จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 316 ผาปากเหยี่ยว
“เป็นพี่น้องร่วมสาบานของข้า พี่ใหญ่กัวอวี่ชิง” หลี่มู่เล่าเรื่องที่เขาสาบานเป็นพี่น้องกับกัวอวี่ชิงให้ฟังรอบหนึ่ง พร้อมเอ่ยต่อ “พี่ใหญ่กัวเป็นถึงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค ใจกว้างตรงไปตรงมา ดุจเทพมังกรนอกพิภพก็มิปาน ไม่ใช่คนที่มนุษย์ทั่วไปจะเทียบได้”
ชิวอิ่นได้ยินก็พลันรู้สึกอยากพบเจอ “ได้ยินน้องชายพูดแบบนี้ คงจะเป็นผู้ยอดเยี่ยมในโลกจริงๆ เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้พบหน้า”
หลี่มู่ตบต้นขา เอ่ยขึ้นว่า “ฮ่าๆ ทำไมจะไม่ได้? เช่นนั้นไม่สู้พวกเราออกไปพบพี่ใหญ่กัวกัน เขาน่าจะอยู่ในเขาขาวพิสุทธิ์ พื้นที่ปลีกวิเวกสันโดษน่าจะไม่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่นัก”
ชิวอิ่นตาเป็นประกาย “จริงหรือ? ดีเลย”
ภายในน้ำเต้าสุราของเขา แท้จริงแล้วมีค่ายกลมิติอยู่ ความจุน่าตกใจเป็นอย่างมาก ภายในคืนเดียวทั้งสองคนดื่มสุรารสเลิศหมดไปกว่าครึ่ง ตอนนี้กรึ่มสุราจนได้ที่บ้างแล้ว กำลังเบิกบานสำราญใจ กล่าวว่าไปก็ไปกันทันที
แสงดาบสองสายพุ่งแหวกอากาศออกมาจากเรือนดาบราวสายฟ้า ก่อนหายลับไปไกล
ฉากนี้ปรากฏแก่สายตาคนมากมาย
“ในที่สุดก็จะเริ่มแล้วหรือ? ศึกของจอมดาบทั้งสอง?”
“จอมยุทธ์ดาบชิวอิ่น ปฐมเทวะหลี่มู่ ศึกใหญ่ระหว่างพวกเขาเริ่มปะทุขึ้นแล้ว”
“สุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของจักรวรรดิฉินตะวันตกกัน?”
นอกเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ คนในยุทธจักรมากมายเมื่อเห็นฉากนี้ต่างตื่นเต้นกันทันที
เพราะว่าแสงดาบทั้งสองสายคือหลี่มู่และชิวอิ่น
ยอดยุทธ์วัยหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง จะไปตัดสินชี้ขาดกันด้านในเทือกเขาขาวพิสุทธิ์หรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้กันเช่นนี้หมายถึงว่าท่าทีของ ‘ทุ่งปิดภูผา’ ที่มีต่อหลี่มู่ไม่ได้เป็นมิตรเหมือนที่คนนอกคิดกันไว้ใช่หรือไม่?
ยอดยุทธ์ผู้แข็งแกร่งมากมายล้วนอยากตามลงไปด้วย
แต่ความเร็วของจอมยุทธ์ดาบมากเกินไป หายไปในพริบตา
คนมากมายล้วนรู้สึกเป็นห่วงศึกนี้
บนท้องฟ้า หลี่มู่ใช้วิชาดาบเหินหาว รวดเร็วถึงขีดสุด
ร่างของชิวอิ่นกลายเป็นแสงดาบ ท่าร่างก็น่าตกใจเช่นกัน
ทั้งสองคนหน้าหลังประลองความเร็วของท่าร่าง
หลี่มู่ยิ้มเล็กน้อย เร่งความเร็วขึ้นอีกหลายส่วน รักษาระดับให้ไม่ต่างกับชิวอิ่นนัก วิชาดาบเหินหาวของเขาถนัดเรื่องความเร็วที่สุด สิบลมหายใจพุ่งไปได้ไกลกว่าพันลี้ หากสำแดงออกมาจริงๆ ต่อให้ความเร็วของชิวอิ่นเร็วอีกสักเพียงไหนก็ไล่ตามไม่ทัน
“ฮ่าๆ ดาบเหินหาวของน้องชายมาจากวิชากระบี่เหินหาวของสำนักกระบี่สวรรค์ไม่ใช่หรือ?” ชิวอิ่นหัวเราะร่าถามขึ้น
หลี่มู่ตอบกลับ “ไม่ผิด มาจากวิชากระบี่เหินหาวจริงๆ”
ชิวอิ่นเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ข้าเคยได้ยินอาจารย์พูดว่าสำนักกระบี่สวรรค์มั่งมีและไม่รู้จักตนเอง ในกระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า มีเพียงกระบี่เหินหาวเท่านั้นถึงจะเป็นสุดยอดวิชายุทธ์โดยแท้ นอกจากอาจารย์ของข้าแล้ว น้องชายคือคนแรกที่ข้าเห็นว่าใช้ท่ากระบี่เหินหาวได้”
อาจารย์ของเขาก็คือตำนานวิถียุทธ์แห่งฉินตะวันตก ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ย หนึ่งในยักษ์ใหญ่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์ในแผ่นดินใหญ่เสินโจวนั่นเอง
หลี่มู่ในใจสั่นวาบ
เหตุที่เขามองจุดเด่นของท่ากระบี่เหินหาวออก นั่นเพราะมีการสั่งสอนจากซินแสเฒ่าเมื่อก่อน ไปจนถึงมีสายตาที่กว้างไกลเกินวิถียุทธ์ของโลกใบนี้ อีกทั้งที่มาของวิชากระบี่สำนักกระบี่สวรรค์ เขาก็คาดเดาเงื่อนงำได้บางส่วน อาจจะเป็นอภินิหารที่มาจากดาราสมุทรก็เป็นได้ และที่ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยสามารถมองออก เป็นเพราะการวินิจฉัยอันเยี่ยมยอดจากความรู้ที่แท้จริงด้านวิถียุทธ์ของเขา
จะดูถูกคนบนโลกนี้ไม่ได้เลยจริงๆ
แสงดาบสองสายพุ่งข้ามเทือกเขาขาวพิสุทธิ์สุดลูกหูลูกตา
“พี่ใหญ่กัวปลีกตัวมาเป็นนายพรานอยู่ในหุบเขานี้ คงไม่ได้อยู่ห่างจากผู้คนมากนัก น่าจะซ่อนตัวอยู่ที่หมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่งในหุบเขา…” หลี่มู่เอ่ยขึ้น
ทั้งสองออกตามหาจากเบาะแสนี้
……
“ห้าปีผ่านไป ศิษย์พี่ยังคงสง่างามเหมือนวันวานเลย”
ผมยาวสีทอง รูปร่างสูงโปร่ง ทุกตารางนิ้วบนร่างกายเรียกได้ว่าเป็นสัดส่วนทองคำ ชายหนุ่มที่รูปงามราวกับเทพสงครามแอเรียสในตำนานบนโลกมนุษย์ยืนอยู่ตรงประตูกระท่อมใบจาก ใบหน้ามีรอยยิ้มงดงาม เผยให้เห็นฟันขาว กล่าวทักทายเสมือนเป็นเพื่อนเก่า
อีกด้าน กัวอวี่ชิงมีสีหน้ายุ่งยาก
“เจ้าหาพบจนได้สินะ” กัวอวี่ชิงถอนใจ เอ่ยต่อว่า “ศิษย์พี่กับศิษย์น้อง ต้องโหดเหี้ยมต่อกันถึงเพียงนี้จริงหรือ?”
ชายหนุ่มรูปงามผมยาวสีทองผายมือออกอย่างจนปัญญา “ช่วยไม่ได้นี่ ศิษย์พี่ยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้ ข้าก็รู้สึกกินไม่ได้นอนไม่หลับ ใครใช้ให้ชื่อเสียงเกรียงไกรของศิษย์พี่ยังโด่งดังอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าทุกวี่วันกันเล่า”
“ข้าออกจากที่ราบทุ่งหญ้ามาแล้ว” กัวอวี่ชิงเดินออกจากรั้วบ้านไปด้านนอก
ภรรยาพาลูกสองคนไปบ้านของอาหวางที่ทางเข้าหมู่บ้านเพื่อช่วยกันปรุงหมูป่าแล้ว เมื่อคืนเขาไปล่าสัตว์ในภูเขา ได้หมูป่ายักษ์มาตัวหนึ่ง คนทั้งหมู่บ้านปากเหยี่ยวคึกคักกันยกใหญ่ คืนนี้จะจัดฉลองรอบกองไฟ ให้ทั้งหมู่บ้านมาร่วมกินเนื้อหมูป่าด้วยกัน
นับตั้งแต่ที่หลี่มู่มาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ ไม่เพียงแค่ชีวิตประชาชนในเมืองจะดีขึ้นมาก ชีวิตของบรรดานายพรานหรือคนในหมู่บ้านรอบๆ ต่างก็ดีขึ้นหลายต่อหลายเท่าเช่นกัน พวกโจรภูเขาหัวขโมยหายไปจนหมด
ชีวิตที่เงียบสงบและอบอุ่นเช่นนี้ ทำเอาคนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม
ทว่า แขกไม่ได้รับเชิญที่มาวันนี้ทำลายความสงบนี้ลงไปแล้ว
กัวอวี่ชิงเดินออกไปด้านนอก
เขาไม่อยากให้ภรรยากลับมาเห็นฉากนี้ แล้วต้องหวาดกลัวกังวลใจอีก
“เหอะๆ ท่านออกมาจากที่ราบทุ่งหญ้าแล้วก็จริง แต่บนที่ราบทุ่งหญ้ายังคงกล่าวขานตำนานของท่านอยู่” ชายหนุ่มที่หล่อเหลาราวเทพสงครามเดินตามกัวอวี่ชิงมาช้าๆ เสมือนกำลังพูดคุยผ่อนคลายอยู่กับศิษย์พี่
ห้าปีก่อน สิบปีก่อน ยี่สิบปีก่อน พวกเขาก็เคยพูดคุยเดินเล่นอยู่บนทุ่งหญ้าเช่นเดียวกับวันนี้ ทว่ากาลเวลาผ่านสถานการณ์เปลี่ยน เรื่องเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนตาม ศิษย์พี่น้องที่แน่นแฟ้นกันในวันวาน บัดนี้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันชั่วชีวิตไปแล้ว
ทั้งคู่มาถึงผาปากเหยี่ยวที่ด้านหลังหมู่บ้าน
หมู่บ้านปากเหยี่ยวตั้งชื่อตามรูปร่างหน้าผาที่เหมือนกับปากเหยี่ยวแห่งนี้
“ฮ่าๆ กลัวพี่สะใภ้จะรู้ว่าข้ามาหรือ?” ชายหนุ่มรูปงามผมยาวสีทองยืนเคียงไหล่กัวอวี่ชิง “ตัดเยื่อใยกันจริงๆ ตอนแรกข้ายังเคยอุ้มยายาอยู่เลย”
เขามองเขาเขียวขจีอันสุดลูกหูลูกตา บิดขี้เกียจก่อนเอ่ยอย่างปลงๆ ว่า “เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ต่อให้เป็นตอนเหมันต์ก็ยังคงงดงามถึงเพียงนี้ สถานที่ปลีกวิเวกสมบูรณ์มาก ข้าจำได้ ท่านพี่เคยบอกว่าเมื่อประชาชนในทุ่งหญ้าไม่ต้องบากบั่นกับชีวิต ไม่ล้มตายเพราะความเหน็บหนาว ไม่ต้องไปไล่เข่นฆ่าใครเพราะภัยแล้งกับภัยคุกคามของตั๊กแตน ท่านจะพาคนที่ตนรักหลบลี้ปลีกวิเวกสู่ดินแดนฟ้าครามหญ้าเขียวอันงดงาม…ศิษย์พี่ ปณิธานยิ่งใหญ่ของท่านยังไม่ทันสำเร็จ ท่านก็ปลีกวิเวกมาแล้ว”
กัวอวี่ชิงไม่พูดอะไร
“ห้าปีมานี้ ข้าพยายามตามหาตัวท่านมาตลอด ต่อให้เก้าสำนักเทพเลิกไล่ตามจับท่านแล้ว แต่ศิษย์น้องอย่างข้า ไม่เคยล้มเลิกเลย เหอะๆ สองเดือนก่อนหน้า วิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ปรากฏขึ้นอีกครั้งในที่ราบทุ่งหญ้า ในที่สุดข้าก็ได้เบาะแสบางส่วนมา ที่แท้ในเมืองฉางอันแห่งฉินตะวันตกมีคนผู้หนึ่งชื่อว่าหลี่มู่ก็ใช้วิชานี้ได้เช่นกัน จึงไล่ตามมาจนถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ แล้วก็ได้มาเจอศิษย์พี่จริงๆ” ชายผมทองกล่าว
กัวอวี่ชิงผงกศีรษะ “หลี่มู่ถ่ายทอดวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ให้ใครกัน?”
ชายผมทองเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ศิษย์พี่ ท่านนี่จริงๆ เลย ยังคงใสซื่อไร้พิษภัยเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิด ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ เป็นวิชาระดับไหนกัน ท่านถ่ายทอดให้กับหลี่มู่จนเจ้าเด็กนั่นเอาไปหว่านตามใจ ถึงขั้นเอาไปถ่ายทอดให้ใครต่อท่านก็ไม่รู้หรือ?”
“จากคุณลักษณะและความกล้าหาญของน้องชาย ข้าวางใจได้ คนที่เขาถ่ายทอดให้ต้องเป็นคนที่ข้าพอใจแน่นอน” กัวอวี่ชิงเอ่ย
“น้องชาย?” ใบหน้าของชายผมทองมีความงงงันฉายขึ้น “หลี่มู่เป็นน้องร่วมสาบานของท่าน? ไม่ใช่ผู้สืบทอด?”
กัวอวี่ชิงไม่พูดอะไร
“เหอะๆๆ… เรื่องนี้น่าสนใจจริงๆ คนจากที่ราบทุ่งหญ้า กลับสาบานเป็นพี่น้องกับขุนนางฉินตะวันตก ท่านว่าถ้าข่าวนี้แพร่กลับไปยังที่ราบทุ่งหญ้า จะทำให้เหล่านักรบแห่งทุ่งหญ้าที่เลื่อมใสในตัวท่านต้องศรัทธาพังทลายในชั่วพริบตาหรือไม่?” ดวงตาชายผมทองมีความขุ่นเคืองพาดผ่าน
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับของที่ตนเองชอบที่สุดถูกนำไปแบ่งให้คนอื่นด้วย
กัวอวี่ชิงเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ต้าเจ๋อเปี๋ยแห่งที่ราบทุ่งหญ้าในอดีตได้ตายไปแล้ว บนโลกตอนนี้มีเพียงกัวอวี่ชิง เจ้าไปเสียเถิด ตอนนี้เจ้าได้เป็นผู้นำวิหารเทพหมาป่า มีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในมือ ข้าไม่มีพลังคุกคามต่อตำแหน่งของเจ้าอีกแล้ว เหตุใดต้องลำบากมาบีบบังคับกัน? ความสัมพันธ์ศิษย์พี่น้องที่เคยได้ร่ำเรียนมาจากฉางเซิงเทียน จบมันทั้งหมดลงตรงนี้เถิด”
“ฮ่าๆๆๆ…” เสียงหัวเราะของชายผมทองราวกับเสียงน้ำพุหนักอึ้งจากนรกขุมที่เก้าก็มิปาน ไม่มีความรู้สึกของมนุษย์แม้แต่น้อย “คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่าจริงๆ พอมีน้องร่วมสาบานก็จะตัดสัมพันธ์กับศิษย์น้อง ศิษย์พี่ ท่านยังคงไร้น้ำใจเหมือนเมื่อปีนั้นไม่เปลี่ยน ในปีนั้น เพียงเพื่อผู้หญิงคนเดียว ท่านลืมคำสาบานที่เคยลั่นไว้เมื่อวันวานในฉางเซิงเทียน ตอนนี้ก็จะมาตัดความสัมพันธ์ศิษย์พี่น้องเพียงเพราะคนนอกคนเดียวอีก”
กัวอวี่ชิงไม่พูดอะไรกลับ
ศิษย์น้องของเขาคนนี้เป็นพวกไม่ฟังเหตุผลจิกกัดไม่ปล่อย เขารู้ดี
“ท่านไม่อยากรู้จริงหรือ หลี่มู่ถ่ายทอดวิชาเทพ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ให้กับใคร?” ชายผมทองถาม “คนที่ไร้น้ำจิตน้ำใจเช่นท่าน ยังจำกัวเทียนเซี่ยวที่ตายแทนท่านได้หรือไม่? เขามีบุตสาวอยู่คนหนึ่ง เป็นดั่งไข่มุกส่องแสงในที่ราบทุ่งหญ้า เพียงแต่ต่อมาเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นเล็กน้อย นางถูกคนทรยศหักหลัง ถูกฉินตะวันตกจับเป็นเชลย สุดท้ายถูกส่งตัวไปยังหน่วยเลี้ยงรับรองที่เมืองฉางอัน…”
นัยน์ตาของกัวอวี่ชิงพลันสะท้อนแสงดุดันขึ้นมาแวบหนึ่ง
เมื่อชายหนุ่มผมทองเห็นก็หัวเราะ “ท่านวางใจเถอะ สาวน้อยนั่นไม่เป็นอะไร หลี่มู่กับนายน้อยเผ่ายิงจันทร์เถี่ยมู่เจินช่วยเหลือไว้ นางกลับไปยังที่ราบทุ่งหญ้าแล้ว ซ้ำยังได้ทรัพย์มายามทุกข์ ได้รับวิชาเทพ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ จนตอนนี้มีฉายาว่าเสี่ยวเจ๋อเปี๋ยแห่งท้องทุ่งหญ้าไปแล้ว”
“เรื่องรุ่นหลังเป็นความภาคภูมิใจของเจ้า ข้าจะไม่ไปแทรกแซง” ประกายในดวงตาของกัวอวี่ชิงจางลง
ชายหนุ่มผมทองยกมุมปากขึ้น “คนที่เข้าใจข้ายังเป็นศิษย์พี่เช่นเคย เหอะๆ ก็แค่พวกตัวจ้อยเอะอะมะเทิ่ง พวกเขาเล่นกันสนุกก็พอแล้ว…แต่ว่า ศิษย์พี่ ท่านควรจะมอบกุญแจสุสานราชาเซียนให้ข้าได้แล้วมิใช่หรือ?”
“สุสานราชาเซียนเป็นเพียงเรื่องเลื่อนลอยเท่านั้น” กัวอวี่ชิงกล่าว “ศิษย์น้องทำไมต้องไปพัวพันกับมันอยู่ตลอด วิธีเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ ในวิหารเทพหมาป่าก็มีอยู่ เหตุใดต้องละทิ้งสิ่งใกล้เพื่อเอาสิ่งที่ไกลกว่าด้วย”
“ในวิหารหมาป่าพวกนั้นน่ะหรือ? ฮ่าๆ ก็แค่อุบายฉากหนึ่งเท่านั้น บนแผ่นดินใหญ่นี้ หลายปีที่ผ่านมาทำไมจึงไม่มีคนเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ได้เลย? ทุกคนได้แต่ย่ำอยู่ในพื้นที่ของตัวเองอย่างยากลำบาก พวกไม่ได้เรื่องเหล่านั้นคงแทบทนไม่ไหวแล้วกระมัง ศิษย์พี่ ท่านเอากุญแจสุสานราชาเซียนมา คิดว่าจะเก็บมันไว้ได้นานแค่ไหน?” ชายผมทองเอ่ย “ศิษย์พี่ ในเมื่อวันนี้ท่านก็พูดมาแล้ว ข้ากับท่านต่างเคยมีสัมพันธ์ฉันท์น้องพี่ในฉางเซิงเทียน ข้าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าๆ ส่งกุญแจมา ละทิ้งวรยุทธ์ของท่าน จากนั้นก็ไปมีชีวิตอิสระเสรีของท่านเสีย ข้าจะไม่มาวุ่นวายด้วยอีก มิเช่นนั้น…ถึงต้นไม้หวังสงบ ลมก็จะไม่หยุดพัด”