จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 310 ซื้อใจ
รัชทายาทเหมือนคนใบ้กินหวงเหลียน ขื่นขมระทมใจแต่พูดไม่ได้
เพราะเรื่องที่ให้หลี่มู่รับบาปเรื่องนี้เป็นหลี่กังที่แนะนำมา ในฐานะคนสนิทที่เขาเชื่อใจมากที่สุด หลี่กังมีตำแหน่งสูงมากในใจของเขามาโดยตลอด เป็นขุนพลบัณฑิตที่เพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ โดยเฉพาะครั้งนี้ หลังจากกำจัดองค์ชายสองได้ที่เมืองฉางอัน หลี่กังก็นั่งตำแหน่งบุคคลหมายเลขหนึ่งขององค์รัชทายาทได้อย่างมั่นคง
วันนั้น จดหมายของหลี่กังเสนอให้รัชทายาทโยนให้หลี่มู่เป็นแพะรับบาปโทสะขององค์จักรพรรดิที่อาจมาถึง องค์รัชทายาทตกใจมาก
เพราะเขารู้ว่าหลี่มู่คือลูกชายของหลี่กัง
ตอนนั้นทันทีที่ได้ยินว่าองค์ชายสองถูกหลี่มู่สังหาร รัชทายาทก็เคยคิดจะรับหลี่มู่ที่ศักยภาพไร้ขีดจำกัดเอามาไว้ใช้เอง ให้พ่อลูกสกุลหลี่ทั้งสองร่วมมือกัน กลายเป็นเรื่องเล่าขานอันงดงามไปชั่วขณะหนึ่ง
อย่างไรเสีย องค์รัชทายาทก็มีใจที่ชื่นชอบคนมีความสามารถ
แต่ในจดหมายของหลี่กังกลับแนะนำว่าหลี่มู่ไม่อยู่ในการควบคุม ดื้อแพ่งพยศ ไม่อาจทำงานเพื่อองค์รัชทายาทได้ จึงเสนอให้กำจัดทิ้งเสีย
รัชทายาทขบคิดอย่างรอบคอบแล้ว ก็เห็นด้วยกับข้อแนะนำของขุนพลคนสนิทคนนี้
หนึ่งคือจะปฏิเสธความคิด เมินเฉยต่อความหวังดีของหลี่กังในตอนนี้ไม่ได้ สองคือองค์รัชทายาทในตอนนั้นก็คิดว่าสถานการณ์ส่วนใหญ่อยู่ในกำมือของตนแล้ว ขั้นฟ้าประทานที่พอจะมีศักยภาพนิดหน่อยคนหนึ่ง ใช่ว่าจะสละไม่ได้สักหน่อย
แต่ว่าตอนนี้…รัชทายาทอยากจะลากตัวหลี่กังมาถามต่อหน้าเสียจริงว่า เขาเสนอแนะความคิดเห็นบ้าบออะไรออกมา ให้ทิ้งคนที่จับเป็นครึ่งขั้นเทวะเอาไว้ได้ อีกทั้งยังให้ปีศาจที่น่ากลัวขนาดนี้ไปรับบาปแทนตนอีก
นี่มันแกว่งเท้าหาเสี้ยนชัดๆ
ไพ่ดีๆ ในมือ เล่นเสียจนเละเทะไปหมด
ยังมีเรื่องที่น่าเศร้ากว่านี้อีกไหม?
แต่สุดท้ายแล้วองค์รัชทายาทก็สะกดโทสะของตนเอาไว้ได้
อย่างไรเสียหลี่กังก็เป็นผู้ช่วยที่ควรค่าแก่การเชื่อใจของเขา หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยทำพลาดเลยสักครั้ง อีกทั้งยังจงรักภักดี หากตำหนิเขาเพราะเรื่องนี้ จะดูไร้น้ำใจไปนิด สิ่งที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้นคือ หลี่กังอย่างไรก็เป็นบิดาแท้ๆ ของหลี่มู่ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องสกปรกโสมมอะไรระหว่างทั้งสองคน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดเดียวกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจตัดขาดได้ ใครจะรู้ว่าหลังจากนี้ทั้งสองจะเกี่ยวข้องอะไรกันอีกหรือไม่
ในห้องหนังสือ หลังจากทุ่มชั้นวางพู่กันสีเขียวอ่อนที่ตนรักที่สุดลงพื้น รัชทายาทก็ค่อยๆ สงบลง
“ใครก็ได้”
เขาเรียกสาวใช้เข้ามาเก็บกวาดห้อง
จากนั้นขันทีคนสนิททั้งหลายก็รับคำสั่งจากไปอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป บุคคลสำคัญบางคนในกลุ่มขั้วอำนาจขององค์ชายสองถูกเรียกมายังวังบูรพา
“ใต้เท้าทุกท่าน ลองว่ามาซิว่าควรจะแก้ไขอย่างไร” องค์รัชทายาทกลับสู่ความสุขุม แย้มยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ย
ปีนี้เขาอายุสามสิบสี่กว่า บุคลิกทรงภูมิสง่างาม หน้าตาหล่อเหลา ยามเขาใจเย็นลงจะมีกลิ่นอายอบอุ่นน่าเข้าใกล้ และส่วนมากเขาก็คบค้าให้ความสำคัญกับนักปราชญ์ราชบัณฑิต ผู้คนมากมายในจักรวรรดิฉินตะวันตกรู้สึกว่าเขามีลักษณะอย่างผู้ปกครอง จึงได้รับการสนับสนุนอย่างมาก
“จะต้องรีบส่งคนไปอำเภอขาวพิสุทธิ์” ชายชราเคราแพะเอ่ยปากโดยแทบไม่ต้องคิด
คนทั้งหมดเห็นพ้องต้องกันกับความคิดนี้
ไม่มีอะไรต้องหารือ นี่คือข้อคิดเห็นที่ตรงกัน
บุคคลน่าครั่นคร้ามที่จับเป็นครึ่งเทวะได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นเทวะ และสำหรับขั้นเทวะแล้ว ต่อให้เป็นจักรพรรดิยังต้องยอมถอยให้ ในมือของขั้นเทวะควบคุมพลังที่น่ากลัวเอาไว้ เพียงแค่หนึ่งความคิดก็สามารถทำลายเมืองหนึ่ง เป็นบุคคลที่ไม่อาจใช้จำนวนต่อกรด้วยได้
“เช่นนั้นส่งใครไป?” รัชทายาทกวาดตามองรอบๆ ก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมา “ทุกท่านก็น่าจะรู้แล้ว ก่อนหน้านี้เพราะข้าไม่ตรวจสอบให้ดีก็ส่งฎีกาให้คณะเสนาบดีลงโทษหลี่มู่ เกรงว่าข่าวนี้คงรู้ไปถึงหูหลี่มู่ และสร้างความไม่พอใจให้กับขุนนางเมืองขาวพิสุทธิ์ผู้นี้แล้ว แผนครั้งนี้สำคัญยิ่งนัก” เขาไม่ได้บอกกับคนอื่นว่าฟังข้อเสนอมาจากหลี่กัง นับว่าปกป้องฝ่ายนั้นจากเรื่องนี้
เหล่าขุนนางและที่ปรึกษาทั้งหลายต่างขมวดคิ้ว
เรื่องใดๆ ก็ตามแต่หากเกี่ยวพันถึงผู้แข็งแกร่งขั้นเทวะ ล้วนทำให้คนรู้สึกว่าก้าวต่อไปได้ยากลำบากนัก ไม่มีใครกล้าลอบวางแผนต่อเทวะ ทำได้แค่ใช้ผลประโยชน์ ใช้ชื่อเสียงดึงเข้าเป็นพวก
แต่ปัญหาคือ องค์รัชทายาทในตอนนี้มอบอะไรให้ได้?
หรือเปลี่ยนเป็นอีกประโยคคือ หลี่มู่ในตอนนี้ต้องการอะไร?
ต้องซื้อใจ ถึงอาจจะดึงมาเป็นพวกได้
ทว่า คนทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เมื่อคิดย้อนอย่างละเอียดก็พบว่าตัวเองไม่เข้าใจหลี่มู่เลยสักนิด
พวกเขาล้วนเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวรรดิฉินตะวันตก แค่กระทืบเท้าก็สร้างแรงสั่นสะเทือนได้ มีทั้งขุนนางใหญ่ในคณะเสนาบดี มีสมุหนายกที่ควบคุมการยื่นฎีกา มีเสนาบดีที่ควบคุมกรมอาญา และยังมีนักปราชญ์ที่ชื่อเลื่องลือไปทั้งเมืองฉิน
สิ่งที่พวกเขาสนใจล้วนเกี่ยวกับชะตาของจักรวรรดิ หรือเรื่องใหญ่ในราชสำนัก
สำหรับพวกเขาที่สูงส่งเหนือผู้อื่น ก่อนหน้านี้ได้ยินชื่อของหลี่มู่ก็เป็นเรื่องบังเอิญยิ่ง อีกทั้งแค่รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ด้านยุทธ์เลิศล้ำคนหนึ่งเท่านั้น คนที่ให้ความสำคัญกับอนาคตก็แค่จับตาดูบ้าง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าต้องไปเข้าใจสืบข่าวเด็กหนุ่มคนนี้เป็นพิเศษ ก็เหมือนกับมังกรที่ไม่มีทางไปสนใจมดปลวกที่แข็งแกร่งเล็กน้อย
ทว่าตอนนี้ เพียงแค่ชั่วข้ามคืน หลี่มู่กลายเป็นปฐมเทวะแล้ว
จากก้มมองดูเมื่อก่อน กลายเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมอง พวกเขาไม่ค่อยชินเอาเสียเลย
ความชอบ นิสัย อารมณ์ และเรื่องต่างๆ พวกนี้ของหลี่มู่ พวกเขาไม่รู้เลยสักนิด…ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับคำถามขององค์รัชทายาท ก็ไม่มีใครเอ่ยปากตอบได้ในทันที
“ได้ยินว่าหลี่มู่ประมูลสาวงามไปหลายสิบคนจากหน่วยเลี้ยงรับรอง และเคยแต่งบทกวีอมตะให้กับนางคณิการะดับสูงฮวาเสี่ยงหรง…จึงอนุมานได้ว่าคนคนนี้จะต้องลุ่มหลงนารีเป็นอย่างมากแน่นอน” เสนาบดีกรมอาญาเอ่ยเนิบช้า “อายุน้อยมีชื่อเสียง เลือดร้อนมากพลัง หากลงมือจากด้านนี้ละก็…”
รัชทายาทดวงตาฉายประกาย
สาวงาม ในเมืองฉินมีเยอะแยะไป
ขอแค่ดึงหลี่มู่มาได้ ไม่ว่าจะเป็นราชนิกูลชนชั้นสูงหรือหญิงงามต่างแดนล้วนหามาได้ทั้งสิ้น
“ป๋อเยี่ยนพูดผิดแล้ว” ชายเคราแพะก่อนหน้านี้ส่ายหน้า โต้เถียงว่า “คนใจง่ายไม่มีทางเขียนกลอนอย่าง ‘กลอนสาวงาม’ ‘ชมฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์ • จันทร์เจ้าเมื่อไหร่เล่าเจ้าเต็มดวง’ ออกมาได้ กระหม่อมกลับคิดว่าหลี่มู่คนนี้หากมากรักนั้นบางทีอาจเป็นไปได้ แต่ไม่ถึงกับใจง่าย ส่งสาวงามไปให้อาจได้ผลตรงกันข้าม”
เสนาบดีกรมอาญานามเจี่ยหวน ชื่อรองป๋อเยี่ยน
ส่วนชายชราที่พูดคนนี้ชื่อต่งรุ่ย เป็นยอดฝีมือขั้นเหนือมนุษย์ในหมู่ก้งเฟิ่งของเชื้อพระวงศ์ฉินตะวันตก บรรลุจิตสูงสุดแห่งวิถียุทธ์จากงานเขียนพู่กันหรือภาพวาด ไม่สนใจในชื่อเสียงและลาภยศ ไม่ขอตำแหน่งขุนนาง รัชทายาทใช้ความคิดไม่น้อย มอบภาพเขียนจริงของจิตกรใหญ่แต่ละยุคในอดีตมากมายให้ ถึงจะดึงคนผู้นี้มาอยู่ฝั่งตัวเองได้
“โอ้ เช่นนั้นต่งก้งเฟิ่งมีความคิดเห็นประการใด?” เสนาบดีกรมอาญาเจี่ยหวนย้อนถาม
ต่งรุ่ยยืนขึ้น หันไปประสานมือให้กับรัชทายาท “กระหม่อมได้รับความเมตตาจากองค์รัชทายาท ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ หลายปีมานี้ไม่เคยสร้างคุณงามความดีอะไรเลย ครั้งนี้ ข้าขอเสนอตัวไปอำเภอขาวพิสุทธิ์เพื่อโน้มน้าวหลี่มู่ให้รับใช้องค์รัชทายาท”
องค์รัชทายาทดีใจอย่างยิ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ดี ผู้รู้ใจข้าคือผู้เฒ่าต่งคนนี้นี่เอง แต่ไม่ทราบว่าผู้เฒ่าต่งจะโน้มน้าวหลี่มู่อย่างไร? มีอะไรที่ข้าช่วยได้หรือไม่?”
ต่งรุ่ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้เฒ่าขอบังอาจ ให้ฝ่าบาทจัดเตรียมหยกชั้นเลิศหนึ่งพันจิน แร่ห้าธาตุอย่างละหนึ่งหมื่นจิน แร่ชนิดอื่นๆ อย่างละสามพันจิน และตำราลับวิชายุทธ์ระดับสองขึ้นไปสามสิบเล่มไปเป็นของกำนัล อีกทั้งยังแต่งตั้งหลี่มู่เป็นไท่ไป๋อ๋องภายในนามของฝ่าบาท ให้ดูแลปกครองอำเภอขาวพิสุทธิ์เอง มีอำนาจสังหารในเขตการปกครอง ไม่อยู่ใต้การปกครองของเมืองฉางอัน หากหลี่มู่อยากรักษาตำแหน่งขุนนางต่อไป ก็ให้เขาสามารถสะสมกำลังทหาร มีอำนาจปกครองดูแลไม่ต่างอะไรกับเจ้าผู้ครองแคว้น ไม่ต้องหมอบเคารพ ไม่ต้องเข้าเมืองหลวง ไม่ต้องจ่ายภาษี! หากหลี่มู่ไม่สนใจชื่อเสียงผลประโยชน์ ก็อนุญาตให้เขาเปิดสำนัก องค์รัชทายาทยินดีมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้เขา”
คนทั้งหลายที่นั่งอยู่ เมื่อได้ยินต่างสูดลมหายใจ
เงื่อนไขพวกนี้จะมากเกินไปกระมัง?
นี่มันแบ่งดินแดนแต่งตั้งตำแหน่งอ๋องชัดๆ
แต่งตั้งอ๋องเชียวนะ!
นี่คือเรื่องที่คนทั้งหลายในที่นี่ปรารถนามาตลอดชีวิตมิใช่หรือ? สุดท้ายคนที่ได้ตำแหน่งอ๋องจริงๆ จะมีสักกี่คนกัน ค่าตอบแทนแบบนี้กล่าวได้ว่าเป็นขุนนางที่ตำแหน่งสูงที่สุดได้เลย
“ได้” องค์รัชทายาทเด็ดขาด ตกลงทันที
ขุนนางทั้งหลายมองไปยังรัชทายาทอย่างตกใจ
แต่มาคิดดูให้ละเอียด หลี่มู่เป็นปฐมเทวะแล้ว ปกครองอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็ถือว่าเป็นเจ้าเมืองท้องถิ่น ต่อให้รัชทายาทไม่แต่งตั้ง หรือจะมีใครกล้าไปยุ่งกับเขา? ไปเก็บภาษีอำเภอขาวพิสุทธิ์? ต่อให้หลี่มู่เปิดสำนักของตัวเองแล้วจะมีใครกล้าคัดค้านจริงๆ?
ดังนั้นจัดการทำเรื่องที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วให้เป็นทางการ แต่งตั้งมอบเกียรติยศให้หลี่มู่ไปเสียเลย นี่ถือว่าผลักเรือไปตามน้ำ สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับหลี่มู่
อีกทั้ง เรื่องนี้หากทำได้ดีก็เท่ากับเป็นการดึงหลี่มู่มาอยู่ฝั่งจักรวรรดิฉินตะวันตก ต่อให้องค์จักรพรรดิออกจากปิดด่าน เมื่อได้รู้ต้นสายปลายเหตุก็ไม่มีทางตำหนิลงโทษรัชทายาทเด็ดขาด กลับจะปูนบำเหน็จให้ด้วยซ้ำ
เพราะนี่คือปฐมเทวะเชียวนะ อีกทั้งยังเป็นปฐมเทวะที่อายุน้อยเพียงเท่านี้อีกด้วย ในอนาคตจะเติบโตได้ถึงระดับใดกัน?
ขั้นทะลวงสวรรค์?
ใครก็บอกไม่ได้ทั้งนั้น
หากปราการโลกการฝึกยุทธ์ที่หลายปีที่ผ่านมานี้ทะลวงไม่ได้ ถูกคนผู้นี้ทำลายได้จริงๆ เล่า?
“เช่นนั้นก็เชิญองค์รัชทายาทรอข่าวดีจากข้าเถิด”
เห็นรัชทายาทตอบรับเงื่อนไขของตน ต่งรุ่ยก็คำนับสุดตัว จากนั้นประสานมือให้กับขุนนางทั้งหลายที่อยู่ที่นั่น ก่อนจะหมุนตัวจากไป
เงื่อนไขที่รัชทายาทตกลงพวกนี้ต้องใช้เวลาเตรียมถึงสองวัน
ต่งรุ่ยไม่ได้รีบร้อนไปจากเมืองหลวง
หลังเขาออกจากวังบูรพาไป ก็มุ่งหน้าไปยังสำนักตรวจการสาขาหลักเพื่อพบสหายเก่าแก่คนหนึ่ง
หากเชิญให้สหายเก่าผู้นี้ออกโรงได้ เรื่องโน้มน้าวหลี่มู่ก็สำเร็จไปแปดส่วนแล้ว
……
เมืองฝูเฟิง
ที่ว่าการเจ้าเมือง ในโถงประชุมใหญ่
ใต้เท้าเจ้าเมืองไม่ได้นั่งอยู่ตรงที่นั่งประธาน เพราะคนที่นั่งอยู่บนนั้นคือเจิ้นซีอ๋องผู้มีรูปร่างสูงกำยำ
“พ่อบุญธรรม ลูกส่งคนไปเขาขาวพิสุทธิ์ พร้อมทั้งนำของกำนัลไปแสดงไมตรีกับหลี่มู่แล้ว หวังว่าจะเปลี่ยนสงครามเป็นสันติภาพได้ อย่างที่กล่าวกันว่าไม่ลงมือกับคนที่ยิ้มให้ เชื่อว่าเขาจะไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเราอีก อย่างไรเสียเรื่องนี้แต่แรกก็เป็นเขาที่ลงมือฆ่าคนก่อน”
ใต้เท้าเจ้าเมืองผู้นี้เป็นชายวัยกลางคนที่ดูแล้วอายุแค่สามสิบเท่านั้น หน้าเหลี่ยมหูยาน แขนยาวเลยเข่า มุมปากมีไฝแดงเม็ดหนึ่ง สวมชุดดำพกกระบี่ บุคลิกไม่ธรรมดา
เจิ้นซีอ๋องพยักหน้า “ดียิ่งนัก…ใช่แล้ว สืบต่อไปด้วย จะต้องซื้อใจให้ได้ หากหลี่มู่รับใช้ข้า การใหญ่ก็จะสำเร็จ”
เขาก็ไม่เสียดายว่าต้องจ่ายอะไร คิดอยากดึงหลี่มู่เป็นพวก
ตอนนี้เจิ้นซีอ๋องทิ้งความคิดที่จะแก้แค้นหลี่มู่ไปแล้วโดยสมบูรณ์ ก็แค่ลูกชายคนเดียวเท่านั้น ตายแล้วก็ตายไปเถอะ วันหน้ายังมีใหม่ได้ ผู้ทำการใหญ่ไม่เสียดายเรื่องเล็กน้อย แค่หวังว่าต่อให้หลี่มู่ไม่รับใช้ตน แต่ด้วยของกำนัลมูลค่ามหาศาลเช่นนี้ อย่างน้อยหลี่มู่ก็จะไม่ยุ่งเรื่องก่อกบฏของตน
“ดี แล้วก็ประกาศไปให้ทั่ว รัชทายาทองค์ปัจจุบันเหี้ยมโหดไร้คุณธรรม โป้ปดองค์จักรพรรดิ สังหารองค์ชาย ใส่ร้ายป้ายสีขุนนางผู้ภักดี เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เผยแพร่ฎีกาฟ้องร้องรัชทายาทยี่สิบเอ็ดประการที่ร่างเอาไว้เรียบร้อยแล้วก่อนหน้านี้ออกไป นับจากวันนี้ ‘กองทัพกบฏ’ แห่งเมืองฝูเฟิงจะโค่นรัชทายาท” เจิ้นซีอ๋องเอ่ยอย่างฮึกเหิม
เขาจะก่อกบฏแล้วอย่างสมบูรณ์