จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 306 สละทรัพย์ผดุงธรรม
“จะต้องทัน จะต้องทันแน่”
ตลอดการเดินทาง หลิวฉงไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย เขาเดินทางทั้งวันทั้งคืน มีใจภักดีต่อ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ กระทั่งว่าไม่สงสารเห็นใจกระเรียนขาวของตน เร่งออกเดินทางสุดชีวิต ใช้เวลาน้อยกว่าขาไปหนึ่งวัน ในที่สุดก็กลับมาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์อีกครั้ง
“ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ยังไม่มีกลิ่นอายการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งขั้นเทวะ รองเจ้าสำนักต้องยังไม่ได้ลงมือ ยังทันเวลาแน่นอน” หลิวฉงขี่กระเรียนขาว ครั้นเห็นบรรยากาศในอำเภอขาวพิสุทธิ์ยังสุขสงบ ในใจก็ลิงโลด “ดีจริงๆ ดีที่ข้าหาของวิเศษล้ำค่าที่ย้อนโจมตีค่ายกลและสะกดพลังวิญญาณฟ้าดินในสำนักเทพทุ่งปิดภูผาเจอ ขอแค่มอบให้กับรองเจ้าสำนัก ก็จะสามารถต้านทานวิชาของหลี่มู่ได้แล้ว…”
เขาขี่นกกระเรียนพุ่งไปทางอำเภอขาวพิสุทธิ์ประดุจลูกธนู
“รองเจ้าสำนักหวง ข้าน้อยหลิวฉงมาแล้ว…” เขามุ่งหน้าดิ่งลงไป
หน้าประตูที่ว่าการอำเภอ
หลี่มู่กำลังลากหวงเซิ่งอี้ที่สลบเหมือดไปแล้วกลับอาณาเขตที่ว่าการเก่าเพื่อแกะห่อพัสดุสักหน่อย ตอนนี้เอง เขาได้ยินเสียงตะโกนของหลิวฉง จากนั้นก็เห็นกระเรียนขาวตัวยักษ์ดิ่งลงมาจากท้องฟ้า
“รองเจ้าสำนักหวง ระวังหลี่มู่ด้วย เจ้านี่มันควบคุมพลังฟ้าดินในอำเภอเอาไว้ ข้านำ ‘แผ่นศิลาสะกดค่ายกล’ มาด้วย มันสะกดค่ายกลดาราได้…” หลิวฉงกลัวว่าการตายของหวงเหวินหย่วนจะทำให้หวงเซิ่งอี้พานมาโกรธตน จึงตะโกนบอกความคิดของตนมาแต่ไกล คิดจะสร้างความดีความชอบ!
หลี่มู่ยกมือบังแดด เงยหน้ามองดู ก็พอใจอย่างยิ่ง
โอ๊ะ ตาแก่นี่กลับมาอย่างนั้นรึ
ครั้งที่แล้วปล่อยไป หลี่มู่มาคิดดูแล้ว ในใจรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ หลิวฉงอุตส่าห์เดินทางไกลมาส่งพัสดุด่วนถึงที่ นี่เป็นน้ำจิตน้ำใจแบบใดกัน? สุดท้ายตนเอาไปแค่ส่วนเดียวก็ไล่เขาไปเสียแล้ว อันที่จริงกระเรียนขาวของหลิวฉงตัวนี้ท่าทางไม่เลวเลย เก็บเอาไว้ได้…
คิดไม่ถึงว่าหลิวฉงจะกลับมาอีก
เป็นคนดีนี่นา
หลี่มู่กวักมือพลางหัวเราะคิกคัก “อยู่นี่ๆ ฮ่าๆ มาเร็ว รองเจ้าสำนักหวงของเจ้าอยู่นี่แน่ะ”
หลิวฉงกระโดดลงมาจากกระเรียน ในใจนึกสงสัย ทำไมหลี่มู่ถึงดีใจขนาดนั้น เมื่อดูอีกที บนพื้นมีคนนอนสลบเหมือดจมูกช้ำหน้าบวม รูปร่างและเสื้อผ้าของคนผู้นั้น เหตุใดถึงได้คุ้นตาขนาดนี้ ตีเขาให้ตายเขาก็ไม่คิดว่าจะเป็นหวงเซิ่งอี้ แต่ครั้นได้ยินหลี่มู่พูด หน้าเขาก็คล้ำดำทันที
เป็นรองเจ้าสำนักหวงจริงๆ?
เป็นไปไม่ได้
ล้อเล่นอะไรกัน?
หลิวฉงไม่กล้าเชื่อ
แต่หลังจากเขาพินิจพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง มองไปอีกทีก็ตกใจจนฉี่แทบราด เป็นรองเจ้าสำนักหวงจริงๆ ด้วย เป็นถึงครึ่งขั้นเทวะกลับถูกเล่นงานเสียเหมือนหมู นอนสลบอยู่กับพื้น ไม่เหลือมาดเลยสักนิด หันมองหลี่มู่อีกครั้ง ทั่วร่างเขาไร้บาดแผล…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“เมื่อกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ? แผ่นศิลาสะกดค่ายกล?” หลี่มู่กวักมืออย่าง ‘ต้อนรับขับสู้’ “เอามาให้ข้าดูเร็วเข้า”
“เอ่อ ต้องขอโทษจริงๆ ใต้เท้าหลี่ ท่านน่าจะฟังผิดแล้ว ข้าไม่ทันระวังเลยหลงทางกลับมาอำเภอขาวพิสุทธิ์อีกรอบ ข้าคงต้องกลับแล้วละ…” หลิวฉงหน้าดำทะมึน รีบอธิบายลนลาน จากนั้นจึงหมุนตัวขี่กระเรียนขาวจากไป
“เฮ้ย อย่าเพิ่งไปสิ ข้ายังมีเรื่องต้องปรึกษากับเจ้าอยู่” หลี่มู่ยกมือรั้ง “เอ๋? อย่าเพิ่งไปสิ…ไม่เชื่อฟังใช่ไหม? แกล้งโง่หรือ? ฮี่ๆ ลงมาซะเถอะ”
เขายกมือขึ้น ปราณแท้ฟ้าประทานกลุ่มหนึ่งกดทับหลิวฉงเอาไว้
“นกของเจ้าไม่เลวเลย” หลี่มู่พูดกลั้วหัวเราะ “ข้ารู้สึกว่ากระเรียนขาวตัวนี้มีวาสนากับข้ามากเลย” เขายกมือลูบกระเรียนขาว เดิมก็แค่ทำท่าไปอย่างนั้น แต่ใครจะรู้ว่ากระเรียนขาวตัวนี้กลับเชื่องมาก ใช้หัวถูฝ่ามือหลี่มู่ ร้องออดอ้อนเสียงต่ำ หลี่มู่ตกใจมาก เขาหัวเราะลั่น “เห็นไหมเล่า มันยอมรับข้าเป็นนาย…”
หลังจาก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ที่หลี่มู่ฝึกฝนก้าวสู่ขั้นฟ้าประทานแล้ว ปราณฟ้าประทานจะศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์เป็นที่สุด กลิ่นอายไร้มลทิน มีแรงดึงดูดต่อสัตว์วิเศษบางอย่างเหนือคนทั่วไป ภาพเช่นเมื่อก่อนตอนกำราบเสือดำเบญจมาศแต่กลับถูกมันรังเกียจไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน
หลิวฉงน้ำตานองหน้า
เขายังจะพูดอะไรได้อีก?
เป็นเนื้อรออยู่บนเขียง แม้แต่ผายลมยังเป็นความผิด อาจจะเป็นเหตุให้โดนจัดการก็ได้
ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียวอย่างว่าง่าย และมองกระเรียนขาวอย่างเจ็บแค้นใจ รู้ว่าสัตว์วิเศษสุดรักตัวนี้ นับจากนี้ไปคงต้องบอกลากับตนแล้ว เสี้ยวขณะนั้นเขาเหมือนถูกหลี่มู่แย่งสตรีไปอย่างไรอย่างนั้น
แต่ว่าเสียนกไปตัวหนึ่ง อย่างไรก็ดีกว่าเสียชีวิต
สุดท้าย หลิวฉงก็หยิบ ‘แผ่นศิลาสะกดค่ายกล’ ที่ตนหามาเป็นการเฉพาะจากเมืองปิดภูผาให้หลี่มู่แต่โดยดี ส่วนทรัพยากรทั้งหลายที่เขาเอามาเติมจากเมืองปิดภูผา หลี่มู่ก็กวาดเอาไปหมดไม่มีเหลือ
“ผู้เฒ่า ท่านนี่เป็นคนดีจริงๆ” หลี่มู่ตบบ่าหลิวฉงอย่างเบิกบานมาก “พูดตามตรง วันนั้นข้าเห็นท่านที่เหมือนเซียนแวบแรก ก็รู้สึกว่าท่านเป็นคนใจกว้าง ตรงไปตรงมา สละทรัพย์ผดุงธรรม เรื่องนี้พิสูจน์แล้วว่าข้ามองไม่ผิดจริงๆ ท่านอุตส่าห์เดินทางทั้งวันทั้งคืนกลับไปเมืองปิดภูผา จากนั้นเอาเงินทอง หยกชั้นดี และทรัพยากรต่างๆ มาให้ข้า ขอบใจมาก”
หลิวฉงมองหลี่มู่อย่างโกรธแค้น แต่พูดอะไรไม่ออกสักคำ
ชื่อเสียงดีงามอย่างเช่นสละทรัพย์ผดุงธรรม เขาไม่อยากได้มันแม้แต่น้อย
ยังดีที่สุดท้ายหลี่มู่ปล่อยตัวหลิวฉงไป
เขาไม่ใช่ราชาปีศาจชอบฆ่าคน จับคนไว้ได้ก็ฆ่าเสีย เช่นนั้นจะกลายเป็นอะไรไปแล้ว?
มนุษย์จากดาวโลกจะไม่เป็นมิตรแบบนั้นไม่ได้
อย่างไรในเสียศึกนี้ ทุกที่รอบๆ นอกจากประชาชน ทหาร รวมถึงขุนนางในเมืองแล้ว ยอดฝีมือในยุทธจักรฝ่ายต่างๆ ตามยอดเขาหรือต้นไม้โบราณไกลลิบนอกเมือง หลี่มู่ก็สัมผัสได้ตั้งนานแล้ว ดังนั้นข่าวจะต้องแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วแน่นอน ต่อให้กักตัวหลิวฉงไว้ที่นี่ ข่าวก็แพร่ไปถึงทุ่งปิดภูผาอยู่ดี ไม่มีประโยชน์อะไร
“แยกย้ายไปเถอะ”
หลี่มู่โบกมือ ก่อนลาก ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ที่สลบไสลมุ่งหน้าไปยังเขตที่ว่าการอำเภอเก่าอย่างอดรนทนไม่ไหวแล้ว
เขารีบจริงๆ
เพราะดาบวัฏจักรยังหลอมอยู่ในค่ายกลที่มี ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ เป็นศูนย์กลางอยู่ นับเวลาดูก็น่าจะใกล้เสร็จแล้ว หลี่มู่ต้องรีบร้อนกลับไปหลอมดาบของตัวเองจริงๆ
ฝูงชนที่มุงดูแยกย้ายกันไป
เฝิงหยวนซิง หม่าจวินอู่ กับเจินเหมิ่งสามคนและทหารกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนถนน เรียกสติกลับมาจากความตื่นตะลึง ใบหน้าของทุกคนแดงก่ำเพราะความตื่นเต้นดีใจ
ใต้เท้าชนะแล้ว
อีกทั้งยังชนะอย่างรวดเร็วเด็ดขาดอีกด้วย
นี่หมายความว่าเคราะห์ภัยร้ายสลายไป ความรุ่งเรืองมาเยือน อำเภอขาวพิสุทธิ์จะผงาดขึ้นมาแล้วจริงๆ
เพราะคนที่สามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งครึ่งขั้นเทวะได้ภายในไม่กี่กระบวนท่า ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในแผ่นดินใหญ่เสินโจวก็สามารถค้ำจุนขั้วอำนาจหนึ่งได้แล้ว แม้แต่สำนักเทพทั้งเก้าก็ยังต้องให้ความเคารพผู้แข็งแกร่งเช่นนี้
เมื่อมาถึงระดับนี้จะมีอำนาจเจรจากับสำนักเทพทั้งเก้า สามจักรวรรดิ และขั้วอำนาจทั้งหลายแล้ว
เรื่องทั้งหมดไม่จำเป็นต้องฆ่าแกงกันถึงจะจัดการได้อีกต่อไป
เชื่อว่าต่อไปต่อให้เป็นทุ่งปิดภูผาที่เป็นหนึ่งในเก้าสำนักเทพ ก็จะไม่กดดัน ปราบปราม หรือสังหารอำเภอขาวพิสุทธิ์อย่างไร้เหตุผลอีก
เพราะนี่ไม่ตรงกับผลประโยชน์ของพวกเขา ท่าทีต่อขั้นเทวะจะต้องเคารพนบนอบ เพราะขั้นเทวะแข็งแกร่งมาก พลังชีวิตแก่กล้า สังหารได้ยาก หากยั่วโทสะขั้นเทวะ ผู้แข็งแกร่งขั้นเทวะจะแก้แค้นอย่างไม่เลือกวิธี ต่อให้เป็นสำนักเทพหรือจักรวรรดิก็ยากจะรับความเสียหายมหาศาลได้
ศึกนี้สู้จนชื่อเสียงและบารมีของอำเภอขาวพิสุทธิ์เลื่องลือออกไป
นับจากวันนี้เป็นต้นไป อำเภอขาวพิสุทธิ์จะกลายเป็นเมืองอำเภอที่พิเศษอย่างยิ่ง มีขั้นเทวะคุ้มครอง ใครจะกล้าดูแคลน?
ต่อให้เป็นจักรวรรดิฉินตะวันตกก็ไม่อาจควบคุมที่นี่ได้แบบเมื่อก่อนอีกต่อไป กลับต้องมอบสิทธิพิเศษการปกครองต่างๆ ให้ และมอบผลประโยชน์เพื่อดึงให้ใต้เท้าขุนนางเมืองไปเป็นพวกด้วย
มีขั้นเทวะคนใหม่เพิ่มมาหนึ่ง สำหรับจักรวรรดิฉินตะวันตกแล้วเป็นข่าวดีครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งขั้นเทวะผู้นี้ยังเป็นขุนนางของจักรวรรดิ ขอแค่ไม่ล่วงเกิน ดึงไปเป็นพวกอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่แค่จะทำให้พลังของฉินตะวันตกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่า แต่ยังเพิ่มไพ่ตายระหว่างจักรวรรดิอีกด้วย
และสำหรับพวกเฝิงหยวนซิง ในฐานะที่เป็นคนสนิทของใต้เท้าขุนนางเมือง ตำแหน่งของพวกเขาก็เหมือนเรือที่สูงขึ้นตามน้ำ ไม่สิ ต้องพูดว่าเหมือนเมฆลอยสูงขึ้นฟ้าต่างหาก ลอยทะลุฟ้าไปเลยทีเดียว เป็นคนสนิทของขั้นเทวะเชียวนะ ต่อให้เป็นอัครเสนาบดีของจักรวรรดิก็ยังต้องมองพวกเขาสูงขึ้นกระมัง?
นี่จะไม่ให้พวกเขาดีใจได้อย่างไร?
การยืนหยัดก่อนหน้านี้ การเลือกที่เสี่ยงอันตรายแต่ก่อน ตอนนี้ดูแล้วช่างฉลาดยิ่งนัก ตอนนั้นพวกเขาล้วนลงพนันสุดตัว โดยเฉพาะหลังจากรู้ว่าหวงเหวินหย่วนคือหลานของรองเจ้าสำนักทุ่งปิดภูผา ก็ยังเลือกที่จะสนับสนุนหลี่มู่ นั่นแทบจะเป็นการวางเดิมพันชีวิต…และตอนนี้พวกเขาวางเดิมพันถูกแล้ว
บรรยากาศทั่วทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์เต็มไปด้วยความสุขความยินดี
แต่ก็มีบางคนที่ดีใจไม่ออก
หลี่กังที่ยืนตระหง่านอยู่บนเมฆสูงสองลี้กลางอากาศนอกเมือง สีหน้าเหมือนกินหนูตายอย่างไรอย่างนั้น
สีหน้าเขาเคร่งขรึม ใบหน้าที่เดิมเต็มไปด้วยเสน่ห์งดงามทรงภูมิ มีความเหี้ยมเกรียมแฝงอยู่รางๆ
ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้
หลี่กังถามตัวเอง
เขารู้ตนทำผิดมหันต์แล้ว
ก่อนหน้านี้เขาแนะนำรัชทายาทให้ยื่นฎีกาต่อจักรพรรดิและคณะเสนาบดี ลงโทษหลี่มู่ที่สังหารองค์ชายโดยพลการ เช่นนี้จะลดผลกระทบด้านลบจากการตายขององค์ชายสองต่อขั้วอำนาจรัชทายาทให้ต่ำลงที่สุดได้ ให้หลี่มู่รับบาปไป กลุ่มอำนาจองค์ชายสองได้รับประโยชน์ ช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก อีกทั้งการลงโทษญาติมิตรเพื่อผดุงความยุติธรรมแบบนี้ จะเป็นการเพิ่มคะแนนให้เขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ใช้ชีวิตของลูกชั่วที่ไม่อยู่ในการควบคุม แลกกับการเมืองและชื่อเสียงผลประโยชน์มหาศาล สำหรับหลี่กังแล้วนี่เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ นับเป็นการได้กำไรครั้งใหญ่
แต่ตอนนี้…
หลี่กังต้องคิดให้ดีแล้วว่าจะอธิบายกับรัชทายาทอย่างไร
หลี่มู่เอาชนะครึ่งขั้นเทวะได้ คุณค่าพุ่งเพิ่มขึ้นมหาศาลทันควัน ต่อให้เขาสังหารองค์ชายก็เป็นคนที่ฝ่ายต่างๆ แย่งชิงตัว ต่อให้จักรพรรดิฉินตะวันตกออกจากปิดด่าน ก็ไม่มีทางตำหนิหลี่มู่เพราะการตายขององค์ชายสองเช่นกัน
ยามนี้ หลี่กังหวังเพียงว่าฎีกาขององค์ชายจะยังไปไม่ถึงคณะเสนาบดี
มิฉะนั้น รัชทายาทจะกลายเป็นตัวตลกเอาได้
และตัวการก็คือเขา หลี่กังนั่นเอง
ผิดแผนแล้ว
หลี่กังกลัดกลุ้มนัก แปลงเป็นแสงกระบี่มุ่งกลับไปเมืองฉางอัน
จ้าวเสวี่ยมองไปทางที่หลี่กังหายลับไป ก่อนจะแย้มยิ้ม
“พวกเราไปเถอะ” เขาพาจ้าวอวี่หมุนตัวจากไป
จ้าวอวี่เอ่ยถาม “ท่านอาจารย์ เหตุใดไม่เข้าเมืองไปพบหลี่มู่เล่า? วันนี้ท่านมาด้วยความหวังดี ถึงแม้สุดท้ายจะไม่ได้ช่วยอะไร แต่น้ำใจครั้งนี้ก็ส่งถึงแล้วนี่ขอรับ”
“การคบค้าของสัตบุรุษราบเรียบดุจวารี พวกเราไม่ได้ช่วยหลี่มู่ จะสร้างบุญคุณเพราะใจที่คิดหวังดีได้อย่างไร?” จ้าวเสวี่ยกล่าวพลางยิ้มเล็กน้อย
เขาสวมชุดขาว ผมยาวขาวราวหิมะ ยามอยู่ท่ามกลางแสงกระบี่ราวเทพเซียนในหมู่มวลมนุษย์ ท่าทางล่องลอย สง่างดงาม
วันนี้มาก็แค่เพื่อปกป้องอัจฉริยะของฉินตะวันตกเท่านั้น
ตอนนี้เป้าหมายบรรลุแล้ว เช่นนั้นก็กลับเถอะ