จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 252 ดาบวัฏจักร
“ท่านอาจารย์ ข้าทำให้ท่านต้องขายหน้า”
เฮ่ออวิ๋นเสียงคุกเข่าลงต่อหน้า ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่า ศีรษะแทบจะแนบไปกับพื้น
ส่วนบรรดาจอมยุทธ์สำนักดับนิวรณ์ที่ติดตามเฮ่ออวิ๋นเสียงไปสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ก็ต่างมีสีหน้าตึงเครียดและหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะพ่นลมหายใจ
เรื่องนี้ คนที่ขายหน้าคือจางปู้เหล่า ‘เทพสังหารผมสีชาด’ อย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองฉางอัน ยังไม่ทันจะได้อวดเบ่งอย่างเป็นทางการ ลูกศิษย์ที่ชุบเลี้ยงมาอย่างดีก็ถูกทุบจนสลบต่อหน้าคนมากมาย และโดนรูดทรัพย์จนเกลี้ยง ส่วนยอดฝีมือของสำนักที่ติดตามไปด้วยก็ถูกกระบี่บินถางผม กลางกระหม่อมขาวเป็นกระจุก แม้คนภายนอกหัวเราะเยาะเฮ่ออวิ๋นเสียงก็จริง แต่ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าก็กลายเป็นเรื่องขำขันไปด้วย สำนักดับนิวรณ์ทั้งหมดก็เช่นกัน
“ลุกขึ้นเถอะ” สีหน้าจางปู้เหล่ามีเมตตา
“ลูกเหยี่ยวหัดโบยบิน ต้องร่วงลงมาบ้าง จึงจะรู้ถึงความกว้างใหญ่ของแผ่นฟ้า เจ้าเพิ่งเข้าขั้นฟ้าประทานได้ไม่นาน พลังยังไม่เสถียรพอ ยังขาดประสบการณ์การต่อสู้ แต่กลับเย่อหยิ่งลำพองตน ความพ่ายแพ้นี้จะกลายเป็นเรื่องเตือนใจให้กับเจ้า คราวหน้าคราวหลังก็ระมัดระวังเสียหน่อย จะว่าไปแล้ว หลี่มู่คนนั้น ก่อนหน้าไม่กี่วันเพิ่งจะกำราบสี่ผีดิบแห่งสำนักยมบาล ชื่อเสียงระบือไปทั่ว เจ้าพ่ายแพ้ให้กับเขา ก็ไม่นับว่าไม่เป็นธรรม”
‘เทพสังหารผมสีชาด’ ไม่ได้โมโหเหมือนที่คิดเอาไว้
เมื่อทุกคนได้ยิน ต่างรู้สึกโล่งอกกันถ้วนหน้า
เฮ่ออวิ๋นเสียงลุกขึ้น กล่าวขอบคุณอาจารย์ จากนั้นเอ่ยต่อว่า “หลี่มู่คนนี้สมควรตาย มันแย่งชิงของล้ำค่าที่อาจารย์มอบให้ข้าไปจนหมด…ท่านอาจารย์โปรดจัดการให้ข้าด้วย” เขาเสียดายของล้ำค่าเหล่านั้นมาก
“เมื่อพ่ายแพ้ ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ที่ตามมา” จางปู้เหล่าที่ฝึกฝนมาลึกซึ้ง ยากแท้หยั่งถึง สีหน้าไม่ยินดียินร้าย ท่าทีราวรวมเป็นหนึ่งกับผืนฟ้า เอ่ยขึ้นว่า “สิ่งของที่ถูกคนอื่นช่วงชิงไป เจ้าต้องนำกลับมาด้วยตนเอง อยู่ที่เจ้าแล้วว่าจะมีความสามารถหรือไม่…ส่วนเรื่องเด็กสาวที่ชื่อเหลยอินอิน พวกเจ้าไม่ได้มองผิดใช่ไหม นางมีลักษณะของหลูติ่งชั้นดีจริงหรือ?”
เฮ่ออวิ๋นเสียงตอบกลับ “ไม่ผิดแน่นอนขอรับ เป็นลักษณะเดียวกับหลูติ่งที่บันทึกอยู่ใน ‘คัมภีร์หมื่นโฉมเฉิดฉาย’ ทุกประการ เหล่าศิษย์สำนักทั้งหมดก็เป็นพยานได้”
ผู้แข็งแกร่งสำนักดับนิวรณ์คนอื่นๆ ต่างยืนยัน
“ดี อวิ๋นเสียง เจ้านำ ‘เทียบสังหารผมชาด’ ของข้าไปสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์อีกครั้ง ให้พวกนั้นส่งตัวเด็กสาวนั่นมา” ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าสั่งการ
เฮ่ออวิ๋นเสียงและยอดฝีมือสำนักดับนิวรณ์คนอื่นๆ เปลี่ยนสีหน้าทันที
‘เทียบสังหารผมชาด’?
เมื่อผมสีชาดปรากฏ สยบรอดขัดขืนตายไม่มีอื่น ชั่วเพลาเพียงสามค่ำคืน เลือดหลั่งพื้นนับพันลี้
ในปีนั้น ยามเทียบผมสีชาดปรากฏ เหล่าผู้เรืองอำนาจถึงกับเปลี่ยนท่าที
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางใหญ่แถบชายแดนของแต่ละจักรวรรดิหรือแม้แต่สำนักตรวจการ ต่างให้ความเคารพต่อ ‘เทียบสังหารผมชาด’ อยู่พอสมควร
สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ เมื่ออยู่ต่อหน้า ‘เทพสังหารผมสีชาด’ ก็เหมือนงูน้อยกำลังเผชิญหน้ากับมังกรยักษ์ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ ที่เฮ่ออวิ๋นเสียงกับยอดยุทธ์สำนักดับนิวรณ์บางส่วนบุกไปสำนักเสียงวิหคสวรรค์ ไม่ใช่ความตั้งใจของจางปู้เหล่า หากแต่พวกเขาทำโดยพลการ เฮ่ออวิ๋นเสียงคิดง่ายนัก เขาคิดจะก่อเรื่องในเมืองฉางอันแห่งนี้สักเรื่องเพื่อประกาศตัวตนของตนเอง มิเช่นนั้น วิชาเทพลับที่เขาร่ำเรียนมาจากสำนักดับนิวรณ์จะเผยออกมาได้อย่างไร? ถ้ากลับมาเมืองฉางอันแล้วทำตัวสงบเสงี่ยม ก็เหมือนสวมชุดหรูหราออกไปเดินยามค่ำแต่ไม่มีผู้ชมมิใช่หรือ?
ทว่าตอนนี้ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าออกหน้า ส่ง ‘เทียบสังหารผมชาด’ มาเช่นนี้ นั่นหมายถึงว่านี่คือเจตจำนงของผู้อาวุโสแห่งสำนักดับนิวรณ์
นี่เป็นเหตุการณ์สองอย่างที่มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
……
ในห้องลับฝึกวิชา สีหน้าของหลี่มู่มีความยินดีปรากฏให้เห็น
‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ ลอยอยู่บนศีรษะเขา
พลังธาตุทองสีเงินในนั้น มีเส้นแสงสีเงินบางๆ เหมือนของจริง ราวกับตัวไหมที่ปล่อยเส้นใยยืดยาวออกมาไม่หยุด คล้ายรยางค์หลายเส้นที่กำลังยื่นตรงมาด้านหน้าหลี่มู่ ส่วนปลายสุดของเส้นใยสีเงินนี้ อาวุธประหลาดขนาดใหญ่เล่มหนึ่งที่เป็นดาบก็ไม่ใช่กระบี่ก็ไม่เชิงหมุนและสั่นไหวไม่หยุด กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ขึ้น
มองดูแล้ว เหมือนกับดาบถังขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง
ดาบถังเล่มนี้กำลังดูดซับเส้นพลังสีเงินอย่างไม่หยุด
ขั้นตอนทั้งหมดมองเห็นเหมือนเป็นเส้นพลังซัดโหมอยู่ในตราประทับพลิกนภา กำลังถักทออาวุธรูปร่างพิกลเล่มหนึ่ง
“สำเร็จแล้ว”
หลี่มู่ลืมตาขึ้น อ้าปากออก ตราประทับพลิกนภากลายเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีพุ่งหายเข้าไปในปากของเขา
พลังจิตของผู้ฝึกบำเพ็ญจะรวมอยู่ที่จุดหนีหวานกง หรือก็คือในสมอง
ตราประทับพลิกนภาที่เป็นเครื่องรางเต๋า ปกติจะถูกเพาะบ่มบำรุงอยู่ในทะเลจิตที่จุดหนีหวางกงนี้ โดยใช้พลังจิตวิญยาณคอยบำรุงให้ชุ่มชื้น เมื่อนานวันเข้า ความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องรางเต๋าและเจ้าของก็จะยิ่งใกล้ชิด เมื่อความเข้ากันสูงขึ้น พลังทำลายก็จะยิ่งมากขึ้นเช่นกัน
นี่คือศาสตร์การบำรุงเครื่องรางและอาวุธเต๋าที่หลี่มู่เคยได้ยินมาจากซินแสเฒ่า
ชัดเจนแล้วว่า เมื่อเทียบกับวิธีที่ให้ผู้แข็งแกร่งบนโลกนี้ใช้ค่ายกลดาราง่ายๆ และการตีตราพลังจิตทำสัญลักษณ์ให้ของวิเศษแล้ว วิธีการเช่นนี้เหนือชั้นกว่าหลายขุม
ตราประทับพลิกนภาหายไป ดาบถังขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ค่อยๆ ลดระดับลงจนมาอยู่ในมือของหลี่มู่
มันยาวประมาณเจ็ดฉื่อ กว้างสองฉื่อ ตัวดาบเป็นสีแดงเข้ม ลวดลายด้านนอกหยาบ ประดับด้วยจุดสีเงินและสีเขียวระยิบระยับ สองสีคละปนกันไป มีคมทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งคมกริบบางเฉียบ ตัดขาดกระทั่งเส้นผมที่ปลิวเข้ามา อีกด้านหนาและคม ส่วนยอดเอียงลง คะเนน้ำหนักด้วยมือแล้วน่าจะเกือบหมื่นจิน
อาวุธสังหารที่หนักขนาดนี้ จอมยุทธ์ขั้นรวมกำลังน่าจะยกขึ้นไม่ไหว ส่วนจอมยุทธ์ขั้นรวมจิต ต่อให้ยกขึ้นมาได้ ก็คงไม่สามารถกวัดแกว่งได้ดั่งใจ
หลี่มู่จับไว้ด้วยมือเดียว แล้วโบกแกว่งช้าๆ
น้ำหนักเท่านี้ สำหรับเขาเบาราวกับต้นหญ้าเลยทีเดียว
“ดาบเล่มนี้ถือเป็นต้นแบบดาบของข้า หึๆ ตั้งชื่อเก๋ไก๋ให้เสียหน่อย เรียกว่า…ดาบวัฏจักรก็แล้วกัน”
เขาพึมพำกับตนเอง
ดาบวัฏจักร เป็นอาวุธซึ่งเขาใช้พลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ขึ้นรูป หลอมตีขึ้นมา ในช่วงเวลาตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน
ตัวดาบคือใบดาบสีเลือดที่ชิงมาจาก ‘หนึ่งดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวในวันนั้น จากนั้นเขานำกระบี่เหยี่ยวถลาลมมาทุบจนละเอียด และผสมรวมเข้าไปตรงๆ พวกหินแร่กับสิ่งที่เป็นโลหะต่างๆ ซึ่งยึดมาได้จากฉู่หนานเทียนและเฮ่ออวิ๋นเสียง ก็ใส่ผสมเข้าไปด้วย
พลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่ง บวกเข้ากับไอเหล็กจากธาตุทองใน ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภาธาตุ’ เมื่อผสมผสานวัตถุดิบเหล่านี้ ถึงได้เกิดเป็นรูปร่างดังที่เห็นในปัจจุบัน
ระหว่างที่สร้างนั้น หลี่มู่พบว่า ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ เป็นของวิเศษที่มหัศจรรย์มาก
ในช่วงต้นที่เริ่มตีดาบวัฏจักร หลี่มู่ต้องการเพียงยืมพลังเต๋าธาตุทองใน ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ มาเพิ่มความแหลมคมให้กับ ‘ดาบวัฏจักร’ แต่ต่อมา เขาพบว่าหากใช้ ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ ในด้านสร้างอาวุธ จะมีบทบาทช่วยเหลือที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง พลังธาตุไฟในนั้นสามารถนำมาหลอม ขึ้นรูป และสกัดตี ส่วนพลังธาตุทองนำมาควบคุมการผสมผสานของโลหะ และเพิ่มความแหลมคมได้…
หรือก็คือเพราะประโยชน์ที่ได้จาก ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ หลี่มู่จึงใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนตี ‘ดาบวัฏจักร’ ขึ้นมาได้นั่นเอง
แน่นอนว่า ‘ดาบวัฏจักร’ ในตอนนี้เป็นเพียงแค่ต้นแบบของตัวต้นแบบเท่านั้น
สิ่งถัดมาที่หลี่มู่จะทำ ก็คือการสลักเสลาค่ายกลวิชาเต๋าต่างๆ ลงไปในดาบวัฏจักร เพื่อเพิ่มความทรหดแข็งแกร่ง และสามารถใช้เป็นดาบเหินหาวได้เช่นกระบี่เหยี่ยวถลาลม
……
ปลายฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้เหี่ยวเฉาร่วงโรย
ช่วงที่อาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ในชุมชนคนยากจนด้านตะวันตกของเมือง ควันไฟจากครัวลอยสูง เสียงเด็กน้อยเอะอะเจื้อยแจ้วไม่หยุด หมาแมวส่งเสียงร้อง อากาศเริ่มหนาวเย็นแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นมีลูกเห็บตกหิมะลง ทั้งชุมชนแห่งนี้จึงแค่รู้สึกเย็นๆ เท่านั้น ยังคงมีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นอยู่
บนใบหน้าของเหลยอินอิน คราบน้ำตายังไม่เหือดหาย
นางก้มหน้าต่ำ สวมชุดเก่ามอซอมีรอยปะทั่วที่ใส่มากว่าร้อยรอบ สวมรองเท้าฟาง แบกผ้าห่อสัมภาระใบหนึ่ง เดินเรื่อยมาจนถึงถนนที่อยู่ห่างจากตนไม่มากนักด้วยสีหน้านิ่งสงบ
นางยืนเลื่อนลอยอยู่ที่เดิมประมาณหนึ่งก้านธูป จากนั้นจึงถอนหายใจยาวออกมา
นางถูใบหน้าของตนเอง เช็ดคราบน้ำตาออก พยายามปั้นหน้าฝืนยิ้ม
ท่าทีของนางพลันเปลี่ยนไป รอยยิ้มสดใสกลับมาบนใบหน้า ท่าทางเหมือนสบายดียิ่ง ก่อนจะกระโดดโลดเต้นเข้าไปยังถนนที่คุ้นเคย ระหว่างทาง นางยังทักทายกับเพื่อนบ้านที่รู้จักมักจี่กัน พลางเหยียบหินรองเท้าบนกองเลน เดินทะลุผ่านตรอกซอกซอยหลายสาย จนกลับมาถึงบ้านของตน
บ้านกำแพงดินเตี้ยๆ กินพื้นที่ไม่มากนักหลังหนึ่ง
ด้านในมีสองห้องดิน สามห้องมุงหญ้าคา บ่อน้ำหนึ่งบ่อ เล้าไก่มีไก่ตัวผู้สองตัว ตัวเมียหกตัว สุนัขสีน้ำตาลตัวหนึ่งนอนขี้เกียจอยู่ตรงประตูเล้าไก่ รอบๆ รายล้อมด้วยลูกสุนัขที่เพิ่งอายุเต็มเดือนสองตัว กำลังมองดูโลกใบนี้ด้วยอาการสะลึมสะลือ
“เสี่ยวอิน?” หญิงสาวอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกคนหนึ่งกำลังโบกไม้ซักผ้าอยู่ข้างบ่อน้ำในลานบ้าน หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ผมยาวสีดำขลับเปียกชุ่มแนบอยู่ข้างแก้ม เมื่อเห็นเหลยอินอินเข้ามา ก็ยิ้มแย้มทักขึ้นอย่างตกใจ “วันนี้สำนักบัณฑิตไม่ได้หยุดนี่ เหตุใดเจ้ากลับมาแล้ว?”
“พี่สะใภ้ ข้าคิดถึงท่านกับเยวี่ยเยวี่ยน่ะ เลยกลับมาหา” เหลยอินอินส่งเสียงจุปาก เข้าไปอุ้มเด็กน้อยที่กำลังหยอกกับแม่สุนัขที่ประตูเล้าไก่ขึ้นมา ก่อนหอมไปทีหนึ่งโดยไม่สนว่าใบหน้าของเด็กน้อยจะเปื้อนดินหรือไม่ แล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเยวี่ยเยวี่ย ทักอาหรือยัง”
“สวัสดีท่านอา” เด็กน้อยแข็งแรง ตอบกลับมาอย่างไร้เดียงสา
เหลยอินอินยิ้มขึ้น จากนั้นหยิบลูกกวาดสองสามเม็ดออกมาจากหน้าอก และเอ่ยต่อว่า “เยวี่ยเยวี่ยเด็กดี อาให้ลูกกวาดนะ”
“ขอบคุณท่านอา”
“คิดถึงอารึไม่?”
“คิดถึง”
“น่ารักจริงๆ” เหลยอินอินหอมเด็กน้อยแรงๆ อีกทีหนึ่ง จากนั้นหันไปหาพี่สะใภ้ “พี่สะใภ้ พี่ชายข้าล่ะ?”
“พี่ชายเจ้าวันนี้ออกไปถ่ายสินค้าส่วนหนึ่งน่ะ ไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ดูจากเวลา เดี๋ยวก็คงกลับมาแล้ว” รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวถือว่าธรรมดา นางเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากออก กล่าวต่อว่า “เจ้าเล่นกับเยวี่ยเยวี่ยไปก่อนแล้วกัน ข้าซักผ้าเสร็จส่งให้ข้างบ้านแล้ว เดี๋ยวจะเก็บของทำกับข้าว คืนนี้กินข้าวที่บ้านเถอะ”
“พี่สะใภ้ ลำบากท่านแล้วจริงๆ ให้ข้าเป็นคนทำกับข้าวแทนแล้วกัน ตอนขามา ข้าซื้อเนื้อมาหนึ่งจินด้วยนะ วันนี้กินกันดีหน่อย” เหลยอินอินยิ้มกว้าง
“จริงๆ เลย ใช้จ่ายสิ้นเปลืองแล้ว” พี่สะใภ้เอ่ยอย่างปวดใจนิดๆ “เนื้อนี่แพงอยู่นา เจ้าน่าจะเก็บไว้ใช้ตอนเรียนที่สำนักมากกว่า”
“ไม่เป็นไร” เหลยอินอินยิ้ม วางเสี่ยวเยวี่ยเยวี่ยลงที่หน้าประตู จากนั้นหิ้วถุงสัมภาระที่สะพายมาเดินไปยังห้องด้านตะวันตกของบ้านดินสองห้องแห่งนี้ ที่นี่คือห้องครัว
…………………