไม่อาจบอกอะไรได้ แล้วก็ไม่เคยพบเขาด้วย เจ้าตัดใจเสียเถอะ”
อะไรกันนี่?
เห็นธนูแล้วยังพูดจาอวดดีแบบนี้อีก?
ไม่น่าเป็นแบบนี้สิ
หลี่มู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พบว่าเรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้
เหมือนว่าจะมีการเข้าใจผิดอะไรอยู่ในเรื่องนี้
เข้าใจผิดบ้าบออะไรกันฮะ
สตรีเหล่านี้สมองมีปัญหาหรืออย่างไร ทำไมเอะอะก็เข้าใจคนอื่นผิด
มิน่าเล่าโลกใบนี้ถึงมีคู่รักชะตาอาภัพอย่างนางพญาผมขาวมากมายขนาดนั้น
หลี่มู่ขี้เกียจจะถามต่อแล้ว
เนตรสวรรค์ใต้หน้ากากเบิกขึ้นและมองผ่านหน้ากากไปทันที ลำแสงเทพพุ่งออกมากวาดไปยังร่างของเทพธิดาแห่งสงคราม ยืนยันอีกครั้งว่าบนไหล่นางมีรอยสักธนูยาวที่คล้ายปีกสยายออกเหมือนกับพี่กัวอวี่ชิงจริงๆ
อีกทั้งสิ่งที่ยิ่งสำคัญขึ้นไปอีกก็คือ ครั้งนี้เขาสัมผัสได้ถึงว่าร่างของเทพธิดาสงครามมีกลิ่นอายของวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ซ่อนเร้นอยู่
น่าจะไม่ผิดแล้ว
เทพธิดาแห่งสงครามผู้นี้ต่อให้ไม่ใช่คนในเผ่าของพี่กัวอวี่ชิง ก็ต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาอย่างมากกับเขาแน่
สายตาของหลี่มู่กวาดไปยังตัวประหลาดผีดิบที่อยากจะสู้กับเขาเต็มทีและผู้เฒ่าแมงมุมเขียวที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด ในใจมีแผนการแล้ว
“วิชาธนูเทพ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ของพี่กัวเยี่ยมยุทธ์ไร้เทียมทาน สาวน้อย วิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ครึ่งๆ กลางๆ ของเจ้าช่างทำให้พี่กัวของข้าขายหน้าเสียจริงๆ มิน่าเล่าถึงได้โดนจับส่งมาที่หน่วยเลี้ยงรับรอง…ดูให้ดีว่าพลังที่แท้จริงของ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ นั้นเป็นอย่างไร”
เมื่อพูดจบ
มือขวาของหลี่มู่ยกคันธนูขึ้น มือซ้ายเหนี่ยวสายธนู แขนทั้งสองเชื่อมต่อ กำลังภายในแผ่ระลอกเป็นคลื่น ก่อนดึง ‘ธนูรั้งจันทรา’ เต็มกำลัง แสงจันทร์บนฟ้าหลั่งไหลมายังคันธนูประหนึ่งสายน้ำ แล้วหลอมเป็นธนูแสงจันทร์ดอกใหญ่ขึ้นดอกหนึ่ง
แสงจันทร์ทั่วฟ้าไหลวนอยู่บนร่างของหลี่มู่
หน้ากากสีเงิน แสงจันทร์สีเงิน ทั้งตัวของเขาเหมือนปกคลุมด้วยพายุหิมะ ราวกับมาจากวังจันทราอย่างไรอย่างนั้น
วิถีของ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ หมุนโคจร และสอดประสานกับ ‘ธนูรั้งจันทรา’ ภายใต้กำลังภายในที่แผ่ระลอก หลี่มู่ไม่แม้แต่จะดูก็ยิงธนูออกไป ลูกธนูแหวกผ่านอากาศราวลำแสง กะพริบวูบแล้วหายวับไป จากนั้นเสียงสายธนูสั่นสะเทือนก็ดังขึ้นในหูของทุกคน
ตาเฒ่าผีดิบก้มมองหน้าอกของตัวเองอย่างตะลึงตาค้าง
รูสีขาวขนาดหนึ่งนิ้วมือทะลวงผ่านร่างของเขา แทงทะลุหัวใจ แล้วหลอมละลายอวัยวะภายในทันที
นั่นคือลูกธนูของธนูเทพรั้งจันทรา
ส่วนเขากลับตั้งตัวไม่ทันเลย
ก่อนหน้านี้ธิดาเทพชิงเยียนก็ได้สำแดงวิชาธนู ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ แล้ว นับว่าคมกริบมากเช่นกัน ถึงกระทั่งทำเขาบาดเจ็บได้ แต่พลังคุกคามด้านในเทียบกับลูกธนูของคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินดอกนี้ไม่ได้เลย
“เจ้า…” ตัวประหลาดผีดิบตื่นตระหนกตกใจ
ดีที่วิชามารไม้เหล็กที่เขาฝึกฝนทำให้ร่างกาย เลือดเนื้อ และกระดูกกลายเป็นเส้นใยทั้งหมด ความรู้สึกเจ็บปวดลดน้อยลง ถึงหัวใจแหลกสลายก็แค่เอาชีวิตเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น หากสมองยังอยู่ก็เท่ากับยังเหลือชีวิตอีกครึ่งหนึ่ง ถึงแม้วิชามารจะถูกทำลาย แต่พลังชีวิตแกร่งกล้ากว่าผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันมากนัก
“อ๊าก ‘สัมผัสจิตดุจธนู’…วิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ฉบับสมบูรณ์ที่แท้จริง สวรรค์ ธนูรั้งจันทราปรากฏในยุทธจักรอีกครั้งแล้ว…” ภายใต้ความสะพรึงกลัวอย่างใหญ่หลวง จะความแค้นของศิษย์น้องหรือคำบัญชาขององค์ชายสองอะไร ก็ล้วนโยนทิ้งไปไกลจนหมดสิ้น เขากรีดร้องพลางหันหลังบินหนีไปไกลโดยไม่สนใจทุกสิ่ง
เทพธิดาสงคราม กุนซือแห่งที่ราบทุ่งหญ้า และนายน้อยเผ่ายิงจันทร์มองหลี่มู่อย่างอึ้งตะลึง เหมือนว่าสูญเสียความสามารถในการพูดไปแล้ว
วิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ที่แท้จริง
วิชาธนูเทพที่หายไปจากที่ราบทุ่งหญ้ามานานหลายปี
พลังเช่นนี้มีเพียง ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ฉบับสมบูรณ์เท่านั้นถึงจะทำได้
โดยเฉพาะเทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้า นางบังเอิญได้เศษเสี้ยววิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ บางส่วนมาจากบิดา ซึ่งช่วยเบิกทางคุณสมบัติของธนูเทพให้ ด้วยเหตุนี้นางจึงมีชื่อเสียงขึ้นมาในที่ราบทุ่งหญ้า…ในบรรดาคนทั้งหมด นางเข้าใจความอัศจรรย์ของหลักการ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ได้ดีที่สุดแล้ว
คนคนนี้ทำไมถึงใช้วิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ฉบับสมบูรณ์ได้?
อีกทั้งดูแล้วเขายังฝึกสำเร็จ สามารถควบคุมธนูรั้งจันทราได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย?
………………