จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 313 คลื่นอีกลูก
ในช่วงนี้ ดูแล้วหวางซืออวี่น่าจะยังไม่มีอันตราย
หลี่มู่สามารถรอให้พลังของตนยกระดับจนถึงขั้นเทวะอย่างแท้จริงก่อน ค่อยไปซ่งเหนือเพื่อหาดาวโรงเรียนร่วมโต๊ะคนนี้
แต่พูดตามจริง ราชาปีศาจหลี่ใจร้อน ค่อนข้างจะรอไม่ไหว
ความยินดีที่ได้พบเพื่อนเก่าในต่างแดนเช่นนี้ คนที่ไม่เคยเจอไม่มีทางรู้ได้เลย
อีกทั้งหวางซืออวี่เคยเป็นผู้หญิงที่เขามีความรู้สึกดีๆ ให้อีก
หลี่มู่ยังถามเรื่องที่เกี่ยวกับท่านหญิงหวนจูต่อมากมาย
เมื่อฟังมากขึ้น หลี่มู่ยิ่งยืนยันได้ว่าท่านหญิงหวนจูคนนี้จะต้องเป็นหวางซืออวี่แน่
เพราะจากปากของจ้าวจี้ เรื่องสนุกที่เล่าลือกันของท่านหญิงหวนจูหลายเรื่อง คนอื่นๆ อาจจะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้นที่นางเล่น แต่หลี่มู่มองเห็นความเหงาและเบื่อหน่ายของสาวน้อยดาวโลกที่พลัดหลงมาอยู่ในดาวแปลกหน้านี้
การต่อสู้กับ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ บวกกับ ‘กลอนสาวงาม’ และ ‘จันทร์เจ้าเมื่อใดเล่าเต็มดวง’ ถูกเล่าลือไปถึงซ่งเหนือ ทำให้ชื่อเสียงของหลี่มู่ระบือไกล หวางซืออวี่จะต้องได้ยินบทกวีเหล่านี้แล้วอย่างแน่นอน บวกกับชื่อหลี่มู่อีก ดังนั้นจึงเดาได้ว่าหลี่มู่คนนี้ก็คือหลี่มู่คนนั้นบนโลก
“ข้าอยากพบท่านหญิงหวนจู นางมาที่เขาขาวพิสุทธิ์ในจักรวรรดิฉินตะวันตกได้หรือไม่?” ท้ายสุดหลี่มู่ก็เอ่ยขึ้นตรงๆ
ในเมื่อตนเองไปไม่ได้ ก็ให้หวางซืออวี่มาที่อำเภอขาวพิสุทธิ์แล้วกัน
จ้าวจี้เวลานี้รู้สึกแปลกใจและอยากรู้อยากเห็นถึงขีดสุดแล้ว
“ท่านปฐมเทวะอยากพบท่านหญิง ตามหลักการแล้วได้ขอรับ ขอเพียงท่านหญิงหวนจูยินยอมมา…” จ้าวจี้ขบคิด มอบคำตอบเอนไปทางมั่นใจออกมา แต่จริงๆ แล้วในใจเขากำลังวางแผนว่าจะรายงานเรื่องนี้กับเหออ๋องอย่างไรดี
นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างความสัมพันธ์กับปฐมเทวะหลี่มู่
หลี่มู่ผงกศีรษะ เอ่ยต่อว่า “เช่นนั้นท่านทูตซ่งก็รีบกลับไปขอคำชี้แนะเรื่องนี้เถิด”
เขารอไม่ไหวแล้ว
“แล้วข้อเสนอจากฝ่าบาทเหออ๋องของข้า…” จ้าวจี้ถามอ้อมๆ
หลี่มู่ตอบ “เหออ๋องมีฐานะเป็นอย่างไรในซ่งเหนือ?”
จ้าวจี้จิตใจสั่นไหว เอ่ยต่อว่า “ฝ่าบาทเหออ๋องเป็นหนึ่งในราชบุตรทั้งสามที่ได้รับความรักจากจักรพรรดิมากที่สุด ควบคุมดูแลทหารรักษาวังหนึ่งในสาม คำพูดยังมีอำนาจมากในราชสำนัก…”
หลี่มู่ฟังถึงจุดนี้ก็ได้ขัดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ดี เจ้ากลับไปบอกกับเหออ๋อง ขอแค่เขาส่งตัวท่านหญิงหวนจูมายังอำเภอขาวพิสุทธิ์นี้ได้ ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขใดก็ตาม ข้ารับปากเขาได้ทั้งหมด”
จ้าวจี้เมื่อได้ยิน ในใจก็ฮึกเหิม
เช่นนี้ก็ง่ายแล้ว ไม่กลัวเรื่องที่ปฐมเทวะจะยื่นเงื่อนไข กลัวเขาไม่ยื่นเสียมากกว่า
ถ้ายื่นเงื่อนไขมาเช่นนี้ ก็มีช่องทางดึงสถานการณ์แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เงื่อนไขนี้ไม่ได้มากเกินไปเลย
“ข้าเข้าใจแล้ว” จ้าวจี้ตอบกลับด้วยมารยาท
หลี่มู่คิดๆ และเสริมต่ออีกประโยค “ไม่เพียงแค่เหออ๋องเท่านั้น เจ้าเอาคำพูดข้าไปบอกต่อด้วย ใครก็ตาม ขอแค่สามารถส่งตัวท่านหญิงหวนจูมาที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ ก็ต่อรองเงื่อนไขกับข้าได้ แต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้น เจ้ายังต้องเป็นทูตและมาด้วยตนเอง เข้าใจความหมายใช่ไหม?”
จ้าวจี้ตะลึง ก่อนเข้าใจทันที ในใจพลันลิงโลดขึ้นมา
ความหมายของปฐมเทวะหลี่มู่ง่ายมาก ในดินแดนซ่งเหนือ ใครก็ตามที่อยากจะมาคุยเงื่อนไขกับเขา นอกจากการส่งตัวท่านหญิงหวนจูมาแล้ว ยังมีเงื่อนไขแนบอีกข้อคือต้องให้เขามาเป็นทูต หรือก็หมายถึงว่าจ้าวจี้กลายเป็นหมั่นโถวหอมๆ ลูกหนึ่งไปแล้ว
นี่ถือเป็นพุทราหวานที่ปฐมเทวะหลี่มู่หยิบยื่นให้ตนเองหรือไม่?
“ขอบคุณท่านปฐมเทวะ” เขาทำความเคารพด้วยอาการนอบน้อม
การปฏิบัติต่อกันด้วยน้ำใจก็ถือเป็นสภาพการณ์ประเภทหนึ่ง แรกเริ่มเคยได้ยินว่าปฐมเทวะหลี่มู่เกะกะระรานกำเริบเสิบสาน สังหารคนราวถางหญ้า ยิ่งไปกว่านั้นยังไร้ซึ่งเหตุผล แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่ลือกันไม่เป็นเรื่องจริงเลย อย่างไรเสียผู้ที่ฝึกวรยุทธ์ได้ถึงขั้นเทวะเช่นนี้ มีใครบ้างที่เป็นคนป่าเถื่อน?
จ้าวจี้ถึงแม้ไม่ได้มีใจทรยศเหออ๋อง แต่มีความสัมพันธ์ชั้นหนึ่งกับปฐมเทวะหลี่มู่แล้ว ก็สามารถคิดไปได้ว่าหลังจากกลับไปถึงซ่งเหนือ ฐานะตำแหน่งของเขาจะต้องเหมือนเรือไหลตามน้ำขึ้น จะได้มีตำแหน่งที่สูงยิ่งกว่าเดิมภายใต้บัญชาของเหออ๋อง
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงพาตัวจ้าวจี้ทูตจากซ่งเหนือเดินออกไป
หลี่มู่ค่อยๆ สงบใจลงจากอาการดีใจ
เขายังคิดไปต่ออีกมากมาย
หวางซืออวี่ไม่เขียนจดหมายร่ายยาวมา แต่กลับเขียนแค่บทกวี ‘ความคิดคำนึงในคืนเงียบสงบ’ มาหยั่งเชิงเช่นนี้ มันดูแปลกอยู่นิดหน่อย หากว่าตามหลักการ นางไม่ควรเขียนจดหมายยาวเหยียดเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมดสักรอบหนึ่งหรอกหรือ? แต่ว่าวิธีการนี้…เหมือนกำลังระวังป้องกันอะไรอยู่?
กำลังป้องกันอะไรกันแน่นะ?
ความคิดหลี่มู่ล่องลอยไปไกล ค่อยๆ คิดถึงว่าตนเองพบกับเรื่องประหลาดบางหนึ่ง กลุ่มคนชุดดำ แล้วยังการกราบไหว้บูชายานอวกาศในห้องใต้ดินของพวกอันธพาลในตำบลสุขสงบ…
หลี่มู่รู้สึกเลาๆ ราวกับมีมือล่องหนคู่หนึ่งกำลังลากจูงสายบางอย่าง ดึงเอาคนบางส่วนให้เข้ามาอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำวน
วันนั้นในศึกใหญ่ที่เมืองฉางอัน ข้างกายหลี่กังมียอดฝีมือลึกลับอีกคนหนึ่ง ยอดฝีมือที่ปล่อยลำแสงสีน้ำเงินเข้มสายหนึ่งไปโจมตีองค์ชายสอง หลี่มู่รู้สึกว่าลำแสงนี้เหมือนจะไม่ได้ปล่อยมาจากเคล็ดวิชายุทธ์ใดๆ แต่เป็นอานุภาพจากอาวุธเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์บางอย่าง
คืนเดียวกันนั้น จ้าวจี้ทูตจากซ่งเหนือตื่นขึ้นแล้วจากไป
ไม่มีใครรู้ว่าเขากับหลี่มู่คุยเรื่องอะไรกัน แต่จากท่าทีการจากไปอย่างลุกลี้ลุกลนของทูตซ่งคนนี้ ดูเหมือนว่าผลการเจรจาไม่ค่อยจะดีนัก
เพราะการเจรจากับขั้นเทวะคนหนึ่ง หากเป็นไปด้วยดีจริงๆ ละก็คงไม่ง่ายดายเช่นนี้ ต้องเกี่ยวเนื่องไปถึงอีกหลายด้านอย่างแน่นอน
คนมากมายที่คอยจับตาดูเรื่องนี้อยู่ต่างวางใจลงได้บ้าง
วันที่สอง ต่งรุ่ยทูตขององค์รัชทายาทมาขอเข้าพบอีกครั้งพร้อมกับ ‘หมัดเทพทลายฟ้า’ สวีเซิ่ง
เมื่อเข้ามาในโถงใหญ่ ต่งรุ่ยยิ้มกว้างขอบคุณหลี่มู่
เพราะประโยคที่ว่า ‘ผืนดินอยู่บนพื้นฐานแห่งฟ้า ฟ้าอยู่บนพื้นฐานแห่งเต๋า เต๋าอยู่บนพื้นฐานแห่งธรรมชาติ’ นั้น ในชั่วเวลาหนึ่งคืนเขาทะลวงคอขวดที่ขบคิดมานานแสนนานลงได้ จนเข้าสู่ก้าวที่ห้าขั้นเหนือมนุษย์ และเริ่มฝึกฝน ‘หัวใจเก็บจิต’ ขั้นสุดท้ายของห้าธาตุรวมเป็นหนึ่งแล้ว
“ประโยคนั้นของไท่ไป๋อ๋อง (ท่านอ๋องแห่งขาวพิสุทธิ์) ปลุกความคิดกระจ่างให้ผู้คนเสียจริง” ต่งรุ่ยเอ่ยอย่างทอดทอนใจ “ช่วงนี้ไม่พูดเรื่องงานแล้ว ขอเชิญไท่ไป๋อ๋องชี้แนะทิศทางการฝึกฝนวิถียุทธ์ให้พวกเราทั้งสองหน่อยเถิด”
สวีเซิ่งก็เริ่มมองหลี่มู่ไม่ออกบ้างแล้วเหมือนกัน
ในศึกกับองค์ชายสองก่อนหน้า เขาเห็นหลี่มู่ทำมากที่สุดก็แค่ใช้ตราประทับชิ้นหนึ่งพลิกสถานการณ์ แต่ตอนนี้จิตใจและพลังฝึกของหลี่มู่ราวกับระดับปรมาจารย์ท่านหนึ่งโดยแท้จริง พอจะเปิดสำนักสร้างพรรคได้แล้ว
“ผู้อาวุโสทั้งสองถ่อมตัวเกินไปแล้ว…เดิมทีก็เป็นความปรารถนาข้า แต่มิกล้าเอ่ยปากเท่านั้น ฮ่าๆ”
หลี่มู่เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
ตลอดช่วงเช้า ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกฝนอยู่ด้านในห้องหนังสือ
ต่งสวีทั้งสองคนล้วนเป็นผู้ที่ทรงคุณธรรมถึงขีดสุด ความคิดค่อนข้างเรียบง่าย หมกมุ่นอยู่กับวิถียุทธ์มากว่าหกเจ็ดสิบปี ด้านพื้นฐานความเชี่ยวชาญสูงมากกว่าหลี่มู่ร้อยพันเท่า ด้วยเหตุนี้ปัญหาการฝึกฝนมากมาย ข้อสงสัยต่างๆ ในใจหลี่มู่ เพียงแค่พูดออกมาทั้งสองก็สามารถชี้ถึงปัญหาสำคัญในนั้นได้ ทำให้หลี่มู่รู้สึกเหมือนกับได้เห็นทางสว่าง เข้าใจแจ่มแจ้งในชั่วครู่เดียว
และถึงแม้พื้นฐานการฝึกยุทธ์ ความรู้ และประสบการณ์ของหลี่มู่จะยังไม่เพียงพอ แต่กลับเข้าใจวิชาเซียนเต๋า คำบอกเล่าของซินแสเฒ่าล้ำหน้าวิถียุทธ์ของโลกนี้ไปไม่รู้กี่ขั้น ด้วยเหตุนี้บางครั้งเพียงพูดเรื่อยเปื่อยออกมาประโยคหนึ่ง ก็ทำให้ต่งรุ่ยและสวีเซิ่งทั้งสองคนคล้ายโดนไม้ฟาดเข้าที่ศีรษะอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งสามคนคอยเสริมกันและกันในด้านวิถียุทธ์ ถูกชะตากันอย่างยิ่ง เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ครั้งล่าสุดที่หลี่มู่ได้นั่งพูดคุยปรึกษากับยอดฝีมือจอมยุทธ์ของโลกใบนี้ คือการเสวนาเรื่องการยุทธ์กับกัวอวี่ชิงพี่ใหญ่ร่วมสาบานในถ้ำน้ำตกเก้ามังกร
เมื่อถึงช่วงบ่าย เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยเดินเข้ามา
“ใต้เท้า อวี่เหวินฮุยทูตจากฉู่ใต้มาขอเข้าพบขอรับ”
เด็กรับใช้บัณฑิตเอ่ยขึ้น
หลี่มู่โบกไม้โบกมือ “ไม่พบ ให้เขาไสหัวไป”
เขาเบื่อการถูกขัดที่สุด
การเสวนายุทธ์ครั้งนี้กำลังออกรสได้ที่อยู่เลยเชียว
เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยเอ่ยต่อ “ทูตคนนั้นท่าทีแน่วแน่มาก จะขอพบท่านให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังให้ข้าเอาคำสามคำมาบอกกับใต้เท้าด้วย บอกว่าท่านจะต้องพบเขาแน่ๆ”
หลี่มู่ได้ยินก็เริ่มสนใจ “สามคำไหน?”
เด็กรับใช้บัณฑิตตอบกลับ “จักรพรรดิฮั่นอู่ หลี่เหยียนเหนียน ซูซื่อ”
“อะไรนะ?” หลี่มู่ผุดลุกขึ้นทันที สีหน้าตกใจถึงขีดสุด กล่าวว่า “เจ้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม เป็นสามคำนี้จริงๆ หรือ?”
เด็กรับใช้บัณฑิตตอบ “สามคำนี้ขอรับ”
สายตาของหลี่มู่เปล่งประกายไม่หยุด เลิกคิ้วขึ้นมา
จักรพรรดิฮั่นอู่กับหลี่เหยียนเหนียนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของ ‘กลอนสาวงาม’ ที่หลี่มู่ลอกมา ส่วนซูซื่อคือผู้ประพันธ์กวี ‘สุ่ยเตี้ยวเกอโถว…จันทร์เจ้าเมื่อใดเล่าเต็มดวง’ …ว่ากันตามหลักการแล้วคนบนโลกใบนี้ไม่มีใครที่รู้จัก
แต่ว่า ทูตจากฉู่ใต้ทำไมจึงรู้จักบุคคลในตำนานประวัติศาสตร์สามคนนี้ได้?
บทกวี ‘ความคิดคำนึงในคืนเงียบสงบ’ ของทูตจากซ่งเหนือทำให้เขาตกตะลึงมากแล้ว ยังดีที่เบื้องหลังมีหวางซืออวี่ จึงยังพออธิบายได้บ้าง แต่ทูตจากฉู่ใต้พูดชื่อบุคคลจากดาวโลกมาถึงสามชื่อ…นี่มันแปลกจริงๆ
“ในเมื่อไท่ไป๋อ๋องมีธุระ พวกเราค่อยหาเวลามาเสวนาเรื่องยุทธ์กันใหม่วันหลังได้” ต่งรุ่ยลุกขึ้นประสานมือ
สวีเซิ่งเอ่ยตาม “ถูกต้อง การเสวนาวันนี้ได้ความรู้มากมายนัก จำเป็นต้องกลับไปทำความเข้าใจเพื่อยืนยันเสียหน่อย ไท่ไป๋อ๋อง ข้าขอตัวลา”
ขั้นเหนือมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนจากไป
“เชิญทูตจากฉู่ใต้เข้ามาเถอะ” หลี่มู่นั่งลงบนเก้าอี้สูงในโถงใหญ่
เพียงครู่เดียว เด็กรับใช้บัณฑิตก็พาชายหนุ่มรูปร่างไม่สูงและค่อนข้างผอมคนหนึ่งเข้ามา คนผู้นี้อายุราวยี่สิบสามยี่สิบสี่ สีหน้ามืดมน แต่เครื่องหน้าทั้งห้ากลับค่อนข้างหล่อเหลา ผิวหนังราวหล่อขึ้นจากเหล็ก กล้ามเนื้อแข็งแรง เสื้อผ้าเป็นชุดสีฉูดฉาดตามแบบฉบับพื้นที่เขตน้ำทางใต้ ปราณแท้กักเก็บไว้ด้านใน พลังฝึกน่าจะอยู่ขั้นเหนือมนุษย์ก้าวที่หนึ่ง ถือว่าเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งเช่นกัน
“คารวะใต้เท้าปฐมเทวะ” ทูตคนนี้สีหน้าพยศ เมื่อเห็นหลี่มู่ก็เพียงประสานมือเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าคืออวี่เหวินฮุยผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของชวีอ๋องแห่งฉู่ใต้”
สายตาของหลี่มู่กำลังพิจารณาคนผู้นี้
“พูดมาเถิด เจ้ารู้จักจักรพรรดิฮั่นอู่ หลี่เหยียนเหนียน ซูซื่อทั้งสามคนนี้ได้อย่างไร” หลี่มู่ขี้เกียจจะพูดไร้สาระ จึงเปิดประเด็นตรงๆ
อวี่เหวินฮุยยิ้มบางๆ เหลือบมองเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยด้านข้าง ทว่าไม่เปิดปาก
“เจ้าว่ามาเถอะ ชิงเฟิงเป็นคนสนิทที่สุดข้างกายข้า” หลี่มู่บอก
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นข้าจะกล่าวตรงๆ แล้วกัน ชื่อสามคนนี้ตัวข้าไม่รู้จัก เป็นชวีอ๋องของข้าบัญชาให้ข้านำความมาบอกแก่ท่านปฐมเทวะ ทั้งยังกล่าวอีกว่าพระองค์กับใต้เท้าเป็นเพื่อนร่วมทางกัน” อวี่เหวินฮุยยิ้มพูด
“เพื่อนร่วมทาง?” หลี่มู่ขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
อวี่เหวินฮุยแย้มยิ้มน้อยๆ ตอบกลับว่า “ฝ่าบาทชวีอ๋องบอกว่าเขาก็เหมือนกับท่าน มาจากสถานที่เดียวกัน เป็นคนบ้านเดียวกัน ท่านอ๋องทนทุกข์เฝ้ารอเพื่อนของตนมาตลอด และหลังจากที่ได้ยิน ‘กลอนสาวงาม’ กับ ‘จันทร์เจ้าเมื่อใดเล่าเต็มดวง’ ของท่าน จึงรู้ทันทีว่าคนที่รออยู่ ในที่สุดก็มาแล้ว”
ดวงตาหลี่มู่มีแสงสว่างสั่นระริก
คนบ้านเดียวกัน?
ชวีอ๋องคนนี้ หรือว่าจะมาจากดาวโลกเหมือนกัน?
เป็นไปได้อย่างไร?