จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 300 หินดารา
เรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นที่เมืองฉางอันเช่นกัน
‘กระจกสยบฟ้า’ ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าอย่างรุนแรง ทำให้หลี่กังที่กำลังเพ่งสมาธิอยู่กับงานตื่นตัว สีหน้าเผยอาการตะลึงถึงขีดสุด เขาตั้งท่าปางมือ เรียกใช้งาน ‘กระจกสยบฟ้า’ ที่แปลงมาจากกระจกโบราณ
บนผิวของกระจกโบราณ เห็นได้ชัดเจนว่าในพื้นที่ของเมืองฉางอัน มีเพียงอาณาเขตของอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่ยังคงเป็นเงาดำ ไม่ว่าเขาจะขับเคลื่อนกระจกโบราณอย่างไร ก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้เงาดำนั้นได้ และเรื่องที่ไม่เหมือนเดิมคือ เวลานี้ตำแหน่งที่เงาดำอยู่กำลังส่องแสงสีม่วงบาดตาเป็นที่สุด ราวกับสายฟ้ากำลังไหลวน กลิ่นอายพลังที่ทำให้จิตใจหวาดผวา แม้ว่าถูกคั่นด้วยกระจกก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจน
ผิวของกระจกสยบฟ้าใกล้จะถูกพลังนี้สั่นสะเทือนจนแตกแล้ว
“นี่มัน…”
ใบหน้าหล่อเหลาองอาจของหลี่กังที่เยือกเย็นมาแต่ไหนแต่ไร ปรากฏอาการตะลึงถึงขีดสุด
ฟิ้ว!
หลี่กังกลายเป็นแสงเส้นหนึ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า
เขาเป็นขั้นเหนือมนุษย์สูงสุดก้าวที่ห้า สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เพียงพริบตาก็ขึ้นมาอยู่บนฟ้าเหนือเมืองฉางอันที่ความสูงกว่าสามพันจั้ง มองไปยังอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่อยู่ไกลลิบ ไม่ต้องแผ่พลังจิตวิญญาณออกไปก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน ทางด้านนั้น ไกลออกไปด้านนอกราวเจ็ดแปดร้อยลี้ มีคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมารางๆ
นั่นคือกลิ่นอายพลังของขั้นเทวะเท่านั้น
เกิดอะไรขึ้นในอำเภอขาวพิสุทธิ์?
ในใจของหลี่กังเริ่มไม่สงบ
ครู่ต่อมา เขากลับมายังศาลที่ว่าการ สิ่งแรกที่ทำคือเรียกเจิ้งฉุนเจี้ยนเข้ามาหา
“อาจารย์เจิ้ง ต้องลำบากเจ้าไปอำเภอขาวพิสุทธิ์อีกครั้งแล้ว เมื่อครู่ที่นั่นเกิดเรื่องประหลาดอย่างยิ่งขึ้น เจ้าไปตรงจสอบมาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
……
ทุ่งปิดภูผา
สำนักเทพแห่งจักรวรรดิตั้งอยู่บนที่ราบปิดภูผา ที่ราบเพียงแห่งเดียวของจักรพวรรดิ ไม่มีกำแพงสูงหรือคูน้ำล้อมเมือง ไม่มีแนวป้องกันธรรมชาติ เป็นพื้นที่ราบกว้างม้าวิ่งห้อได้สบาย มีเพียงจุดศูนย์กลางที่มีสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ไม่เท่ากันหลายหลังเรียงราย กินอาณาเขตราวร้อยลี้ และไม่มีกระทั่งกำแพงเมือง
ที่นี่ถูกเรียกว่าเมืองปิดภูผา
เมืองที่ไม่มีการป้องกันใดๆ เมืองหนึ่ง
แต่ที่นี่กลับเป็นหนึ่งในเมืองที่แข็งแกร่งที่สุด
เพราะทุกคนที่นี่ ม้าทุกตัว มีเลือดของนักสู้ไหลเวียนอยู่ด้านใน
นับพันปีที่ผ่านมา มีเพียงครั้งเดียวที่เท้าของผู้บุกรุกก้าวเข้ามาถึงที่นี่ได้ แต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าอยู่ที่ระยะสิบลี้ด้านนอกเมืองปิดภูผา
เพราะชายผู้นั้นที่ดูแลเมืองปิดภูผาคือ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ย ตำนานยอดยุทธ์แห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก เป็นตำนานไร้พ่ายที่อยู่บนจุดสูงสุดคนหนึ่ง และเป็นปาฏิหาริย์ที่สร้างผลงานชิ้นเอกตลอดกาล
ศัตรูหน้าไหนก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าตำนานยอดยุทธ์ผู้นี้ต่างหมอบคลาน คุกเข่า ก้มลงกราบทั้งสิ้น
สำหรับศิษย์ทุกคนของทุ่งปิดภูผาและจอมยุทธ์แห่งจักรวรรดิฉินตะวันตกทุกคน ชื่อนี้คือความภาคภูมิใจ เป้าหมาย และบุคคลแบบอย่าง
ในเมืองปิดภูผา ด้านในเรือนหญ้าคาธรรมดาที่เต็มไปด้วยกลิ่นของใบหญ้า ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักหยกขาวผู้หนึ่งกำลังเข้าฌาน เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น นั่นคือดวงตาเช่นไรน่ะหรือ ด้านในมีลมหมุนเมฆลอย มีดวงดาราร่วงหล่น มีการโคจรของอาทิตย์จันทรา มีทะเลโหมซัดสาด…ในดวงตาทั้งคู่แฝงเอาไว้ด้วยประสบการณ์แห่งโลก
ชายหนุ่มที่ดูอายุน้อยจนเกินจริงคนนี้คือ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยนั่นเอง
“มีคนกระตุ้นพลังเซียนโบยบินแห่งเทือกเขาขาวพิสุทธิ์?”
สีหน้าของเขาฉายแววตกใจเล็กน้อย
บนโลกใบนี้ มีเพียงคนส่วนน้อยที่รู้ว่าแท้จริงแล้วในเทือกเขาขาวพิสุทธิ์มีพลังน่าอัศจรรย์ยิ่งซ่อนอยู่ ไหลวนระหว่างฟ้าและดิน หลับใหลอยู่ภายใต้หุบเขา ไม่เหมือนกับพลังใดๆ และยากที่จะขจัดออกไปได้ เคยมีบุคคลยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์และปีศาจเฒ่าคิดจะใช้งานพลังนี้ แต่ท้ายสุดก็ต้องยอมแพ้ กระทั่งขั้นเทวะยังเคยลองมาแล้ว หวังที่จะหยิบยืมพลังเซียนโบยบินนี้มาทำลายขีดจำกัด และเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ ทว่าสุดท้ายก็พ่ายแพ้อยู่ดี
หลี่พั่วเยวี่ยเองก็เคยลองแล้วเช่นกัน ท้ายที่สุดก็ล้มเลิกไป
ทว่าตอนนี้…
“ใครกัน สามารถทำเรื่องที่คนมากมายทำไม่สำเร็จนี้ได้?”
เขาใครรู้ยิ่งนัก
ขณะเดียวกัน ด้านในวิหารเทพสีดำอันยิ่งใหญ่โอ่อ่าแห่งเมืองปิดภูผา มีชายกลางคนหัวล้านอายุราวห้าสิบปีในชุดคลุมหรูหราคนหนึ่ง กล้ามเนื้อนูนขึ้น ราวกับหินผาที่ถูกมีดกรีดขวานฟัน กำลังจับจ้องไปยังตราหยกที่แตกละเอียดเบื้องหน้า ในดวงตาฉายแววตะลึงและเศร้าโศกขึ้นพร้อมกัน
“เหวินหย่วนตายแล้ว หลานรักที่โดดเด่นที่สุดของข้า ตายแล้ว”
เข้ามองตราหยกพลางพึมพำกับตัวเอง
“ใครกัน ใครเป็นคนสังหารเขา?”
เขาลุกขึ้นยืน สีหน้าเคร่งครึมเคียดแค้น
“เหวินหย่วนถูกข้าส่งไปอำเภอขาวพิสุทธิ์ มีหลิวฉงคอยคุ้มกัน ทั่วทั้งเมืองฉางอัน คนที่สังหารเขาได้ก็มีไม่มาก ‘เซียนกระบี่ธุลีแดง’ หลี่กัง ‘เทพกระบี่ขาวพิสุทธิ์’ จ้าวเสวี่ย…ข้าต้องไปที่เมืองฉางอันสักรอบเสียแล้ว คนที่เกี่ยวข้องกับการตายของหลานข้าจะต้องถูกสังหารสิ้น ไม่ให้เหลือรอดสักคน”
……
“ของดีก็ยังมีไม่น้อยเลย”
หลี่มู่กำลังเปิดถุงสมบัติเก็บของของหลิวฉงอย่างอารมณ์ดี
เพียงแค่ตั๋วทองด้านในก็มีกว่าสี่ห้าล้านแล้ว แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็เป็นขั้นเหนือมนุษย์สูงสุดก้าวที่สี่ ภูมิหลังเป็นถึงทุ่งปิดภูผา ตำแหน่งสูงส่ง รายได้ต่างๆ ไม่เคยขาด ขั้นเหนือมนุษย์อย่างไรก็ยังเป็นมนุษย์ ต้องกินดื่มขับถ่ายเช่นกัน สมบัติทางโลกยังมีบทบาทสำคัญอยู่
หลี่มู่เก็บของมาพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก
นอกจากนี้ยังมีตำราลับวิชายุทธ์อีกสิบกว่าประเภท เช่น ‘กระบี่ขอบฟ้าเมฆาคล้อย’ ‘กระบี่เช่ออวี่’ ‘เคล็ดเลี้ยงปราณสวรรค์ชั้นมหาอณูเทพ’ ‘วิชานึกนิมิตหิมะแดนใต้’ ทั้งหมดเป็นวิชาระดับสองระดับสามทั้งสิ้น ถึงแม้จะเทียบกับ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ไม่ได้ แต่สำหรับหลี่มู่ที่เชี่ยวชาญวรยุทธ์แล้ว ก็ถือว่ามีคุณค่าให้อ้างอิงอยู่
นอกเหนือจากนี้ยังมีสมบัติล้ำค่าอีกบางส่วน ส่วนใหญ่จะเป็นกระบี่ หลี่มู่ไม่รู้จักวัตถุดิบในการตีพวกมัน แต่คลื่นพลังวิญญาณของพวกมันดูยิ่งใหญ่มาก คิดแล้วน่าจะเป็นวัตถุดิบล้ำค่าเหมือนกัน หลี่มู่คิดแล้วก็จัดการทำลายทั้งหมด ทำให้กลายเป็นวัตถุดิบตั้งต้น เพื่อนำไปใช้หลอมกับดาบวัฏจักรของตนเอง
เรื่องที่น่าเอ่ยถึงก็คือ อาภรณ์ล้ำค่าชุดหนึ่งในนี้ถักทอมาจากไหมสวรรค์ ดาบหอกแทงไม่เข้า น้ำไม่ซึมไฟไม่ไหม้ ไม่รู้ว่าหลิวฉงไปได้มาจากที่ไหน ดูมีมูลค่าสูงมาก เพียงแต่รูปแบบชุดค่อนไปทางสตรีสวมใส่ หลี่มู่เองคงใช้ไม่ไหว เขาคิดว่าจะเอาไปหลอมเพิ่มพลังสักหน่อย สลักค่ายกลเพิ่มเข้าไปบางส่วน จากนั้นมอบให้กับซ่างกวนอวี่ถิง
นอกเหนือจากนี้อีก ยังมีของจิปาถะอีกมากมายหลายอย่าง แตกต่างกันไป หลี่มู่เอาไปก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร แต่จะคืนให้กับหลิวฉงคงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นเก็บเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน เผื่อคราวหลังมีคนสนิทมากขึ้น เอาไว้มอบเป็นของกำนัลให้ก็ไม่เลว
แต่สิ่งที่ทำให้หลี่มู่แปลกใจก็คือ ในถุงสมบัติของหลิวฉงมีหินก้อนเล็กอยู่สี่ก้อน ดูจากภายนอกสีแดงดำ ราวกับถูกไฟเผารมควันมา ไม่รู้ว่าใช้งานอย่างไร มันทำให้เขาคิดขึ้นได้ว่าในถุงสมบัติของฉู่หนานเทียนกับสี่ยอดผีดิบและเมิ่งอู่ต่างก็มีเจ้าหินแบบนี้ แต่มีประกายแสงสีแตกต่างกัน
เรื่องนี้ ทำเอาเขารู้สึกกลัดกลุ้มมาตลอด
“ทหาร เบิกตัวหลิวฉง”
คราวนี้จับมาเป็นๆ หลี่มู่จึงตัดสินใจจะถามให้กระจ่าง
เพียงครู่เดียว หลิวฉงก็็็็ฟฃถูกนำตัวเข้ามา
ผู้แข็งแกร่งจากทุ่งปิดภูผาที่มีราศีราวเซียนชราผู้นี้ เวลานี้ไม่ต่างจากหงส์ปีกหัก ใบหน้าและผมเพ้าเปื้อนฝุ่นดิน หน้าห่อเหี่ยวคอตก พลังฝึกทั้งหมดถูกสะกดไว้จนสิ้น เมื่อเห็นหลี่มู่ก็เผยสีหน้าเคารพและหวาดกลัวออกมา
“เจ้าของสิ่งนี้ มันเอาไว้ทำอะไร?” หลี่มู่หยิบหินสีดำนั้นออกมา
ใบหน้าของหลิวฉงมีความเจ็บปวดเผยออกมา แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าปิดบัง ตอบกลับไปว่า “สิ่งนี้เรียกว่า ‘หินดารา’ เป็นหินประหลาด มาจากดวงดาวที่ตกจากฟากฟ้าลงมาบนโลก ไม่มีประโยชน์กับคนทั่วไป แต่สำหรับยอดยุทธ์ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ขึ้นไปกลับเป็นของล้ำค่า”
“อ้อ? ไหนเล่ามาอย่างละเอียดหน่อย” หลี่มู่เริ่มเกิดความสนใจ
ของล้ำค่า?
ในเมื่อเป็นสมบัติล้ำค่า ก็ต้องรู้ให้ชัดเจนเสียแล้ว
“หินดาราเป็นสิ่งที่มาจากเหนือฟ้าขึ้นไป ดังนั้นจึงแฝงด้วยกฎแห่งโลกเหนือฟ้า ถึงแม้กฎเหนือฟ้าเหล่านี้จะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นัก แต่ก็สังเกตเพียงบางส่วนแล้วเห็นภาพรวมทั้งหมดได้ สำหรับขั้นเหนือมนุษย์หรือขั้นเทวะ นี่คือเบาะแสที่จะข้ามผ่านสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ หากสามารถบรรลุถึงกฎเหนือฟ้านี้ได้บางส่วน ก็ไม่แตกต่างกับมองเห็นความหวังเล็กๆ ที่จะเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ได้” หลิวฉงเอ่ย
“แฝงด้วยกฎแห่งโลกเหนือฟ้า?” หลี่มู่คลึงหินในมือเล่น ตกสู่ห้วงภวังค์ความคิด
สิ่งที่เรียกว่าหินดารา หากว่ากันด้วยตรรกะบนโลกแล้วน่าจะหมายถึงอุกกาบาต ในอุกกาบาตมีกฎเหนือฟ้าอยู่ เรื่องนี้ฟังแล้วดูไร้สาระไปบ้าง ทว่าหลี่มู่ก็ไม่นึกไปเองว่าเขาเป็นคนฉลาด ส่วนพวกยอดฝีมือยอดยุทธ์บนโลกนี้ล้วนโง่เขลา ในความเป็นจริง ผู้แข็งแกร่งใดๆ ก็ตามที่ฝึกฝนจนอยู่ในขั้นเหนือมนุษย์ได้ ล้วนเป็นพวกสุดยอดในสุดยอด ถ้าอยู่บนโลกมนุษย์ก็คือบุคคลชั้นเยี่ยม ดังนั้นเรื่องที่พวกเขาเข้าใจร่วมกัน จะต้องเป็นสิ่งที่ไม่ผิดอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่เรียกว่ากฎเหนือฟ้านี่ มันคืออะไรกัน?
หลิวฉงกล่าวต่อว่า “นอกเหนือจากนี้ ในหินดารายังแฝงพลังเซียนเหนือฟ้าไว้ด้วย เหล่าจอมยุทธ์สามารถดูดซับมาเป็นพลังของตนเอง มีส่วนช่วยในการฝึกฝน”
หลี่มู่มองหินสีดำในมือ ใบหน้าเผยแววไม่แน่ใจ
เขาไม่รู้สึกอะไรจากในนั้นเลย ไม่มีคลื่นพลังใดๆ แม้แต่นิด
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ชิงหินมาจากตัวของพวกฉู่หนานเทียนและเมิ่งอู่ก่อนหน้า ก็ไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังจากมันเลย แล้วจะดูดซับเพื่อเพิ่มพลังฝึกได้อย่างไร?
หลิวฉงพอเห็นสีหน้าของหลี่มู่ ก็รู้ว่าในใจของเขากำลังฉงน จึงเอ่ย “ในหินดาราเหล่านี้มีพลังแห่งเปลวเพลิงอยู่ แต่หลังจากที่ข้าได้พวกมันมา ก็ดูดซับพลังด้านในจนหมดสิ้นแล้ว ดังนั้น…”
หลี่มู่กระจ่างทันที
เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว
พวกผู้แข็งแกร่งที่ได้รับหินดารามาเหล่านั้น แน่นอนว่าต้องอดรนทนไม่ไหวดูดซับเอาพลังเหนือฟ้าเป็นอย่างแรก หินดาราที่ตนได้มาจากพวกฉู่หนานเทียนกับเมิ่งอู่ พลังที่อยู่ภายในจึงถูกเจ้าของเดิมดูดซับไปจนหมดไม่มีเหลือ
แต่ว่า เนื่องจากในหินดารายังมีสิ่งที่เรียกว่ากฎเหนือฟ้าแฝงอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงยังมองมันเป็นสมบัติล้ำค่า พกพาไว้ติดกาย เมื่อเวลาผ่านไป พลังฝึกทะลวงขั้นเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์หรือเทวะ จึงค่อยมาทำความเข้าใจอย่างละเอียดได้ อย่างไรเสียหินพวกนี้ก็มีเบาะแสการเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ คุณค่านี้สูงค่าเสียยิ่งกว่าที่พวกมันมีพลังเหนือฟ้าอยู่เสียอีก
“ยังมีวิธีการใช้อย่างอื่นอีกหรือไม่?” หลี่มู่เค้นถามให้ถึงที่สุด
หลิวฉงไม่กล้าปกปิด คายออกมาจนหมดเปลือก “ในหินดารายังมีธาตุทองที่ไม่มีอยู่บนโลกนี้อีก เรียกกันว่าโลหะเซียน หากนำมาหล่อหลอมเป็นอาวุธ จะได้อาวุธระดับสมบัติวิญญาณอย่างแท้จริง…เพียงแต่ว่าพวกมันถูกไฟสวรรค์แผดเผามา แข็งแกร่งทนทานจนเกินไป วิธีการปกติจึงไม่อาจหลอมได้”
“เดี๋ยวนะ อาวุธระดับสมบัติวิญญาณ?” หลี่มู่เอ่ยขัดเขา “อาวุธก็แบ่งระดับด้วยหรือ?”
เรื่องนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเช่นกัน
หลิวฉงมองหลี่มู่อย่างตกตะลึง ราวกับประหลาดใจมากที่หลี่มู่ไม่รู้เรื่องนี้ แต่ก็ยังพูดต่ออย่างตรงไปตรงมา “ใต้เท้า อาวุธบนโลกแบ่งเป็นหลายระดับตามวัตถุดิบ ความคม พลังทำลาย หรือคุณสมบัติเหนี่ยวนำปราณแท้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันดี แต่ว่าก็วัดอาวุธธรรมดาเท่านั้น หลังจากเข้าสู่ขั้นฟ้าประทาน ขั้นเหนือมนุษย์ หรือขั้นเทวะแล้ว ความต้องการอาวุธก็จะเข้มงวดขึ้น ดาบทั่วไป ต่อให้เป็นอาวุธเทพคมระดับลมพัดเส้นผมขาดได้ ก็ยังทนรับพลังของผู้แข็งแกร่งระดับนี้ได้ยาก จึงไม่อาจรองรับการใช้งานของยอดฝีมือในขั้นเหล่านี้ ดังนั้นจึงมีอาวุธลึกลับบางส่วนที่อยู่เหนืออาวุธธรรมดาเหล่านี้ปรากฏ เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของเหล่าผู้แข็งแกร่ง…”
“ไม่เอาน้ำๆ แล้ว รีบพูดเรื่องระดับมา” หลี่มู่ถูกสีหน้าประมาณว่า ‘เจ้านี่ไม่มีอารยธรรมเอาเสียเลย’ ของหลี่ฉงกระตุ้นเข้า จึงตะคอกออกมา
ใจหลิวฉงสั่นสะท้าน รีบร้อนตอบกลับ “ขอรับๆๆ…”