จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 277 ถ่ายทอดวิชา • จ้าวอวี่
หลี่มู่กระโดดหนีอย่างบ้าคลั่งราวกระต่ายตามนั้นจริง
ตอนนี้ไม่หนี สมองก็มีปัญหาแล้ว
ถึงแม้เขาจะโอหังอวดดีชอบเด่นออกนอกหน้า แต่ไม่มีทางวางท่าจนกลายเป็นไอ้โง่ คิดว่าตัวเองในตอนนี้สู้หนึ่งต่อห้าได้
อย่างไรเสีย จุดประสงค์ที่จะฝึกฝนก็บรรลุแล้ว
ทิศทางที่หลี่มู่หนีไป คือหอบวงสรวงของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุที่หลี่กังอยู่
ในตอนนี้ เจ้าเมืองชายชั่วเป็นขาข้างที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฉางอัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลย
และเวลาเดียวกัน หลังจากองค์ชายสองที่อยู่บนหอสูงเห็นทิศทางที่หลี่มู่หนี ใจก็กระตุกวูบ เอ่ยปากห้ามผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั้งห้าไม่ให้สังหารหลี่มู่
หลี่มู่หลุดพ้นจากสนามรบไปได้อย่างราบรื่น
“ใต้เท่าหลี่ ท่าน…” หลี่มู่มาถึงใกล้ๆ เมื่อเห็นหลี่กังท่าทางได้รับบาดเจ็บ ใจก็เย็นวาบ
ไม่จริงน่า ขาใหญ่ที่จะเกาะก็บาดเจ็บด้วย?
ก่อนหน้านี้เขาสู้กับขั้นเหนือมนุษย์ทั้งห้าอย่างดุเดือด จึงไม่ได้สนใจสถานการณ์ต่อสู้ด้านนี้
หลี่กังมองหลี่มู่แวบหนึ่ง คิ้วขมวดเล็กน้อย “อย่าลืมเรื่องที่เจ้ารับปากข้าวันนั้น” วันนั้นที่พบกันในที่ว่าการประจำเมือง หลี่กังพูดอย่างน่าตกใจว่าเขาจะสังหารองค์ชายองค์หนึ่ง ดังนั้นจึงอยากจะพบสำนักเบื้องหลังหลี่มู่เพื่อร่วมมือกันวางแผน แต่ความหมายของคำที่หลี่มู่กล่าวคือ เขามีสิทธิ์เด็ดขาดเป็นตัวแทนของอาจารย์ได้
หลี่มู่ยิ้มขื่นพลางนวดหว่างคิ้ว “อ่า อันที่จริงวันนั้นข้าล่อเล่นน่ะ”
ขาใหญ่นะขาใหญ่ ท่านคงไม่ได้มีไพ่ตายแค่นี้หรอกกระมัง?
ฝากความหวังไว้กับสำนักที่เลือนรางไม่มีตัวตนแบบนี้ ไม่น่าใช่รูปแบบการลงมือของท่านเลยนะ
หลี่กังเกือบกระอักเลือด
แทบจะหลุดปากออกมาว่า ‘เจ้าลูกเวร’
“แค่กๆ…” ‘พิชิตจักรวาล’ เฉาปิ่งเหยียนที่ร่างครึ่งหนึ่งรางเลือนปีนออกมาจากกองหินไกลออกไปอย่างอ่อนล้า จากนั้นกระอักเลือด แววตาซับซ้อน
เขากำลังจะตายแล้ว
ต่อให้ฝึกฝนอย่างลำบากมาหลายปี โยนศักดิ์ศรีทิ้งไป ใช้วิชามารฝึกฝนกระบี่ทางช้างเผือก ได้รับทรัพยากรและวิชาจากการเป็นสุนัขรับใช้ของราชวงศ์ ลำบากมายี่สิบเอ็ดปี ถึงตอนสุดท้ายเขาก็ไม่ใช่คู่มือของหลี่กังอยู่ดี ถึงแม้จะลอบโจมตีหลี่กังโดยการช่วยเหลือจากองค์ชายสอง ก็ยังสังหารอีกฝ่ายไม่ได้
ทว่าถึงอย่างไร ‘กระบี่เซียนธุลีแดง’ ก็ใกล้จะถูกลบทิ้งไปแล้ว
เหตุการณ์สังหารครั้งนี้วางแผนมาหลายปี องค์ชายสองแม้แต่พระราชโองการก็ยังเอามาด้วย หลี่กังแดดิ้นแน่นอน
ที่น่าเสียดายคือไม่ได้ตายด้วยน้ำมือเขา
ความแค้นที่อัดอั้นมานานยี่สิบเอ็ดปีนี้ สุดท้ายก็ไม่ได้ระบายออกมา
คนใกล้ตายคำพูดจาล้วนดี นกใกล้ตายเสียงร้องเศร้าระทม
ความลำบากและพายุลมฝนตลอดยี่สิบเอ็ดปีสลายหายไปในชั่วขณะนี้ สายตาของเฉาปิ่งเหยียนหยุดอยู่ที่ร่างของหลี่กัง จากนั้นก็มองไปยังหลี่มู่…วันวานที่ผ่านมา เขาติดตามอยู่ข้างกายองค์ชายสอง ข่าวสารข้อมูลแม่นยำ ย่อมต้องรู้เรื่องราวของหลี่มู่ และรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นบุตรชายของหลี่กังศัตรูคู่อาฆาตตน
บุตรชายที่ถูกทอดทิ้ง
บุตรชายที่ดีขนาดนี้ กลับถูกหลี่กังทอดทิ้ง
ตอนนี้ในใจของหลี่กังจะต้องนึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งแน่นอน แต่ด้วยนิสัยหยิ่งทะนงของ ‘กระบี่เซียนธุลีแดง’ คนนี้ ไม่ว่าจะเสียใจเพียงใด เขาต้องไม่มีทางยอมรับเป็นแน่
“แค่กๆๆ…” เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉาปิ่งเหยียนก็พลันหัวเราะอย่างเบิกบาน
กระทั่งว่า ในหัวของเขามีความคิดที่หลุดโลกผุดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
“มรดกกระบี่ทางช้างเผือกจะสิ้นสุดไม่ได้ ข้าต้องการผู้สืบทอด…” เขากระอักเลือดออกมา กลางฝ่ามือมีแสงดาวกลุ่มหนึ่งแผ่ระลอกออกมา พร่างพราวเด่นตา ราวกับดวงดาวที่ร่วงหล่นลงบนโลกมนุษย์ มันกะพริบวูบพลางพุ่งไปยังหว่างคิ้วหลี่มู่
อะไรน่ะ?
หลี่มู่ตกใจ
เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของเฉาปิ่งเหยียน ต่อให้ใกล้ตายก็น่ากลัวอย่างมาก น่ากลัวกว่ามู่ชิงและนักพรตคิ้วยาวพวกนั้นนัก ดังนั้นปฏิกิริยาแรกที่มีคือ หรือว่าเจ้านี่สู้ชายชั่วเจ้าเมืองไม่ได้เลยคิดจะลอบโจมตีตน?
แต่เมื่อพลังจิตวิญญาณกวาดผ่าน กลับพบว่าในประกายดาราพร่างพราวไม่มีจิตสังหารใดๆ ทว่าแฝงด้วยคลื่นจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งที่เหมือนเจตนารมณ์สูงสุดของแก่นแท้วิถียุทธ์ เนตรสวรรค์แค่กวาดมองก็เข้าใจแล้ว
บ้าน่า ขันทีแก่นี่สมองมีปัญหาหรือ?
ถ่ายทอดวิชา?
ถ่ายทอดให้กับ…เอ่อ ลูกที่ถูกทอดทิ้งของศัตรูตัวเอง?
เขาคงไม่ได้เกิดอาการสต็อกโฮล์ม ซินโดรมหรอกใช่ไหม?
หลี่มู่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะใช้พลังจิตวิญญาณห่อหุ้มแสงดารากลุ่มนี้และเก็บเอาไว้ใน ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ ที่ลับตาที่สุด เขาต้องระวังรอบคอบสักหน่อย เผื่อว่าเฉาปิ่งเหยียนหลอกเอา ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ยามเล่นเล่ห์ขึ้นมาจะป้องกันกันไม่หวาดไม่ไหว
หลี่กังที่อยู่ข้างๆ มองเฉาปิ่งเหยียนด้วยใบหน้าที่ซับซ้อนแวบหนึ่ง ไม่ได้ห้าม และก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
เขากลับเข้าใจความคิดของเฉาปิ่งเหยียน
ยี่สิบเอ็ดปีก่อน การสอบเคอจวี่ที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ครั้งนั้น มีกี่คนที่รู้ว่าเบื้องหลังการปรากฏตัวของเหล่าอัจฉริยะ คือการก้าวเข้าสู่โลกของสำนักโบราณต่างๆ ในยุคที่ฟ้าดินฟื้นฟู ไม่ใช่แค่ฉินตะวันตก ซ่งเหนือ และฉู่ใต้เท่านั้นที่มีคนมากความสามารถปรากฏขึ้นไม่ขาดสาย คนหนุ่มสาวที่โดดเด่นเจิดจ้าแต่ละคน เบื้องหลังเป็นตัวแทนของขั้วอำนาจเก่าแห่งใดบ้าง ใครจะบอกได้แน่ชัดกันเล่า?
‘พิชิตจักรวาล’ เฉาปิ่งเหยียน คือผู้สืบทอดคนปัจจุบันซึ่งสำนักโบราณกระบี่ทางช้างเผือกที่เผยตัวสู่ภายนอกอีกครั้งหลังห่างหายไปพันปีสั่งสอนอบรมมา และเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว
น่าเสียดาย คนคนนี้ทนรับความล้มเหลวไม่ได้ สุดท้ายจึงเลือกทางเดินที่ผิด
บางทีก่อนตายอาจจะสำนึกขึ้นก็ได้กระมัง องค์ชายสอง…หรืออาจเรียกว่าขั้วอำนาจราชนิกุลที่เขาอยู่ด้วย ทำกับเขาเหมือนสุนัขรับใช้เท่านั้น มิฉะนั้นคงไม่ถึงขั้นยังส่งเฉาปิ่งเหยียนเป็นหน่วยกล้าตายมาทดสอบไพ่ตายเช่นนี้ ทั้งๆ ที่มีพระราชโองการอยู่ในมือ เฉาปิ่งเหยียนตายไป สำนักกระบี่โบราณทางช้างเผือกคงต้องไร้ผู้สืบทอดอย่างสมบูรณ์แล้ว
ส่วนองค์ชายสองที่อยู่ไกลๆ เห็นฉากนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร
มรดกสำนักกระบี่ทางช้างเผือกเย้ายวนใจก็จริง ทว่าถึงอย่างไรเฉาปิ่งเหยียนก็อยู่จุดสูงสุดของขั้นเหนือมนุษย์ มรดกสืบทอดแฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณของเขา หากเขาไม่ยินยอม ชิงแสงดารากลุ่มนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ รังแต่จะทำให้วิชาสำนักกระบี่ทางช้างเผือกสลายไปเท่านั้น มิสู้ให้หลี่มู่นกในกรงตัวนี้รับมรดกวิชาไป จากนั้นถึงเวลาค่อยบีบถามทีละนิด
“พิชิตจักวาลสามหมื่นลี้ หนึ่งกระบี่ฟาดฟันสิบเก้าทวีป ฮ่าๆๆๆ…” เฉาปิ่งเหยียนหัวเราะลั่น เขาลุกขึ้นมา ร่างกายเหยียดตรง กายเลือนรางลงไปเรื่อยๆ ประหนึ่งมีแปรงลบกระดานดำที่ไร้รูปร่างกำลังลบร่างของเขาไปจากโลกนี้อย่างไรอย่างนั้น ภาพวูบไหวรางเลือน แต่ร่างยังยืนเหยียดตรง “หลี่กัง ผู้สืบทอดของข้าจะต้องเหนือกว่าเจ้า การต่อสู้ของกระบี่ธุลีแดงและกระบี่ทางช้างเผือกจะไม่มีทางจบลงเช่นนี้…”
พูดจบ ร่างของเขาก็มลายหายไปจากโลกอย่างสมบูรณ์
หลี่มู่ไร้ซึ่งคำพูด
ขันทีเฒ่านี่สมองมีปัญหาแน่ๆ
เหนือกว่าบ้าอะไรกัน ไม่เห็นหรือว่าในสถานการณ์ตอนนี้องค์ชายสองจอมวางมาดกำลังได้เปรียบอยู่
เจ้าหาผู้สืบทอดเอิกเกริกแบบนี้ เท่ากับหาเรื่องมาให้กันไม่ใช่หรือไง?
ถ้าข้าหนีไม่พ้นเล่า?
เขามองไปยังราชโองการสีเหลืองสว่างที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าฉบับนั้น สัมผัสได้ถึงพลังและความกดดันที่นำมาให้ ในใจก็ช่างน้ำหนักไปพลาง หากกระตุ้น ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ จะต้านทานพระราชโองการฉบับนี้ได้หรือไม่
ตอนนี้ ในใจของหลี่มู่ตีกลองถอยทัพแล้ว
หากเจ้าเมืองชายชั่วขาใหญ่ข้างนี้ต้านทานไว้ไม่อยู่ อีกประเดี๋ยวหาจังหวะรีบหนีก่อนก็แล้วกัน พาหนีได้กี่คนก็พาหนีไปเท่านั้น
“หลี่กัง จนตรอกแล้วยังไม่ยอมรับโทษอีกรึ?”
องค์ชายสองก้าวออกมาจากหอสูง ก้มมองลงมาจากเบื้องบน ท่าทางมั่นใจเหมือนกุมทุกอย่างไว้ในกำมือแล้ว
ขั้นเหนือมนุษย์ทั้งห้าที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา พลังก็ฟื้นฟูกลับมาแล้ว ไม่ถูก ‘กระจกสยบฟ้า’ สะกดพลังอีกต่อไป
พระราชโองการอยู่เหนือทุกสิ่ง ข้อได้เปรียบอยู่ในมือ
ต่อให้ลำแสงสีน้ำเงินเข้มประหลาดเมื่อครู่เผยออกมาอีกครั้ง เขาก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย
หลี่กังหยุดโคจรพลังรักษาอาการบาดเจ็บ สีหน้ากลับเป็นปกติ จากนั้นเงยหน้ามองหอที่อยู่ห่างออกไปไกล เอ่ยราบเรียบว่า “ข้าไม่มีความผิด”
“ฮ่าๆๆๆ” องค์ชายสองหัวเราะลั่น “มีโทษหรือไร้โทษ เจ้าพูดก็ไม่มีความหมาย ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจักรพรรดิสั่งให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตาย แต่ข้าไม่ใช่จักรพรรดิ ดังนั้นเจ้าจะไม่ตายไม่ใช่รึ ตอนนี้พระราชโองการขององค์จักรพรรดิอยู่เหนือทุกสิ่ง เจ้ายังจะพูดอะไรอีก? สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เล่นลิ้นไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าก็ถือเป็นชั้นหัวกะทิคนหนึ่ง ข้าจะให้เจ้าตายอย่างมีศักดิ์ศรีก็ได้…เจ้าฆ่าตัวตายเสียเถอะ”
หลี่กังหัวเราะเสียงเรียบ “ก็แค่พระราชโองการปลอม…องค์ชายถ่ายทอดพระราชโองการปลอม รู้หรือไม่ว่าเป็นโทษประหาร?”
องค์ชายสองได้ยินดังนั้น คิ้วกระบี่ก็ขมวดมุ่น กล่าวเสียงเย็นว่า “ท่าทางใต้เท้าหลี่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”
หลี่มู่ฟังอยู่ข้างๆ แล้ว รู้สึกว่าช่างเป็นบทสนทนาที่ไร้ซึ่งคุณประโยชน์เสียจริงๆ
วันนี้แต่เดิมเขามาหาองค์ชายสองอย่างดุดันด้วยหมายจะล้างแค้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนชายชั่วขาข้างนี้จะไม่ใหญ่พอให้เกาะอีก ถึงแม้หลี่มู่จะมีกลวิชาเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง แต่…ใจเขาก็ยังขบคิดว่าอีกเดี๋ยวจะรับมืออย่างไร พอหันไปมองสายตาก็จ้องอยู่ที่ร่างของชายหนุ่มชุดขาวปิดหน้า จึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาบุ้ยปากเอ่ยเสียงซุบซิบ “นี่…นี่ๆ…เฮ้ย ใช่ เจ้านั่นแหละ เจ้าชื่ออะไร?”
หนุ่มคนนี้เป็นอัจฉริยะสายต่อสู้นี่
หลี่มู่รู้สึกได้ตามสัญชาตญาณว่าควรจะผูกสัมพันธ์กับเขาไว้
อย่างไรเสีย กับคนอัจฉริยะคบค้าผูกมิตรเอาไว้ก็ดีกว่าสร้างศัตรู ไม่เห็นหรือว่าโอตาคุชายหญิงหลายคนบนโลกล้วนจินตนาการเรื่องย้อนเวลากลับไปเลี้ยงข้าวหม่าอวิ๋นกับหม่าฮว่าเถิง[1]สักมื้อเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว…เหตุผลก็เหมือนกันนั่นแหละ
ชายหนุ่มบาดเจ็บไม่น้อย เลือดที่ไหล่เพิ่งหยุด
ครั้นเห็นหลี่มู่ทำหน้าทำตา เดิมทีเขาไม่อยากจะสนใจ แต่ถึงอย่างไรหลี่มู่ก็ช่วยเขามาสองครั้ง ดังนั้นจึงส่งกระแสจิตไปอย่างจำใจและระมัดระวัง “จ้าวอวี่”
หลี่มู่ได้ยินแล้วรู้สึกว่าเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหน
พอคิดให้ละเอียด ราชาปีศาจหลี่ก็ตบเข่าฉาด กระจ่างแจ้งทันที “อ้อ ข้านึกออกแล้ว ผู้หญิงหยิ่งยโสที่ข้ารับมาเป็นสาวใช้ในที่ว่าการคนนั้นชื่อจ้าวหลิง มีพี่ชายที่ว่ากันว่าเป็นอัจฉริยะชื่อจ้าวอวี่ อัจฉริยะอันดับหนึ่งในรุ่นของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คือเจ้าใช่หรือไม่?”
ชายหนุ่มชุดขาวอำพรางหน้านิ่งอึ้ง หน้าเขียวคล้ำขึ้นทันที
เขาลำบากลำบนปิดหน้าปิดตา ยามสู้จะไม่เผยที่มาของตัวเองโดยเด็ดขาด เหตุผลเพียงข้อเดียวที่ยามใกล้ตายก็เตรียมจะทำลายรูปลักษณ์ของตน คือเพื่อไม่ให้พวกองค์ชายสองรู้ชาติกำเนิดที่มาที่ไปของตน หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองนำหายนะไปสู่สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์หรอกหรือ ผลสุดท้ายหลี่มู่กลับเรียกออกมาแบบนี้…
เสี้ยวขณะนี้ เขาอยากจะพุ่งไปกัดหลี่มู่ให้ตายนัก
เมื่อเผชิญกับสายตาเคียดแค้นของจ้าวอวี่ หลี่มู่กลับเอ่ยอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว “ได้ยินผู้หญิงอวดดีคนนั้นบอกว่า เจ้าเกิดมาก็เป็นอัจฉริยะกระบี่อะไรนั่น พรสวรรค์ไม่มีใครเทียมทาน…”
เจ้าสิถึงจะเป็นคนสารเลว[2]
จ้าวอวี่รู้สึกว่าลำพังแค่สองประโยคนี้ของหลี่มู่ ก็ลบล้างบุญคุณที่ช่วยชีวิตสองครั้งไปแล้ว
“หุบปาก” จ้าวอวี่พูด
หลี่มู่อึ้งไป ตอนนี้ถึงค่อยนึกอะไรขึ้นได้
เขาตบหน้าผากตัวเอง ก่อนกล่าวขอโทษขอโพย “เอ่อ ขอโทษที เปิดเผยสำนักของเจ้าไปเสียแล้ว เอ่อ แต่อย่างไรเสียก็เปิดเผยแล้ว เจ้าถอดผ้าปิดหน้าหายใจเถอะ ปิดหน้าปิดตาพูดลำบากจะตายไป ไม่ใช่ว่าข้าว่าอะไรเจ้าหรอกนะ แต่ผ้าโพกหน้าสู้หน้ากากไม่ได้ ข้ารู้จักร้านทำเครื่องไม้เครื่องมือในเมืองฉางอันร้านหนึ่ง ฝีมือประณีตทีเดียว เชี่ยวชาญด้านทำหน้ากากโดยเฉพาะ ราคาก็ยุติธรรม ซื่อสัตย์จริงใจไม่หลอกแม้แต่เด็กหรือคนแก่…”
ยามนี้จ้าวอวี่เชื่อคำบอกเล่าของพวกศิษย์น้องแล้ว
หลี่มู่คนนี้เป็นมารร้าย
และในระหว่างที่หลี่มู่เล่นตลกอยู่แบบนี้ สถานการณ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
………………………………
[1] หม่าอวิ๋นหรือแจ็กหม่าคือผู้ก่อตั้งอะลีบาบากรุ๊ป ส่วนหม่าฮว่าเถิงคือผู้ก่อตั้งบริษัทเทนเซ็นต์
[2] คำที่สื่อความหมายว่าอัจฉริยะกระบี่มีหลายคำในภาษาจีน แต่ในที่นี้ หลี่มู่จงใจใช้คำที่พ้องเสียงกับคำว่า ‘สารเลว’ เพื่อเป็นการกวนประสาท