จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 292 จดหมายฉบับที่สาม
หลี่กังได้ยินดังนั้นจึงยิ้มบางๆ
ที่ปรึกษาเถียนไม่เป็นวรยุทธ์ พลังของเขายังสู้เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เขาเชี่ยวชาญวิชาด้านการทำนาย เสี่ยงทาย และพยากรณ์ดวงชะตามาก ดวงตาทั้งคู่จึงมองคนได้แม่นยำกว่าใคร
ในเมื่อที่ปรึกษาเถียนว่ามาเช่นนี้ เช่นนั้นก็คงจะไม่ผิดแล้ว
หวงเหวินหย่วนผู้นี้แม้มีใจมุ่งมาดสูงเทียมฟ้า ชะตากลับบางราวกระดาษ เป็นคนที่เหมาะแก่การเป็นแพะรับบาปโดยกำเนิด
หลี่กังคิดถึงคำวิจารณ์หลี่มู่ของที่ปรึกษาเถียนขึ้นมาได้ มีเพียงแค่สี่คำสั้นๆ ว่า ‘สังหารทิ้งโดยไว’ พอถามถึงเหตุผลก็ได้รับคำอธิบายว่า ‘คาดคะเนด้วยหลักการยาก ไม่ถูกควบคุมใดๆ มีตัวแปรอยู่’ และเรื่องในช่วงนี้สามารถยืนยันได้ ว่าตัวแปรของหลี่มู่นั้นมากมายจริงๆ การที่องค์ชายสองตายลงด้วยน้ำมือหลี่มู่คือหลักฐานยืนยัน
“เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ” หลี่กังโบกมือ
ที่ปรึกษาเถียนค้อมตัวเดินออกไป
หลี่กังค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ แบมือออก แสงสีเงินปรากฏขึ้นมาก่อนเปลี่ยนรูปร่างเป็นกระจกโบราณ หรือก็คือ ‘กระจกสยบฟ้า’ นั่นเอง
เขาเริ่มท่องคาถา ระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ ลอยขึ้นมาบนผิวกระจก จากนั้นก็เหมือนกับวิชากระจกวารี สิ่งที่ปรากฏคือแผนที่ทั้งหมดของเมืองฉางอัน แต่บริเวณของอำเภอขาวพิสุทธิ์ บัดนี้กลับมีเงาดำผืนหนึ่งปกคลุม ประหนึ่งมีพลังประหลาดบางอย่างปิดกั้นเอาไว้ ไม่สามารถมองเห็นภาพด้านในได้
“ยังคงมองเห็นไม่ชัด…นี่คิดจะตั้งตนเป็นราชาหรือไร? กล้าหาญชาญชัยเกินไปแล้ว”
หลี่กังวางกระจกลงด้วยสีหน้าอึมครึม
เงาดำพวกนี้คงเป็นค่ายกลที่เจิ้งฉุนเจี้ยนพูดไว้
สองเดือนก่อนหน้ายังไม่เป็นเช่นนี้เลย
หรือพูดอีกอย่างคือ หลี่มู่ใช้เวลาภายในสองเดือนวางค่ายกลที่สกัดกั้นการมองเห็นของ ‘กระจกสยบฟ้า’ ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้ ทว่า ‘กระจกสยบฟ้า’ เป็นสิ่งที่สำนักเทพทั้งเก้าหลอมขึ้นมาร่วมกับราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ ลือชื่อในเรื่องการตรวจตราทั่วหล้า นอกจากวังหลวงกับสำนักเทพแล้ว ขอแค่อยู่ในขอบเขตการตรวจตรา ก็ไม่มีอะไรที่มองไม่เห็น…
อาจารย์เบื้องหลังของหลี่มู่ ถึงขนาดต่อกรสำนักเทพได้เลยหรือ?
เป็นสำนักโบราณที่ซ่อนตัวอยู่สำนักไหนกันแน่?
หลี่กังเก็บ ‘กระจกสยบฟ้า’ ในใจครุ่นคิดชั่งน้ำหนัก
เพียงครู่เดียว เจิ้งฉุนเจี้ยนก็นำหลี่ปิงเดินเข้ามา
“ท่านพ่อ…” หลี่ปิงคอตก ไม่กล้าหายใจแรง
หลี่กังเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้น “กลับมาแล้วก็ไม่ต้องออกไปก่อเรื่องมั่วซั่วด้านนอกอีก ครั้งนี้ถือว่าเป็นบทเรียนครั้งหนึ่งของเจ้า เงินช่วงไม่กี่เดือนนี้ เจ้าไปเบิกเอาที่ห้องบัญชีแล้วกัน…” ท่าทีเขาไม่รู้ร้อนรู้หนาว
หลี่ปิงผงกศีรษะ ไม่กล้าพูดอะไรอีก หันหลังเดินจากไป
ในใจของเขายำเกรงบิดาคนนี้มากมาโดยตลอด
“ใต้เท้า ข่าวคราวต่างๆ ยังต้องส่งให้กับอำเภอขาวพิสุทธิ์เช่นเดิมหรือไม่?” เจิ้งฉุนเจี้ยนขอคำชี้แนะ
หลี่กังเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องใบหน้าเจิ้งฉุนเจี้ยน เจิ้งฉุนเจี้ยนใจสั่น หลี่กังยิ้มขึ้นน้อยๆ ก่อนเอ่ยว่า “เจิ้งฉุนเจี้ยน การขอคำชี้แนะในช่วงนี้ของเจ้าถี่เกินไปนะ ก่อนหน้าไม่เห็นเป็นเช่นนี้ เรื่องบางเรื่องเจ้าตัดสินใจทำไปเลยก็ได้ ไม่ต้องมาขอคำชี้แนะจากข้า ข้ายังเชื่อในความสามารถและความซื่อสัตย์ของเจ้า อีกไม่นานข้าจะเชิญคนมาช่วยจัดการคำสาปในร่างกายของเจ้าให้ เจ้าวางใจเถอะ”
เจิ้งฉุนเจี้ยนซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตา กล่าวว่า “ขอบคุณขอรับใต้เท้า บุญคุณของท่าน ฉุนเจี้ยนตายเก้าครั้งก็ตอบแทนไม่หมด”
……
กลางดึกสงัด
ไป๋เซวียนนั่งอยู่ในห้องของตนด้วยท่าทางหวาดหวั่นและสงสัย
ในฐานะสตรีนางหนึ่ง ทั้งยังเป็นสตรีที่งดงาม นางสนใจในความงามของตนเองมาก ดังนั้นจึงคอยบำรุงรักษามาโดยตลอด นอนดึกน้อยครั้งนัก แต่ว่าคืนนี้ล่วงเลยเที่ยงคืนมาแล้ว ใจของนางยังคงหลับไม่ลง
‘คุณชายหวงผู้นี้อำมหิต จิตใจไร้ปรานี หากฮวาเอ๋อร์ตกอยู่ในกำมือมัน…’
ไป๋เซวียนคิดถึงฉิงเอ๋อร์ที่จากไปแล้ว ในใจทั้งปวดร้าวและเห็นใจ
นางไม่เหมือนแม่เล้าของหอคณิกาอื่น ไป๋เซวียนหวังให้พวกเด็กสาวของตนเองมีชีวิตปลายทางที่ดี นางเห็นฉิงเอ๋อร์เหมือนลูกในไส้และตั้งความหวังไว้สูงเช่นเดียวกับฮวาเสี่ยงหรง แต่ตอนนี้…นางจะไม่ร้องไห้ได้อย่างไร? จะไม่โกรธแค้นได้อย่างไร?
‘ต้องเตือนพวกคุณชายหลี่เสียแล้ว’
ไป๋เซวียนตัดสินใจได้
นางหยิบพู่กันเขียนจดหมาย เขียนบรรยายข่าวคราวทั้งหมดในหลายวันนี้ที่ตนเองได้ยินมาในสถานเริงรมย์ รวมไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ในจดหมายยังกำชับอีกว่าให้หลี่มู่รับมืออย่างระมัดระวัง อย่าได้ประมาทโดยเด็ดขาด หากจำเป็นให้พาฮวาเสี่ยงหรงหนีไปให้ไกลแสนไกล…
เมื่อเขียนจบ ไป๋เซวียนให้เด็กรับใช้คนสนิทที่ไว้วางใจที่สุดคนหนึ่งนำจดหมายนี้ขี่ม้าเร็วข้ามคืนส่งไปยังอำเภอขาวพิสุทธิ์
‘หวังว่าคุณชายหลี่กับฮวาเอ๋อร์จะหลีกพ้นภัยครั้งนี้ได้’
……
เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์
หลี่มู่ได้รับจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับ
ผู้ส่งจดหมายคือสุภาพบุรุษวาโยหวางเฉิน
“ฝ่าบาทของข้ารู้สึกขอบคุณในบุญคุณที่คุณชายช่วยเหลือเอาไว้” สุภาพบุรุษวาโยเอ่ยด้วยความเคารพยิ่ง
หลี่มู่เปิดจดหมายออกอ่าน
ฝ่าบาทท่านนั้น ในจดหมายเขียนขอบคุณต่อบุญคุณที่หลี่มู่ช่วยเหลือเอาไว้วันนั้น ทั้งยังรวบรวมเงินมาจนครบห้าแสนตำลึงทอง ชดใช้หนี้ก่อนหน้านี้คืนให้กับหลี่มู่ ท้ายจดหมายยังเตือนหลี่มู่ด้วยว่า สถานการณ์ในราชสำนักตอนนี้ไม่สู้ดีนักสำหรับเขา ผู้มีอำนาจสั่งการอย่างลับๆ ให้จับตัวหลี่มู่มาเป็นแพะรับบาปเรื่องการตายขององค์ชายสอง เพื่อรับมือกับจักรพรรดิฉินตะวันตกที่กำลังจะออกจากการปิดด่าน ดังนั้นจึงแนะนำให้หลี่มู่หนีไปจากยุทธจักรนี้เสีย…
หลี่มู่อ่านจบแล้วยิ้มเล็กน้อย
นี่เป็นคนที่สองแล้วที่เตือนให้เขาไปจากอำเภอขาวพิสุทธิ์
ไม่ว่าอย่างไร ก็ถือเป็นความหวังดีล่ะนะ
หลี่มู่ไม่ว่าอะไร ให้เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงเก็บห้าแสนตำลึงทองไป
หวางเฉินหยิบกล่องใบหนึ่งออกจากอกเสื้อ ยื่นเข้ามาพร้อมเอ่ย “นี่คือสิ่งที่ฝ่าบาทสั่งให้ข้านำมามอบให้กับใต้เท้าหลี่”
หลี่มู่แปลกใจ
ยังมีของให้อีกหรือ?
เขารับมาและเปิดมันออก ด้านในกลับมีบันทึกเล่มหนึ่งที่เป็นผ้าไหมก็ไม่ใช่กระดาษก็ไม่เชิง มองแล้วน่าจะมีอายุอยู่ วัสดุที่ทำพิเศษมาก ขอบมีรอยสึกหรอ อายุน่าจะหลายพันปีได้แล้ว ด้านในบันทึกวาดภาพคนและทิวทัศน์ที่ดูมีชีวิตชีวามากมายหลายแบบ รวมทั้งสิ้นเก้าภาพ ด้านข้างของทุกภาพมีอักษรเล็กจิ๋วกำกับเอาไว้ ที่หน้าแรกเขียนว่า ‘ทฤษฎีภาพนึกนิมิตบูชาเก้าสวรรค์’
ไม่นึกว่าจะเป็นวิชานึกนิมิตบทหนึ่ง
หลี่มู่ตกใจมากกว่าเดิม
องค์หญิงผู้นี้ถึงกับมอบวิชานึกนิมิตส่วนหนึ่งของตนมาให้หรือ?
อันที่จริง ก่อนหน้านี้หลี่มู่สนใจวิชานึกนิมิตมาก นักกระบี่หญิงลึกลับคนนั้นที่ตำบลสุขสงบก็เคยมอบวิธีนึกนิมิตให้หลี่มู่หลายบท แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย หลี่มู่ลองหลายต่อหลายครั้ง ก็ยังไม่สามารถนึกนิมิตได้ สุดท้ายจึงยอมแพ้ไป
หลี่มู่รู้สึกว่าอาจเพราะการนึกนิมิตไม่มีประโยชน์อะไรกับตน
“ภาพเหล่านี้เป็นถึงสมบัติราชวงศ์ที่ฝ่าบาทของข้าได้มาโดยบังเอิญ องค์จักรพรรดิเคยกล่าวไว้ว่า ภาพนี้มีแก่นแท้ของปราณฟ้าดินอันสูงส่งแห่งยุคอยู่ ฝ่าบาทของข้าศึกษามานานนับสิบปี ก็ยังไม่อาจล่วงรู้ถึงความหมายของมัน ฝ่าบาทคิดว่าอาจเป็นเพราะปัญญาของนางไม่เพียงพอ จึงไม่อาจได้รับอภินิหารนี้มา หากภาพนี้ยังอยู่ในมือนางก็เหมือนไข่มุกในกองฝุ่น ใต้เท้าหลี่เป็นถึงอัจฉริยะด้านยุทธ์ อาจจะเข้าใจความหมายของมันก็เป็นได้” สุภาพบุรุษวาโยกล่าว
หลี่มู่เหมือนจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง
ภาพเก่าๆ ที่ยากจะเข้าใจ พวกนี้กำลังดึงตนไปเป็นพวกนี่เอง
เขากวาดตาดู ก็ยังไม่รู้สึกว่าภาพนี้มีความหมายอะไร และก็ไม่ได้เอามาใส่ใจเท่าไรนัก เอ่ยว่า “น้ำใจของฝ่าบาทเจ้า ข้าขอรับไว้ ภาพพวกนี้ข้าก็ขอฝืนใจรับเอาไว้แล้วกัน แต่ข้าบอกไว้ก่อน ภาพเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทของเจ้าให้ข้ามาเอง ดังนั้นไม่ถือว่าเป็นของชดเชยเรื่องเงินนา”
หวางเฉินพูดไม่ออกทันที
คุณชายหลี่คนนี้ ก็มีเรื่องพูดตรงเกินไปนี่แหละที่ทำให้คนอื่นรับไม่ได้
สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ แต่รับไปอย่างไม่เต็มใจนัก…ไว้หน้ากันหน่อยได้หรือไม่?
หลี่มู่วางภาพไว้บนโต๊ะ จากนั้นเหมือนคิดอะไรออก หัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ ตอนนี้ฝ่าบาทของเจ้ากับแม่ลูกตระกูลถังพำนักอยู่ที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ พวกเจ้าวางใจเถอะ ขอแค่พวกเจ้าไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย จะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีปัญหา ใครก็ทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้”
หวางเฉินลิงโลด
ทั้งคืนเงิน ทั้งส่งของขวัญ ทำก็เพื่อเรื่องนี้นั่นละ
อธิบายได้ว่าในที่สุดหลี่มู่ก็ไม่คิดผลักไสฝ่าบาทของเขาแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องดี
จนถึงตอนนี้ หวางเฉินก็ยังคงคิดจะกล่อมให้หลี่มู่มาเป็นกำลังให้องค์หญิงฉินเจิน
เพียงแต่เขาไม่คิดให้หลี่มู่มาเป็นคนใต้บังคับบัญชาหรือขุนพลอะไรทำนองนั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่อยากให้หลี่มู่มองว่าเป็นการร่วมมือในระดับเดียวกัน ขอแค่หลี่มู่ยินดีช่วยเหลือฉินเจิน สถานการณ์อาจพลิกกลับก็เป็นได้
ขณะที่พูดกันอยู่ เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงก็เข้ามา กล่าวขึ้นว่า “คุณชาย มีคนจากสถานเริงรมย์เมืองฉางอันมาส่งจดหมายฉบับหนึ่งขอรับ บอกว่าคุณชายต้องเปิดอ่านด้วยตนเอง”
“หืม? เชิญ”
หลี่มู่งงงัน จดหมายจากสถานเริงรมย์ หรือว่าไป๋เซวียนคิดถึงถิงเอ๋อร์?
หวางเฉินเห็นเช่นนี้จึงลุกขึ้นอย่างรู้กาลเทศะ และขอตัวออกไป
หากเขาอยากกล่อมหลี่มู่ คงต้องวางแผนให้ดีเสียก่อน จะรีบร้อนทำการไม่ได้
ครู่เดียว เด็กรับใช้ชุดเขียวที่ใบหน้าตื่นตกใจ อ่อนเพลีย และเต็มไปด้วยคราบฝุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นหลี่มู่จึงพูดว่า “คุณชายหลี่ ข้าคือสวี่เอ้อร์ ท่านยังจำข้าได้หรือไม่? ท่านแม่ไป๋เซวียนให้ข้ามา…” ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นหลี่มู่แล้วที่สถานเริงรมย์
หลี่มู่หัวเราะ “ข้าจำได้อยู่แล้ว” เขาจำสวี่เอ้อร์คนนี้ได้ เป็นเด็กรับใช้คนสนิทของไป๋เซวียน
“ท่านแม่ไป๋วานข้าให้นำสิ่งนี้มาให้ท่าน” เขาหยิบจดหมายออกมา เอ่ยต่อว่า “เป็นจดหมายที่ท่านแม่ไป๋เขียนเอง ให้ข้ารีบเดินทางมาส่งให้ท่าน บอกว่าเป็นเรื่องด่วนที่สุด สวี่เอ้อร์ไม่กล้าชักช้า ตลอดทางมาม้าเร็วตายไปสามสี่ตัวแล้ว…”
หลี่มู่เปิดจดหมายออก เมื่อได้อ่านก็กระจ่างแจ้ง
อีกคนแล้วที่เตือนให้เขาออกไปจากอำเภอขาวพิสุทธิ์
สวีเซิ่ง ฝ่าบาทท่านนั้น และยังมีไป๋เซวียนอีก…ทั้งหมดต่างหวังดี มีเจตนาดี
คนที่กล้าออกหน้าเตือนเขาเช่นนี้ ก็ถือว่านับหลี่มู่เป็นเพื่อนไปแล้ว
โดยเฉพาะไป๋เซวียน สตรีในหอคณิกา ตรงไปตรงมาไม่เสแสร้ง จดหมายฉบับนี้ทำให้หลี่มู่รู้สึกเคารพนับถือทันที
“ข้ารู้แล้ว เดี๋ยวเจ้าไปพบแม่นางฮวาที่เขตเรือนด้านหลังหน่อยแล้วกัน จากนั้นค่อยกลับไปบอกแม่เล้าไป๋ น้ำใจครั้งนี้ ข้าหลี่มู่ได้จดจำไว้แล้ว ขอให้นางวางใจ” หลี่มู่พูดจบ หันไปสั่งชิงเฟิงว่า “เตรียมค่าเดินทางให้สวี่เอ้อร์ด้วย ดูแลแทนข้าให้ดี ตลอดทางมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
“ขอบคุณคุณชายหลี่” สวี่เอ้อร์ยินดีเป็นล้นพ้น
หลี่มู่ใจกว้างมือเติบเช่นนี้ ตอนอยู่ที่สถานเริงรมย์ ทุกคนต่างรู้กันดี
ชิงเฟิงหมุนล้อรถเข็น นำสวี่เอ้อร์เดินออกไป
หลี่มู่เก็บจดหมาย สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ ‘ทฤษฎีนึกนิมิตบูชาเก้าสวรรค์’ จึงหยิบมันขึ้นมาสำรวจอย่างละเอียด หลังจากดูไปรอบหนึ่งก็ยังไม่พบอะไรพิเศษ ภาพคนกับทิวทัศน์ในนั้นก็ดูมีชีวิตชีวาดี แต่หากบอกว่ามีเคล็ดวิชาเทพชั้นยอดอยู่ กลับยังหาไม่เจอ
หลี่มู่สำรวจภาพล่องเวหาภาพที่หนึ่งอย่างละเอียด พร้อมทดลองนึกนิมิตด้วยความหวังหนึ่งในหมื่นส่วนเสี้ยวสุดท้าย
หนึ่งเค่อต่อมา ก็ไม่เกิดผลลัพธ์อะไร
“ดูท่าข้าคงไม่เหมาะกับการฝึกนึกนิมิตจริงๆ”
เขาต้องถอดใจเสียแล้ว
พริบตาที่เขาวางบันทึกที่เต็มไปด้วยกาลเวลานี้ลง หลี่มู่พลันฉุกคิดในใจ ไม่รู้ทำไมจึงใช้เนตรสวรรค์กวาดดูบันทึกเล่มนี้ เมื่อเนตรสวรรค์วาดผ่านบันทึก จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้าง
“เอ๋? มีอีกชั้นซ่อนอยู่หรือ? นี่…เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
ใบหน้าของเขาปรากฏแววไม่อยากจะเชื่อขึ้นมา