จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 284 เส้นทางสายสนับสนุน
ยังดีที่เป็นแค่กระต่ายตื่นตูม
ดวงตาของท่านแม่หลี่แค่ฟื้นคืนกลับมาส่วนหนึ่ง อยู่ในระดับที่ฝืนมองเห็นวัตถุได้ แต่หากจะให้ฟื้นคืนกลับมาสมบูรณ์ ยังคงต้องใช้เวลารักษาอีกระยะหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น แปดปีนี้นางไม่ได้เจอกับหลี่มู่เลย หลี่มู่ที่ออกจากบ้านไปปีนั้นยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อย ตอนนี้ผ่านไปแปดปีแล้ว รูปลักษณ์เปลี่ยนไปมาก ความจริงท่านแม่หลี่ก็จำไม่ได้อยู่ดี
เฝิงหยวนซิงจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับไว้เรียบร้อยแล้ว
เขารู้ว่าหลี่มู่ไม่ชอบงานเอิกเกริก จึงจัดเป็นงานเลี้ยงภายในขนาดเล็กเท่านั้น คนที่มาร่วมงานต่างเป็นคนที่คุ้นเคยกัน เช่นหม่าจวินอู่ เจินเหมิ่ง และยังมีพวกขุนนางในอำเภอสองสามคนที่ช่วงนี้ทำงานกันขยันขันแข็ง ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เฝิงหยวนซิงพาพวกเขามาพบนายใหญ่หลี่มู่ ก็ถือว่าเป็นรางวัลอย่างหนึ่งด้วยกระมัง
ภายในงานเลี้ยง ซ่างกวนอวี่ถิงปรากฏตัวขึ้น นั่งอยู่ด้านขวามือของหลี่มู่
ในใจของพวกเฝิงหยวนซิงต่างคิดกันไปว่า สาวงามราวกับเทพธิดาจากดวงจันทร์คนนี้น่าจะได้เป็นฮูหยินใหญ่ของอำเภอในวันหน้า หลี่มู่ปีนี้ก็อายุสิบห้า หากว่ากันตามกฎหมายของจักรวรรดิฉินตะวันตก ก็ถึงอายุที่ตบแต่งหญิงสาวมาเป็นภรรยาได้แล้ว
บนแผ่นดินใหญ่เสินโจว จำนวนประชากรเป็นมาตรฐานที่สำคัญในการพิจารณากำลังของจักรวรรดิ
ในโลกจอมยุทธ์ การเปรียบเทียบกำลังระหว่างจักรวรรดิ ยังเหมือนกับระบบสังคมศักดินาในสมัยโบราณของประเทศจีน คนเยอะกำลังก็มาก ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงแต่ฉินตะวันตก ซ่งเหนือ และฉู่ใต้ แม้กระทั่งพื้นที่แดนเถื่อนอื่นๆ ก็ล้วนมีกฎหมายที่สัมพันธ์กันเพื่อรับรองการเกิดของประชากร ในจักรวรรดิฉินตะวันตกนี้มีกฎอยู่ข้อหนึ่ง เข้าใจง่ายๆ ก็คือ หากชายอายุสิบหกไม่แต่งงาน บิดามารดาถือว่ามีความผิด หญิงอายุสิบห้าไม่ออกเรือน บิดามารดาก็ถือว่ามีความผิด
ดังนั้นหากว่าตามความคิดของพวกเฝิงหยวนซิง สถานการณ์ในอำเภอค่อนข้างสงบแล้วในตอนนี้ งานมงคลของใต้เท้าขุนนางเมืองก็น่าจะถึงเวลาแล้วเช่นกัน
หลี่มู่อยู่ในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ ก็เหมือนชายโสดที่มีเงินทองอย่างแท้จริง มีบรรดาเศรษฐีพ่อค้าและตระกูลใหญ่ไม่น้อยถูกตาต้องใจ คิดอยากจะส่งบุตรสาวเข้ามา ต่อให้ไม่ได้ตำแหน่งภรรยาเอก เป็นแค่อนุภรรยาก็ยังดี
แต่ดูจากตอนนี้ ใต้เท้าขุนนางเมืองกลับมาจากฉางอัน ได้พาบรรดาสาวน้อยที่งามราวนางสวรรค์กลับมาด้วยอีกกลุ่ม บรรดาคุณหนูตระกูลพ่อค้าคหบดีพวกนั้นก็ต้องชวดกันไป
นับแต่หลี่มู่จากอำเภอขาวพิสุทธิ์ไป ระยะเวลาก็ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว
หลี่มู่นั่งตำแหน่งประธาน กวาดสายตามองผู้คนมากมายที่นี่ ในใจก็อดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้
เพียงไม่นาน เขาก็มาที่โลกใบนี้ครึ่งปีกว่าแล้ว ได้รู้จักผู้คนมากมาย ได้รู้เรื่องราวต่างๆ มากขึ้น เรื่องที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด ก็คือพลังฝึกของเขาพัฒนาไปได้เร็วกว่าที่คิดไว้ในตอนแรกมาก โดยเฉพาะช่วงที่ปิดด่านฝึกวิชาสิบห้าวันในเมืองฉางอัน พลังแท้จริงสูงขึ้นราวพุ่งทะยาน กำลังภายในในร่าง แปดส่วนกลายเป็นปราณแท้ฟ้าประทานแล้ว ส่วนด้านทักษะการต่อสู้และการยกระดับพลังยิ่งมากเกินจะวัดได้
เขาสังเกตเจอแก่นแท้ของพลังขั้นสูงในโลกวิถียุทธ์นี้แล้ว
นี่ถือเป็นการเปิดหน้าต่างบานใหม่ให้เส้นทางจอมยุทธ์ก้าวต่อไปสำหรับเขาเลยทีเดียว
และบุคคลที่นั่งกันอยู่ที่นี่ ล้วนเป็นเพื่อนกลุ่มแรกที่เขารู้จักในโลกนี้
หม่าจวินอู่บาดแผลหายดีแล้ว เพียงแต่แขนหายไปข้างหนึ่ง ไม่อาจง้างคันธนูได้อีก สำหรับคนที่มีเจตนารมณ์อยากเป็นยอดนักธนูและเข้ากองธนูสำนักทุ่งปิดภูผาแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ช่วงนี้หลี่มู่คิดอยู่ตลอดว่าจะชดเชยให้เขาอย่างไรดี และตอนนี้ก็ได้ผลสรุปแล้ว
เขายกมือขึ้น หนังสือสีฟ้าเล่มหนึ่งลอยไปด้านหน้าของหม่าจวินอู่
“ใต้เท้า?” หม่าจวินอู่ประหลาดใจ
หลี่มู่เอ่ย “นี่เป็นตำราลับที่ข้าหามาให้เจ้าโดยเฉพาะ แม้แขนจะขาดก็ยังร่ำเรียนได้… เล่าลือกันว่าเมื่อเข้าสู่ขั้นเทวะ จะทำให้แขนขาที่ขาดไปงอกกลับมาใหม่ได้ทั้งเนื้อทั้งกระดูก จวินอู่เจ้าอย่าเพิ่งละทิ้งความพยายาม สิ่งที่เรียกว่าความยากลำบาก จะช่วยผลักดันเจ้าให้ทำสำเร็จ ไม่แน่ว่าเคราะห์ที่ต้องแขนขาด อาจเป็นโอกาสส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จด้านยุทธ์ก็เป็นได้”
หม่าจวินอู่ได้ยินแล้วก็รับหนังสือมา ในใจยินดีอย่างที่ยากจะสะกดกลั้นเอาไว้ได้
เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากที่แขนขาด พลังสูญสิ้น ก็กลายเป็นเศษขยะไร้ค่าไปแล้ว ไม่มีทางรับใช้ขุนนางเมืองได้อีก จะช้าเร็วก็ต้องออกจากส่วนสำคัญของงานราชการอำเภอขาวพิสุทธิ์ ไม่คิดเลยว่าใต้เท้าขุนนางเมืองจะคิดถึงความรู้สึกเก่าๆ ควานหาตำราลับวรยุทธ์เล่มนี้มาให้เขาโดยเฉพาะ…
“ขอบคุณใต้เท้า” หม่าจวินอู่คุกเข่าขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
หลี่มู่เป็นคนจากโลกมนุษย์ ไม่คุ้นชินกับพิธีการที่เอะอะก็คุกเข่าให้กันเช่นนี้ แต่เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เขาจึงรับการขอบคุณนี้ของหม่าจวินอู่ไว้
หลังจากนั้น เขายังมอบเคล็ดวิชาให้พวกเฝิงหยวนซิงเจินเหมิ่งด้วย
ของพวกนี้ก็ถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าเช่นกัน
ทุกคนดีใจกันถ้วนหน้า
วิชาที่หลี่มู่มอบให้ ต่างก็เป็นตำราลับวิชายุทธ์ระดับสูงที่ปกติพวกเขาไม่กล้าจะคิดถึง
นี่อาจเป็นวิธีซื้อใจคนของหลี่มู่ก็เป็นได้ หากจะพูดถึงตอนนี้ หลี่มู่ยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องการให้คนเหล่านี้ไปจัดการ ดังนั้นยิ่งพลังของพวกเขาแกร่งขึ้น ความสามารถยิ่งสูงเพียงใด ก็ช่วยเหลือหลี่มู่ได้มากขึ้นเท่านั้น
หลังผ่านศึกครั้งนี้ที่เมืองฉางอัน หลี่มู่ก็ค่อยๆ ตระหนักได้ว่าต้นไม้เดี่ยวหรือจะสู้ป่าทั้งผืน ตนเองต้องการจะออกไปจากดาวดวงนี้ภายในยี่สิบปี แต่อาศัยเพียงแรงตนเอง ทำตามใจโดยไม่สนความจริง เช่นนั้นก็ไม่ไหวแน่ ต่อให้ตนเองรู้เคล็ดวิชาฝึกฝนขั้นเซียนก็ตาม
เพราะการฝึกฝน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว
คนอย่างหลี่กังหรือองค์ชายสอง มีพร้อมทั้งพรสวรรค์ ฐานะตำแหน่ง แน่นอนว่าต้องเข้าขั้นได้เร็วกว่าพวกที่ฝึกสะเปะสะปะไร้พื้นฐาน เพราะมีทรัพยากรมากมายให้ใช้ตามใจ และมีคนนับไม่ถ้วนที่คอยทำงานให้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถยืนอยู่เหนือจอมยุทธ์มากมายได้
หลี่มู่รู้สึกว่าตนควรสั่งสมขั้วอำนาจของตัวเองเสียที
ขณะที่อยู่ในฉางอัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีแหล่งข่าวจากเจิ้งฉุนเจี้ยน เขาก็เหมือนคนตาบอดเลยทีเดียว ในสถานการณ์ต่างๆ คงกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำ และเขาก็ไม่อาจพึ่งพาเจิ้งฉุนเจี้ยนไปตลอดได้ เพราะอย่างไรเสียซิ่วไฉใจเหี้ยมคนนี้ก็เป็นคนของเจ้าเมืองชายชั่วหลี่กัง
หลี่กังเป็นคนอย่างไร?
อย่าคิดว่าเขาเป็นคนดีผดุงคุณธรรมที่พอเห็นพวกถังฮูหยินตกที่นั่งลำบาก ก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วสังหารเจ้าสำนักยมบาล นั่นก็แค่จังหวะประจวบเหมาะเท่านั้น หลี่กังถือโอกาสช่วยคนเพื่อสังหาร ไม่ใช่สังหารเพื่อช่วยเหลือคน ฟังแล้วรู้สึกเหมือนเล่นคำ แต่ความแตกต่างนั้นมากโขอยู่ นั่นคือความแตกต่างของเจตนาและเป้าหมาย
เขาสังหารเจ้าสำนักยมบาล ก็เพื่อตัดกำลังขององค์ชายสอง
หากไม่ได้มีเป้าหมายนี้ ต่อให้ถังฮูหยินกับคนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุโดนเจ้าสำนักยมบาลเด็ดหัวไปทั้งหมด หลี่กังก็ไม่มีทางปรากฏตัวมาลงมือแน่นอน
เพราะต่อมา ศึกใหญ่ของสุดยอดขั้นเหนือมนุษย์อย่างเขา สวีเซิ่ง และองค์ชายสอง คลื่นพลังที่น่ากลัวถล่มฟ้าทลายดิน ขอแค่อยู่ในม่านพลังปีศาจสีรุ้ง ทุกชีวิตตายหมดไม่มีเหลือ แต่เขากลับไม่คิดจะปกป้องหอบวงสรวง ชัดเจนว่าจะปล่อยให้คนด้านในโถงใหญ่ตายกันหมด หากไม่ได้หลี่มู่ลงมือละก็ คนโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ แม่ลูกตระกูลถัง และพวกขององค์หญิงฉินเจินก็จะซวยเหมือนผู้สืบทอดสำนักยุทธ์กระบี่สวรรค์ฉู่หนานเทียน ถูกคลื่นพลังจากศึกของสามขั้นเหนือมนุษย์ระดับสูงสุดกระเทือนจนเป็นฝุ่นธุลีไปแล้ว
เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หลี่กังไม่เพียงแต่ไม่สนใจความเป็นความตายของพวกถังฮูหยิน กระทั่งชีวิตขององค์หญิงฉินเจินเขาก็ไม่สน นี่ก็เหมือนกับเมื่อครั้งนั้น เขาเลือกทอดทิ้งท่านแม่หลี่เพื่อให้ตำแหน่งของตนมั่นคง สองเรื่องนี้ไม่ได้แตกต่างกันเลย
เซียนกระบี่ธุลีแดง ฝึกฝนวิชากระบี่ธุลีแดง
ธุลีแดงม้วนตลบ น้ำจิตน้ำใจช่างบางเบา
กล่าวได้ว่าหลี่กังเข้าถึงแก่นของกระบี่นี้อย่างแท้จริง
สำหรับคนเช่นนี้ ในใจของหลี่มู่ระแวดระวังไว้เป็นที่สุด
จากการที่ทั้งสองฝ่ายไม่เคยกระทบกระทั่งกันรุนแรง หลี่กังจึงยังสามารถหลับตาข้างหนึ่ง ให้เจิ้งฉุนเจี้ยนคอยคาบข่าวสารและรายงานมาส่งให้หลี่มู่ แต่หากการร่วมมือที่ละเอียดอ่อนนี้เกิดร้อยร้าวขึ้น วันหลังเจิ้งฉุนเจี้ยนที่เป็น ‘ยันต์เป็นตาย’ ก็คงไม่กล้าหักหลังหลี่กัง ถึงตอนนั้นหลี่มู่จะกลายเป็นคนตาบอดหูหนวกทันที
พึ่งใครก็ไม่สู้พึ่งตนเอง
หลายวันมานี้ นอกเหนือจากการฝึกฝน หลี่มู่คิดเอาไว้ชัดเจนยิ่งแล้ว
เขาจะต้องสร้างกลุ่มอำนาจของตนเองขึ้นมา
และพวกเฝิงหยวนซิงเหล่านี้ นับได้ว่าเป็นคนสนิทของหลี่มู่ในก้าวแรกแล้ว
เช่นนั้นเริ่มจากคนเหล่านี้ก่อนเลย
ถึงอย่างไรตำราลับพวกนั้นที่หลี่มู่หยิบยื่นให้ ก็เป็นสิ่งที่เขาได้จากการ ‘แกะห่อพัสดุ’ ทั้งนั้น แค่ใช้ของคนอื่นซื้อใจคนเฉยๆ เสียหายอะไรตรงไหน?
เนื่องจากหลี่มู่ใจป้ำมอบรางวัล บรรยากาศทั้งงานเลี้ยงจึงครึกครื้นขึ้น
ขอแค่เป็นขุนนางที่มีคุณสมบัติมาร่วมโต๊ะด้วย ทุกคนต่างได้ของติดมือกันคนละชิ้น
หน้าชื่นตาบานกันถ้วนหน้า
ครึ่งชั่วยามต่อมา งานเลี้ยงก็สิ้นสุดลง
ทุกคนแยกย้ายกันกลับ
หลี่มู่กลับไปยังเรือนใหญ่ของที่ว่าการพร้อมกับเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง
ท่านแม่หลี่สั่งให้สาวใช้นำน้ำร้อนเข้ามา จากนั้นช่วยหลี่มู่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
ไม่นาน หลี่มู่ที่เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าที่ท่านแม่หลี่เย็บขึ้นเอง ก็มายังห้องหนังสือของตนเพื่อพูดคุยกับเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงเป็นการส่วนตัว
หากบอกว่าพวกขุนนางเช่นเฝิงหยวนซิงและหม่าจวินอู่เป็นคนสนิทกลุ่มแรกของหลี่มู่ เช่นนั้นเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงก็เป็นคนสนิทในคนสนิทอีกที พึ่งพาอาศัยได้มากกว่าขุนนางเหล่านั้นเสียอีก
เด็กรับใช้บัณฑิตขาทั้งสองข้างพิการ นั่งอยู่บนรถเข็นที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ เขาดูอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ใบหน้าแดงระเรื่อ กำลังอ้าปากจะรายงานเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอำเภอ หลี่มู่ก็โบกมือห้าม เขาไม่สนใจเรื่องในเมืองอำเภอเลยแม้แต่น้อย
“ยังไม่มีข่าวคราวของหมิงเยวี่ยเลย” หลี่มู่เอ่ยขึ้นอย่างละอายใจ
ในวันนั้น เขาหลงเชื่อคำพูดของขอทานเฒ่ากับสุนัขสีน้ำตาลตัวนั้น ผลลัพธ์คือหมิงเยวี่ยจอมตะกละที่ทึ่มทื่อโดยธรรมชาติหายตัวไปไร้ร่องรอยหลายเดือนแล้ว ป่านนี้ยังไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย นี่ทำให้หลี่มู่ละอายใจทุกครั้งยามมาเจอชิงเฟิง เพราะเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสองคนนี้ปกติแม้จะไม่กินเส้น แต่ความจริงรู้สึกดีต่อกันอย่างมาก สนิทสนมราวพี่น้อง
“จะต้องหาตัวเจอแน่นอน” ชิงเฟิงตอบกลับอย่างมั่นใจยิ่ง
หลี่มู่ผงกศีรษะ จากนั้นหยิบหนังสือหลายเล่มออกมาจากช่องเก็บของมิติ กล่าวขึ้นว่า “พวกนี้เป็นเคล็ดลับด้านกลไก การหลอมอาวุธ การแยกแร่ทองคำ ยาพิษ กับการหลอมยาบางส่วนที่ข้าหามาได้จากเมืองฉางอัน เป็นเนื้อหาที่เจ้าสนใจทั้งสิ้น เจ้าเอาไปอ่านก่อนเถอะ ส่วนนี่คือ ‘พื้นฐานวิชาเต๋าชั้นปีที่หนึ่ง’ เล่มที่ล้ำค่าที่สุด เจ้ารักษามันดีๆ ห้ามทำหายเด็ดขาด นี่จะเป็นรากฐานความสามารถหลักของเจ้าในวันข้างหน้าได้…”
‘พื้นฐานวิชาเต๋าชั้นปีที่หนึ่ง’ แน่นอนว่าหลี่มู่เป็นคนเขียนขึ้นมาเอง โดยเรียบเรียงพื้นฐานของวิชาเต๋าห้าธาตุที่ซินแสเฒ่าเคยพูดเอาไว้บางส่วน รวมถึง ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ฉบับย่อ ทำให้ตอนนี้เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยเริ่มฝึกวิชาเต๋าอย่างเป็นระบบได้แล้ว
ในความคิดของหลี่มู่ เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงสนใจด้านเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าจะเดินไปสายสนับสนุน
แต่ซินแสเฒ่าเคยพูดเอาไว้ ในขั้วอำนาจใหญ่มากมายที่ปกครองดาราสมุทร ปรมาจารย์ค่ายกล นักเล่นแร่แปรธาตุแห่งดาราสมุทร ปรมาจารย์โอสถ ปรมาจารย์กลไกพวกนี้ เพียงแค่ฝึกฝนจนเข้าขั้นก็เป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติแล้ว และยังอยู่เหนือกว่าจอมยุทธ์ในขั้นเดียวกันเสียอีก
ดังนั้นเส้นทางที่ชิงเฟิงเลือกจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ผิด เพียงแต่จะยากลำบากมากกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่ที่ตัวเขาแล้ว
ชิงเฟิงออกไปหลังจากจบการพูดคุยส่วนตัว
หลายวันต่อจากนั้น นอกเหนือจากปิดด่านฝึกฝน หลี่มู่ก็เก็บเนื้อเก็บตัวเพื่อพัฒนาและยกระดับ ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’
สิบวันต่อมา สารด่วนฉบับหนึ่งก็ส่งมาจากเมืองหลวงฉิน