จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 287 พรรคกระยาจกแห่งซ่งเหนือ
นักพรตตาบอดรู้สึกว่าในน้ำเสียงของหลี่มู่มีทั้งการดูถูกและเหยียดหยาม
เขาพ่นลมออกมา “ไม่มีอะไรต้องบอกเจ้า”
หลี่มู่เห็นดังนั้นก็ชักสนุก
ให้ตายเถอะ ข้าไม่ได้มาหาเรื่องเสียหน่อย เจ้ายังจะมาทำท่าหยิ่งผยองอีก
เมื่อหลี่มู่คิดในใจ ดาบวัฏจักรใต้เท้าสั่นไหว แสงดาบสว่างวาบ ก่อนพุ่งเข้าทำลายเกราะป้องกันเป็นชั้นๆ ของนักพรตตาบอดในพริบตา และไปหยุดอยู่ที่หน้าคอหอยของเขา ปราณดาบแผ่กระจาย หากเข้าไปข้างหน้าอีกนิด จะเฉือนผิวของนักพรตเต๋าออกไปแล้ว
“ความอดทนของข้ามีไม่มากนักหรอกนะ” หลี่มู่กล่าวอย่างหมดความอดทน “ตอนแรกเจ้าลักพาเด็กรับใช้บัณฑิตของข้า จนทำให้นางหายตัวไปไร้ร่องรอย บัญชีนี้ข้ายังไม่ได้คิดจากเจ้าเลย ต่อให้สังหารเจ้าทิ้งก็ยังเบาไปด้วยซ้ำ”
นักพรตตาบอดหัวเราะเย็นชา “ข้องเกี่ยวกับเผ่าปีศาจ เจ้ามันก็แค่เศษเดนมนุษย์ จะสังหารก็ทำเสีย”
โอ้โห หัวแข็งจริงๆ แฮะ
หลี่มู่รู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก
เจ้าทำชั่วไปก่อนหน้านี้ ชิงตัวคนของข้าไป ยังจะมาทำตัวเป็นคนดีใส่ข้าอีก สมองเจ้านี่มีปัญหาหรือเปล่า
แต่หากสังหารไปจริงๆ เบาะแสการหายตัวไปของหมิงเยวี่ยน้อยก็จะขาดหายไปโดยสมบูรณ์
หลี่มู่ขบคิดไปมา จู่ๆ ก็มองอีกาดำที่บินร่อนอยู่บนฟ้าตัวนั้น ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา ดาบถลาลมที่ลอยอยู่หน้าคอหอยของนักพรตตาบอดแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งออกไปทันที
“ก้า…” ได้ยินเสียงร้องโหยหวนลากยาวของอีกาดำ ขนนกสีดำปลิวว่อนบนฟ้า
กาดำตัวยักษ์ร่วงหล่นลงมาที่พื้นดิน
“เจ้า…” สีหน้าของนักพรตตาบอดเผยความตึงเครียดสุดขีด ล้มลุกคลุกคลานพุ่งเข้าไปกอดอีกาดำเอาไว้แน่น ตอนนี้เองถึงได้พบว่าปีกข้างหนึ่งของมันถูกยิงทะลุ ยังดีที่หลี่มู่ไม่ได้สังหารมันทิ้งจริง
หลี่มู่ทำหน้าตาเยี่ยงผู้ร้าย ย่างสามขุมเข้าไปหา เอ่ยขึ้นว่า “ถ้ายังปากแข็งอีกละก็ ดาบต่อไป สิ่งที่อยู่ในอ้อมอกเจ้าจะกลายเป็นศพกาทันที”
“เจ้า…เจ้าจะดีจะเลวอย่างไรก็นับเป็นคนฝ่ายธรรมะ แต่กลับลงมือกับนกแค่ตัวเดียว ต่ำช้านัก” นักพรตตาบอดพูดด้วยอารมณ์โมโหระคนหมองเศร้า
หลี่มู่ตอบกลับอย่างดูแคลน “เจ้าบอกว่าข้าเป็นเศษเดนมนุษย์อยู่เลยไม่ใช่หรือ? แต่ต่อให้ข้าต่ำช้าแล้วจะทำไม? อย่างไรก็เทียบกับเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว กล้าบุกเข้ามาที่ว่าการอำเภอของข้าแล้วลักพาเด็กน้อยไป อีกาของเจ้าตัวนี้ หรือว่าจะเป็นปีศาจ? ข้าดูแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นนกดีอะไรเลย?” พูดถึงจุดนี้ หลี่มู่อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ‘ไม่เห็นจะเป็นนกดี’ เจ็ดคำนี้ เอามาพูดที่นี่แล้วช่างเหมาะเสียยิ่งกว่าอะไร
พูดจบเขาก็ทิ้งตัวลงมา ก่อนตบหน้าผากตัวเอง “ลืมไปเลย เจ้าปากแข็งแล้วสินะ เช่นนั้นข้าเด็ดหัวเจ้านกนี่เลยก็แล้วกัน…” ยามกล่าว ดาบถลาลมส่งเสียงวู้มๆ บินเข้ามา
“อีกาดำตัวนี้ สำหรับข้าแล้วเป็น…” นักพรตตาบอดร้อนรน รีบพูดขึ้น “หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ ข้าพูดแล้ว ขอทานคนนั้น เป็นผู้อาวุโสจากพรรคกระยาจกอันดับหนึ่งแห่งซ่งเหนือ เขามาจากซ่งเหนือ ตอนนี้น่าจะกลับไปที่ซ่งเหนือแล้ว ข้ารู้เพียงแค่นี้เอง”
ดาบถลาลมหยุดอยู่ตรงหน้าของอีกาดำ
หลี่มู่แปลกใจ “พรรคกระยาจก? โลกนี้มีพรรคกระยาจกด้วยหรือ?”
นักพรตตาบอดไม่สนใจหลี่มู่อีก กอดอีกาดำเอาไว้แน่นด้วยอาการเคร่งเครียด พลางร่ายเวทรักษา เจ้าอีกาดำก็ทำตัวราวกับเด็กน้อย คลอเคลียอยู่ในอ้อมอกเขา ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก
“พรรคอันดับหนึ่งแห่งซ่งเหนือ ขั้วอำนาจแข็งแกร่งขนาดไหนกัน? น่าจะไม่ใช่หนึ่งในเก้าสำนักเทพกระมัง?” หลี่มู่ถาม
นักพรตตาบอดตอบโดยไม่เงยหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่หนึ่งในเก้าสำนักเทพ ที่เรียกว่าพรรคอับดับหนึ่ง ก็เพราะศิษย์พรรคนั้นมีจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วทุกมุมของซ่งเหนือ เครือข่ายข่าวสารทั่วถึง และเพราะพรรคกระยาจกมีสถานการณ์พิเศษ จึงไม่ถูกจัดอยู่ในระดับเดียวกับสำนัก แต่ผู้แข็งแกร่งในพรรคก็มีอยู่ไม่น้อย ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของพรรคกระยาจกจั่วลู่อี้ ในอดีตเคยถูกขนานนามว่าเป็นผู้แกร่งที่สุดใต้ฟ้าประกายดาว เป็นอันดับหนึ่งใต้ขั้นทะลวงสวรรค์ แม้กระทั่งเจ้าสำนักของเก้าสำนักเทพยังไม่ใช่คู่มือของเขา เพียงแต่คนผู้นี้ชอบเที่ยวเล่นไปวันๆ ต่อมาก็หายสาบสูญไป…”
ในเมื่อก่อนหน้าเปิดปากพูดแล้ว นักพรตตาบอดจึงไม่ต่อต้านอะไรอีก
แล้วเขาก็พบว่า แท้จริงเมื่อสักครู่หลี่มู่ออมมือเอาไว้ แค่เด็ดขนอีกาดำไม่กี่เส้นก่อนปล่อยลงมาที่พื้นเท่านั้น ไม่ได้คิดจะหักปีก
“ว่าไงนะ? ตาเฒ่านั่นก็เหมือนจะเรียกตัวเองว่าจั่วลู่อี้นี่?” หลี่มู่ได้ยิน ในใจก็สะดุ้งเบาๆ
นักพรตตาบอดแค่นเสียงกล่าว “ขอทานเฒ่าคนนั้นสติสตังไม่ค่อยจะดี เลี้ยงสุนัขอยู่ตัวหนึ่ง ไล่คุยโม้โอ้อวดไปเรื่อยว่าตนเองเป็นจั่วลู่อี้สุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งแผ่นดินใหญ่ในอดีต แต่ว่า ฝีมือแค่หนึ่งในสิบของจั่วลู่อี้เขายังไม่มีเลย มักจะถูกคนอื่นไล่ตีหนีกระเจิง…”
หลี่มู่พูดไม่ออกในฉับพลัน
ที่แท้ก็คนสติไม่ดีหรือนี่
หมิงเยวี่ยน้อยตกอยู่ในมือของคนสติไม่ดีอย่างนี้ คงไม่เกิดเรื่องอันตรายขึ้นกระมัง?
ราวกับมองเรื่องที่หลี่มู่กังวลออก นักพรตตาบอดเอ่ยตามมาว่า “เจ้าวางใจเถอะ ตาเฒ่าคนนั้นถึงแม้จะบ้าๆ บอๆ แต่ไม่ทำอะไรเลวร้ายหรอก กระทั่งเผ่าปีศาจยังไม่กล้าสังหาร จะลงมือกับเด็กน้อยได้อย่างไร เขาเอาเด็กน้อยของเจ้าไปก็เพื่อจะปกป้องนางเท่านั้น เด็กน้อยของเจ้าถูกภูตปีศาจสิงร่าง มีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงยี่สิบปีก็จะถูกกลืนกินวิญญาณไป ตาเฒ่านั่นน่าจะพานางหลบหนีไปเพื่อเอาภูตปีศาจในร่างนางออกมาเท่านั้น”
“มารดาเจ้าเถอะ รู้ว่านางถูกภูตปีศาจสิง แต่ตอนนั้นเจ้าก็ยังจะสังหารหมิงเยวี่ยนี่นะ?” หลี่มู่โมโหขึ้นมาแล้ว
นักพรตตาบอดหน้าแดงก่ำ
เรื่องนี้ จริงๆ แล้วเขาก็เพิ่งครุ่นคิดเอาตอนนี้
เขาจึงค่อยเข้าใจว่าในวันนั้น ตนเกือบจะทำเรื่องผิดมหันต์ลงไปแล้ว
เขาเคยสาบานไว้ว่าจะไล่สังหารปีศาจบนผืนพิภพนี้ให้สิ้น แต่หมิงเยวี่ยถูกภูตปีศาจสิงร่าง นับเป็นผู้เคราะห์ร้าย หากวันนั้นเขาสังหารนางไป ก็เท่ากับทำร้ายคนไร้ความผิด ดังนั้นเขาจึงรู้สึกละอายใจต่อหลี่มู่และหมิงเยวี่ยอยู่บ้าง มิเช่นนั้นต่อให้หลี่มู่ขู่เข็ญ เขาก็คงไม่พูดมากขนาดนี้
หลี่มู่สูดลมหายใจลึก พยายามจัดเรียงความคิด
ตำแหน่งแห่งหนของหมิงเยวี่ย ในที่สุดก็ได้เบาะแสเสียที ไม่ต้องคลำหาในที่มืดอีกต่อไป มิน่าเล่าถึงได้ไม่พบข่าวคราวของขอทานเฒ่าในเมืองฉางอันเลย ที่แท้ก็หนีกลับไปซ่งเหนือแล้ว แต่ซ่งเหนืออยู่ห่างจากฉินตะวันตกมาก แม้ว่าหลี่มู่เดินทางด้วยดาบเหินหาว เดี๋ยวเดินหน้าเดี๋ยวหยุดพัก อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเดือนกว่า ไปถึงก็ยังไม่แน่ว่าจะหาขอทานเฒ่าเจอ เรื่องนี้รีบร้อนไปก็ใช่ที ต้องวางแผนหารือกันนานหน่อย
ยังดี จากเรื่องที่เฒ่าตาบอดพูด หมิงเยวี่ยน่าจะไม่มีอันตราย
ขอทานเฒ่าถึงแม้พูดไม่เป็นคำพูด แต่ก็ไม่ใช่คนเลวอะไร
ยิ่งไปกว่านั้น การจัดวางที่เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็เพิ่งเริ่มต้น จุดฮวงจุ้ยกลางทิวเขายังแก้ไขไม่เสร็จสิ้น เรื่องนี้จะเกียจคร้านไม่ได้ เพราะในจดหมายของสวีเซิ่ง เวลาที่เหลืออยู่ของหลี่มู่ไม่มากแล้ว พายุการเมืองใกล้แผ่ขยายมาถึงเมืองฉางอัน ถึงตอนนั้น สถานการณ์จะคาดเดาไม่ได้ หลี่มู่จำต้องอยู่ปกป้องผู้คนบางส่วนในอำเภอ เขาไม่อาจไม่ดูดายพวกชิงเฟิง ซ่างกวนอวี่ถิง เพื่อออกไปตามหมิงเยวี่ยกลับมาได้
‘ดูท่า การค้นหาตัวหมิงเยวี่ยจะต้องเลื่อนออกไปก่อน’
หลี่มู่ตัดสินใจได้
เขามองไปที่นักพรตตาบอด ก่อนเอ่ยว่า “เจ้าไปจากที่นี่เสียเถอะ มังกรตัวนั้นไม่ใช่คู่มือของเจ้า อยู่ที่นี่ไปก็เหมือนหยิบยื่นชีวิตให้มันเท่านั้น จากนี้เป็นต้นไป ที่นี่จะกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้ามา”
นักพรตตาบอดได้ยินแล้ว เดิมทีอยากคัดค้าน แต่หลี่มู่เอ่ยต่อทันทีว่า “ถ้าเจ้าไม่ไป ข้าจะสังหารกาของเจ้าทิ้งเสียก่อนเลย”
ประโยคนี้ดั่งมีดกรีดแทง
ในใจของนักพรตตาบอดเดือดดาล แต่ท้ายที่สุดก็เดินกะเผลกๆ กลับไปที่กระท่อมมุงหญ้าคา เก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวออกไป เดินไปพลางไอค่อกแค่กไปพลาง
หลี่มู่ใช้เนตรสวรรค์ตรวจสอบดู ร่างกายของนักพรตตาบอดคนนี้ย่ำแย่นัก ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีพลังฝึกวิชาเวทอยู่ในร่าง ป่านนี้ตายกลายเป็นก้อนเนื้อเน่าๆ แล้ว
คนผู้นี้ จริงๆ ก็น่าสงสาร
ท้ายสุด เมื่อนักพรตตาบอดเก็บของเสร็จเรียบร้อย เขาก็ขึ้นขี่หลังของอีกายักษ์พร้อมไอค่อกแค่ก จากนั้นหนึ่งนกหนึ่งคนบินทะยานขึ้น กลายเป็นจุดสีดำหายไปท่ามกลางแสงจันทร์ในที่สุด
หลี่มู่ส่งด้วยสายตา จนแน่ใจว่านักพรตจากไปแล้วจริง จึงค่อยจัดวางสิ่งต่างๆ ต่อในหุบเขาลึกแห่งนี้
ตามที่หลี่มู่สำรวจและอนุมานไว้ก่อนหน้า หุบเขานี้เป็นตำแหน่งใจกลางความมืดของ ’จุดรวมมังกร’
ในค่ายกลฮวงจุ้ยขนาดใหญ่ ล้วนมีใจกลางสว่างและมืดอย่างละหนึ่ง นัยยะเดียวกับการรวมหยินหยาง ค่ายกลฮวงจุ้ยที่มาจากการรังสรรค์ของธรรมชาติอย่าง ‘จุดรวมมังกร’ ก็เช่นเดียวกัน ใจกลางแสงสว่างจะรวบรวมพลังปราณแห่งภูผา ใจกลางความมืดจะรวบรวมพลังปราณแห่งพสุธา วิถีฟ้าจะนำส่วนที่เหลือมาชดเชยส่วนที่ขาด จึงต้องไม่นำจุดศูนย์กลางที่อ่อนไหวทั้งสองนี้มารวมกันโดยเด็ดขาด เพราะหากเป็นเช่นนั้น เทือกเขาขาวพิสุทธิ์จะกลายเป็นพื้นที่ธรรมชาติสร้างอย่างแท้จริง ฝืนวิถีฟ้ามากเกินไป ไม่ว่าใครก็มองออกได้ง่าย
แต่สิ่งที่หลี่มู่จะทำคือการรวมศูนย์กลางแสงสว่างและความมืดของค่ายกลเป็นหนึ่งเดียว
เขาจะเปลี่ยนเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ให้กลายเป็นแดนสวรรค์สร้างที่น่าตกตะลึง
และเขาจะพัฒนาแบบก้าวกระโดดภายในแดนสวรรค์สร้างแห่งนี้
ภายใต้แสงจันทร์ หลี่มู่เริ่มกุลีกุจอทำงาน
เขาบังคับดาบวัฏจักรพุ่งทะยานไปทั่วหุบเขา ขึ้นไปแกะสลักค่ายกลบนกำแพงหินผา ใช้หินหนักหมื่นจินในจุดต่ำสุดของหุบเขาจัดวางแก้ไขตำแหน่งฮวงจุ้ยตามทิศทางที่ต่างกัน และเริ่มปรับเปลี่ยนลักษณะพื้นที่ทั้งหุบเขาลึกไม่หยุดจากรายละเอียดเล็กย่อยที่สุด
หลังจากทดลองอยู่หลายวันในเทือกเขากว้างแห่งนี้ หลี่มู่ก็คุ้นเคยกับวิธีวางค่ายกลแล้ว
ไม่นาน หนึ่งคืนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อาทิตย์วันใหม่ค่อยๆ ลอยขึ้นจากจุดไกลๆ ของเทือกเขาขาวพิสุทธิ์
ถนนหนทางในอำเภอขาวพิสุทธิ์มีผู้คนสัญจรมากขึ้นทุกที
จู่ๆ เสียงตูมดังสนั่น พื้นดินสั่นไหว ผู้คนทั้งหมดในเมืองได้ยินเสียงพยัคฆ์คำรามมังกรกู่ร้องอันน่าอัศจรรย์จากภูเขาด้านหลัง แสงเทพสองสายพัดรัดกันไปมา พลางพุ่งขึ้นสู่เบื้องบน ตรงไปนอกแผ่นฟ้า ราวกับจะพุ่งออกไปนอกโลกก็มิปาน
ทุกคนมีสีหน้าหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“หรือว่ามีมังกรเทพทะยานขึ้นฟ้า?”
“เขาด้านหลังมีปีศาจกลายเป็นภูตหรือ?”
“ได้ยินมาว่าส่วนลึกสุดของเขาด้านหลังมีมังกรเจียวอยู่ตัวหนึ่ง หรือว่าจะกลายเป็นมังกรสำเร็จแล้ว?”
ทุกที่ต่างวิพากษ์วิจารณ์ ปรากฏการณ์มหัศจรรย์นี้พบเห็นได้ยากราวกับปาฏิหาริย์
แต่ไม่นาน ภาพมหัศจรรย์บนฟ้าก็หายไป เสียงพยัคฆ์คำรามมังกรกู่ร้องประหลาดก็หายไปเช่นกัน ทั้งหมดกลับคืนสู่ภาวะปกติ
หลี่มู่กลับมายังที่ว่าการอำเภอด้วยสีหน้าซีดขาว
‘ถือว่าขั้นแรกสำเร็จแล้ว แต่คงต้องบูรณะ…แก้ไขค่ายกลฮวงจุ้ยเสียใหม่ สิ้นเปลืองแรงใจเสียจริงๆ ระดับพลังจิตวิญญาณอย่างเรามาทำเรื่องเช่นนี้ยังฝืนทนอยู่บ้าง รู้สึกเหมือนถูกล้วงออกไปจนหมดตัวเลย’
เขาเดินโซซัดโซเซ
แต่ในใจกลับดีใจเป็นล้นพ้น
เพราะเมื่อค่ายกลสำเร็จขั้นแรก เขาก็รู้สึกถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้ว
มีค่ายกลใหญ่ขนาดนี้ เขาอยู่ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็แทบไร้เทียมทานเลยทีเดียว!