จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 286 พบตาแก่ตาบอดอีกครั้ง
เรือเหาะพรายเมฆาบินอยู่บนฟ้าราวลำแสง
ถึงแม้จะเป็นเรือเหาะขนาดใหญ่แบบนี้ แต่จำนวนคนที่บรรทุกได้ก็มีจำกัด เจิ้นซีอ๋องรวมกับองครักษ์ข้างกายสิบหกคน สมาชิกสำนักกระบี่ล่องลมที่มารับสามคน และจอมเวทค่ายกลดาราที่ควบคุมเรือเหาะหนึ่งคน รวมทั้งสิ้นยี่สิบคน หลังจากบินไปได้หนึ่งชั่วยาม พลังผลึกเทพก้อนหนึ่งในนั้นก็ถูกใช้ไปเกือบหมด
สุดท้ายเรือเหาะพรายเมฆาจึงจำต้องจอดลงที่ยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง
“ที่นี่มีชื่อว่าเขายอดเขียว ห่างจากเมืองฉินสามพันลี้ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องทหารไล่ล่า” จอมเวทค่ายกลดาราเอ่ยปาก
ผลึกเทพหนึ่งก้อนราคามหาศาล ใช้เพื่อการหลบหนีก็เพราะจำเป็น แต่หากใช้ติดๆ กันนั่นคือโง่เขลานัก
สุดท้าย จอมเวทค่ายกลดาราคนนี้ก็บังคับเรือเหาะจากไป
เขาได้รับการว่าจ้างกะทันหัน ทั้งยังไม่ใช่คนสนิทของเจิ้นซีอ๋อง
“ท่านอ๋อง ไยจึงไม่…” หัวหน้าองครักษ์ที่คราบเลือดทั่วร่างยังไม่แห้งทำท่าปาดคอ กล่าวว่า “หากคนคนนี้ขายพวกเรา…”
เจิ้นซีอ๋องอายุห้าสิบกว่า ฝึกฝนวิชาชั้นเลิศของราชวงศ์ ‘เคล็ดมังกรทะยาน’ สำเร็จ เมื่อหลายสิบปีก่อนก็ก้าวเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์แล้ว ดังนั้นจึงอายุไม่มากแต่กำลังวังชาเต็มเปี่ยม หน้าเหลี่ยมมีหนวดเครา ดูน่าเกรงขามมาก
ตอนนี้สีหน้าท่าทางของเขาสงบลงเยอะแล้ว “ข้ามแม่น้ำรื้อสะพานไม่ใช่วิสัยของข้า อีกทั้งจอมเวทค่ายกลดาราถึงแม้พลังฝึกไม่สูง แต่ไพ่ตายมีไม่น้อยเลย ไม่ใช่คนที่จะสังหารได้ง่ายๆ คนคนนี้เป็นสหายเก่าของข้า เขาพาพวกเราออกมาก็นับว่าแบกรับความผิดฐานก่อกบฏไปแล้วครึ่งหนึ่ง ต่อให้หักหลังพวกเราก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร…ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ครั้งนี้ข้าทำให้พี่น้องทุกคนเดือดร้อนเสียแล้ว”
พูดแล้ว เจิ้นซีอ๋องก็ประสานมือให้กับองครักษ์ทั้งหลาย
“ท่านอ๋องเอ่ยอันใดกัน หากไม่มีท่านอ๋องพวกเราตายไร้ที่ฝังไปนานแล้ว”
“ขอพลีชีพเพื่อท่านอ๋อง”
องครักษ์พวกนี้ล้วนเป็นทหารเดนตายที่เจิ้นซีอ๋องฝึกฝนเอาไว้ จึงจงรักภักดีเป็นหนักหนา
เจิ้นซีอ๋องเอ่ย “ดี น้ำใจของพี่น้องทั้งหลาย ข้าจดจำไว้ขึ้นใจ วันนี้ข้าตกทุกข์ได้ยาก แต่ฟ้าย่อมมีหนทางให้คนเสมอ หลายปีมานี้ข้าแอบวางแผนเอาไว้ไม่น้อย ยามนี้ถึงเวลาใช้การ จักรวรรดิฉินตะวันตกสั่นคลอนไม่มั่นคงแล้ว ฮี่ๆ ไม่นานก็จะเข้าสู่ความโกลาหลวุ่นวาย ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะมีโอกาส”
เขามีชาติกำเนิดจากราชวงศ์ เห็นการแก่งแย่งจนเคยชิน และยังถนัดการซื้อใจคน ปลุกขวัญกำลังใจทหาร
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ในดวงตาขององครักษ์เหล่านี้ก็ค่อยๆ ฉายประกายขึ้นมา ไม่มีแววหวาดกลัวเหมือนคนไร้ที่พึ่งอย่างก่อนหน้านี้
ตอนนี้ยิ่งสูญเสียความเชื่อใจไปไม่ได้เป็นที่สุด
เจิ้นซีอ๋องมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ความเจ็บใจและหดหู่ก่อนหน้านี้สลายไปจนสิ้น เขาเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “พี่น้องทั้งหลาย เปลี่ยนชุดลำลอง พวกเรามุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไปยังเมืองฝูเฟิง เจ้าเมืองฝูเฟิงเป็นบุตรชายบุญธรรมของข้า อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า…แล้วก็ยังมีหลี่มู่นั่นอีก หึ แค้นสังหารลูกชาย จะต้องคิดบัญชีด้วยแน่นอน ถึงแม้ข้าจะตกยาก แต่ก็ไม่ถึงกับให้ใครมารังแกได้ ข้ายังได้ยินมาว่าในมือของเจ้าชั่วหลี่มู่มีสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานตัวเล็กๆ ก็อาศัยสมบัติชิ้นนั้นต่อกรกับครึ่งขั้นเทวะได้ พวกเราฉวยโอกาสฆ่ามันชิงสมบัติ รวมกับกองกำลังทหารของเมืองฝูเฟิง ต่อให้รัชทายาทส่งทหารมาก็ทำอะไรข้าไม่ได้ ถึงตอนนั้นก็ใช่ว่าจะย้อนโจมตีบุกเมืองฉินไม่ได้ ฮี่ๆ ถึงคราวนั้นพวกเจ้าจะเป็นขุนพลใหญ่ของข้า เป็นขุนนางสร้างคุณูปการสร้างชาติ”
เหล่างองครักษ์ฟังแล้วยิ่งฮึกเหิมพุ่งพล่าน
คนกลุ่มหนึ่งถอดชุดเกราะเหล็กและเสื้อชุ่มเลือด ปลดอาวุธ เปลี่ยนเป็นชุดลำลอง ฝ่าไปในแอ่งโคลนเน่าใกล้ๆ ปกปิดร่องรอยอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หายไปในป่าทึบ
……
เมืองฉิน จวนองค์รัชทายาท
เพล้ง
ถ้วยชากระแทกลงบนพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ
รัชทายาทองค์ปัจจุบันปีนี้อายุสามสิบห้า สวมชุดฉลองพระองค์มังกรสีดำ รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาได้สัดส่วน แต่เทียบกับองค์ชายสองที่งดงามราวปีศาจแล้วด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ก็นับว่าได้สืบทอดสายเลือดที่เยี่ยมยอดจากราชวงศ์ฉินตะวันตกมา บุคลิกสง่างาม ทว่าตอนนี้ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์ ปล่อยให้เจิ้นซีอ๋องหนีไปได้อย่างนั้นรึ!”
เขามองขุนพลกองกำลังรักษาพระองค์สิบกว่าคนเบื้องหน้า สายตาเหี้ยมโหดกวาดผ่าน ไม่ปกปิดจิตสังหารแม้แต่น้อย
“องค์รัชทายาทโปรดอภัยด้วย” ขุนพลสามสี่คนก้มหน้าไม่กล้ามองตา อกสั่นขวัญแขวน
รัชทายาททำท่าจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไว้ สุดท้ายก็พอควบคุมเอาไว้ได้บ้าง แค่นเสียงเย็นก่อนเอ่ยขึ้นว่า “สั่งให้คนค้นหาพรรคพวกของเจิ้นซีอ๋อง ยอมฆ่าผิดเป็นพัน แต่จะไม่ยอมปล่อยไปแม้แต่คนเดียวเด็ดขาด…แล้วจงสั่งปิดกิจการขององค์ชายสองและเจิ้นซีอ๋องให้หมด ทรัพย์สินทั้งหมดยึดเข้าคลังในให้สิ้น ใครกล้าสงสัยก็ให้มันมาถามข้า”
คลังในคือคลังส่วนตัวขององค์รัชทายาท
หรือก็คือเขาจะฮุบเป็นของตัวเองแล้ว
“น้อมรับบัญชา” ขุนพลทั้งหลายต่างถอนใจโล่งอก จากนั้นถอยออกไป
กลิ่นคาวเลือดกลางอากาศในเมืองฉินยังไม่จางหาย
ในตรอกซอกซอยบางแห่ง ควันหลงของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองยังคงแผ่ระลอกต่อไป ฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น คืนที่เพิ่งผ่านพ้นไปมีหัวร่วงลงพื้นไม่รู้ต่อกี่หัว บุคคลยิ่งใหญ่มากมายที่เมื่อวานยังเป็นขุนนางผู้สูงส่งไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นอีกต่อไป
ความโกรธแค้นในใจขององค์รัชทายาทค่อยๆ จางหาย
เขาเดินออกจากตำหนักใหญ่มายังหน้าประตูหอสูง ลมเย็นพร้อมทั้งเกล็ดหิมะปะทะใบหน้า
ไม่อาจสังหารเจิ้นซีอ๋องตัวแทนคนสุดท้ายของขั้วอำนาจองค์ชายสองในเมืองฉิน ทำให้เขาไม่พอใจกับผลประโยชน์จากค่ำคืนนองเลือดนี้ เรื่องที่แต่เดิมเหนื่อยเพียงครั้งเดียวก็จะสบายไปตลอดกลับคว้าน้ำเหลว ความยุ่งยากที่ตามมาจะหนักหนาขึ้น เพราะเขารู้ว่าด้วยการบริหารจัดการมาหลายปีของขั้วอำนาจองค์ชายสอง อิทธิพลในท้องถิ่นก็น่ากลัวไม่แพ้กัน แต่เดิมขอเพียงสังหารเจิ้นซีอ๋องตัวแทนคนสุดท้ายคนนี้ได้ อิทธิพลเหล่านั้นก็จะเหมือนดั่งมังกรไร้หัว สามารถกำจัดให้สิ้นซากได้อย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าจะยุ่งยากอีกมาก
หากเจิ้นซีอ๋องรวบรวมกองกำลังท้องถิ่นพวกนั้นแล้วก่อกบฏละก็ คิดจะปราบก็ไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ขั้วอำนาจองค์ชายสองก็นับว่าหมดอำนาจลงเรียบร้อย
เขาก็นับว่าโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
การแก่งแย่งชิงดีหลายสิบปีระหว่างเขาและองค์ชายสองจบลงแล้ว
การหมดสิ้นอำนาจของขั้วอำนาจปฏิปักษ์ทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุด ช่างเต็มไปด้วยความตลกร้ายและไร้สาระนัก
จู่ๆ เขาก็หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมาอีก
ใครจะไปคิดว่าองค์ชายสองที่ได้สมญาว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเชื้อพระวงศ์จักรวรรดิฉินตะวันตก สุดท้ายกลับมาตายด้วยน้ำมือของขุนนางเมืองตำแหน่งเล็กๆ คนหนึ่ง
พูดแล้ว รัชทายาทก็อยากจะขอบคุณหลี่มู่คนนี้เสียจริง
ทว่าสังหารองค์ชาย อีกทั้งยังเป็นองค์ชายระดับชินอ๋อง[1]ความผิดนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบ
พระบิดาตอนนี้ยังปิดด่านฝึกตน พยายามทะลวงขั้นเหนือมนุษย์ ขอยืมอายุขัยจากฟ้าอีกห้าร้อยปี ไม่สนใจกิจการบ้านเมือง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้ยังไปไม่ถึงหูจักรพรรดิผู้ปกครองดินแดนฉินตะวันตกมาเกือบร้อยปี ก่อนหน้านี้เขาปลอมราชโองการก็เพื่อฉวยโอกาสที่เสด็จพ่อยังไม่ออกจากการเก็บตัวกำจัดองค์ชายสองเสีย ถึงตอนนั้นไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว แค่ผลักดันอะไรเล็กๆ น้อยๆ และหาแพะรับบาปก็ได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับมีคนช่วยเขากำจัดองค์ชายสองเสียนี่…
ให้หลี่มู่เป็นแพะรับบาปดีหรือไม่?
ในหัวของรัชทายาทขบคิดอย่างรวดเร็ว
สิ่งเดียวที่เขาค่อนข้างกังวลก็คือ หลี่มู่คนนี้ว่ากันว่าเป็นบุตรชายของหลี่กัง
และหลี่กังก็เป็นแขนข้างที่สำคัญที่สุดของเขา
ระหว่างขบคิด ก็พลันมีคนสนิทเดินมาอย่างรวดเร็ว รายงานว่า “ฝ่าบาท เมืองฉางอันส่งจดหมายด่วนมาพ่ะย่ะค่ะ”
หืม?
พูดถึงโจโฉโจโฉก็มา?
รัชทายาทรับจดหมายมา เมื่ออ่านแล้วใบหน้าก็ฉายแววตื่นตะลึง
……
อำเภอขาวพิสุทธิ์ ข้างล่างหน้าผาของเขาด้านหลัง
เสียงน้ำตกดังเลื่อนลั่น ละอองน้ำลอยกระจาย
กระท่อมหลังหนึ่งถูกสร้างอยู่ริมแอ่งน้ำตกเก้ามังกร
อีกาดำตัวยักษ์ยืนอยู่บนหลังคากระท่อม นิ่งไม่ไหวติงเหมือนรูปสลักสีดำ ร่างของมันเต็มไปด้วยหยดน้ำ ไหลหยดลงมาดังติ๋งๆ
เสียงไอลอยมา
นักพรตตาบอดเดินออกมาจากกระท่อม ยืนอยู่ข้างแอ่งน้ำและรอคอย
ดวงจันทร์ทอแสงนวล
จันทร์สองดวงราวจานหยกขาวสาดแสงอยู่เหนือห้วงน้ำ สะท้อนภาพจันทร์กลับหัวลงมา
นักพรตเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง แน่นิ่งไม่ไหวติง
เวลาค่อนคืนเคลื่อนผ่านไป
ใบหน้าของนักพรตฉายแววผิดหวัง
“ร้อยกว่าวันแล้ว เหตุใดมังกรปีศาจตัวนี้ยังไม่ปรากฏขึ้นมาอีก? หรือเพราะศึกวันนั้นจึงจากไปแล้ว?” ใบหน้าของเขาฉายแววเจ็บใจ “บึงน้ำเก้ามังกรมีข้อได้เปรียบ สามารถดูดซับแก่นแท้จากแสงจันทร์คู่ เป็นสถานที่ฝึกฝนชั้นเลิศของเผ่าปีศาจ มังกรเจียวตัวนั้นไม่น่าจะไปจากที่นี่เพราะศึกครั้งนั้นนี่ สถานที่สำหรับแปลงเป็นมังกรดีขนาดนี้ ในโลกนี้จะไปหาที่ไหนได้อีก?”
นักพรตตาบอดกำจัดปีศาจมาตลอดชีวิต
เขาอยู่ที่นี่ก็เพื่อหาทางสังหารมังกรเจียวตัวนั้น
เพื่อการนี้ เขาวางค่ายกลดาราเอาไว้รอบๆ บึงน้ำมากมายนับไม่ถ้วน
ใครจะรู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ มังกรเจียวตัวนั้นก็ไม่ปรากฏกายขึ้นมาอีกเลย
ความอดทนของเขาใกล้จะหมดแล้วเต็มที
แสงจันทร์เย็นเยือก ใต้หุบเหวข้างล่างนี่ราวกับโลกอีกใบหนึ่ง ไร้ซึ่งผู้คน อย่างกับเมืองผี เย็นเยือกและชื้นแฉะ
ใจของนักพรตตาบอดเริ่มมีความคิดจะจากไป
“เจ้ายังอยู่อีกหรือ?”
เสียงหนึ่งจู่ๆ ก็ดังขึ้นมาจากด้านบนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
นักพรตตาบอดตกใจ ระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ พลันปรากฏข้างกาย ม่านพลังคุ้มกายวิชาเวททับซ้อนกัน “นั่นใคร?” เขาวางค่ายกลไว้รอบๆ อีกทั้งการระวังภัยของอีกาสูงยิ่งนัก แต่กลับไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่ามีคนมา
ปราณดาบน่ายำเกรง
หลี่มู่ขี่ดาบมายังท้องฟ้าเหนือบึงน้ำอย่างช้าเนิบ
หลายวันนี้เขาเริ่มวางค่ายกลตามจุดเชื่อมต่อที่สำคัญบางแห่งในเขาขาวพิสุทธิ์ ราวกับตัวมาร์มอต[2]ที่ขยันขันแข็ง วางค่ายกลไว้ใต้ดินไม่น้อยกว่าสองร้อยแห่งในเขาขาวพิสุทธิ์กว้างสุดลูกหูลูกตานี้ จากนั้นเหนี่ยวนำชีพจรมังกร ขณะเดียวกันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยของเขาขาวพิสุทธิ์ ปรับแก้ลักษณะพื้นภูมิและยอดเขาบางแห่งอย่างลับตา
คืนนี้ถึงคราวน้ำตกเก้ามังกรและบึงน้ำแล้ว
ขี่ดาบมา คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอนักพรตตาบอดที่นี่
“เป็นเจ้า?” ยามอีกาตัวนั้นลืมตาขึ้น ในดวงตาลอยเอ่อด้วยสีเลือด นักพรตตาบอดจำหลี่มู่ได้ทันที “ทำไมเจ้า…แข็งแกร่งขึ้นถึงขนาดนี้?” เขาพูดต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะห่างแค่ไม่กี่เดือน หลี่มู่ก็แข็งแกร่งจนน่าตื่นตะลึง กล่าวได้ว่าไม่อาจจะเชื่อได้
หลี่มู่ไม่พูดอะไร พลังจิตวิญญาณแค่กวาดก็พบค่ายกลลายดาวที่นักพรตตาบอดวางเอาไว้รอบบึงน้ำ
สำหรับหลี่มู่ ค่ายกลพวกนี้ง่ายและหยาบ
“เจ้าคิดจะล่ามังกร?” หลี่มู่รู้สึกไม่ดีกับนักพรตคนนี้ เพราะตอนนั้นเจ้าเฒ่าตาบอดนี่ลักพาตัวหมิงเยวี่ยจากไปที่ว่าการอำเภอ ถึงได้ทำให้เกิดเรื่องภายหลังทั้งหลายทั้งแหล่ขึ้น
“กำจัดปีศาจ” นักพรตตาบอดแค่นเสียงเย็น
“เจ้าน่ะนะ?” หลี่มู่หัวเราะเยาะ นักพรตตาบอดสิบคนก็ยังไม่ใช่คู่มือของมังกรเจียวเลย ต่อให้รวมค่ายกลที่เขาวางไว้รอบๆ ด้วยก็เถอะ แต่หลี่มู่พลันนึกขึ้นได้ว่าตาแก่ตาบอดเหมือนจะรู้จักกับขอทานเฒ่าเมื่อวันนั้น เขาเอะใจ จึงถามออกไป “บอกมาซิ ขอทานเฒ่าที่พาสุนัขสีน้ำตาลมาด้วยวันนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร?”
………………………………
[1] ชินอ๋อง ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ฝ่ายชายซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองรองจากองค์รัชทายาท ผู้ได้รับตำแหน่งนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นพระโอรส อาจจะเป็นพระเชษฐาหรือพระอนุชาขององค์จักรพรรดิก็ได้ โดยชินอ๋องมีสิทธิ์ขึ้นเป็นรัชทายาทได้ด้วย
[2] มาร์มอต กระรอกขนาดใหญ่อยู่ในสกุล Marmota อาศัยอยู่ตามพื้นที่ที่เป็นภูเขาหรือทิวเขา ในแทบเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือหรือยุโรป