จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 318 พาตัวไปคนหนึ่ง
ในใจของชิวอิ่น อันที่จริงตื่นเต้นอยู่บ้าง
เพราะสองคนที่กำลังประมือกันนี้ ไม่ว่าคนใดก็ล้วนเป็นตำนานวิถียุทธ์ของยุคปัจจุบัน
ทว่า ในเสี้ยวขณะที่เงื้อง่าศาสตราวุธนี้เอง ชายผมทองเจียงชิวไป๋จู่ๆ ก็หัวเราะ “ก็ได้ๆๆ ข้าไปก็พอแล้วมิใช่หรือ? ศิษย์พี่ ผ่านมานานขนาดนี้ ท่านก็ยังล้อเล่นไม่ได้เหมือนเดิม หยอกแค่นิดหน่อยก็โมโห…ฮ่าๆ เอาละๆ ข้าไปแล้ว แต่ว่านะศิษย์พี่ ท่านต้องดูพี่สะใภ้ให้ดีๆ ล่ะ ไม่เช่นนั้นครั้งหน้าข้าอาจทำสำเร็จก็ได้”
พูดจบ เขาก็โบกมืออย่างสง่างาม จากนั้นร่างก็ค่อยๆ เลือนหายไปในท้องฟ้าดุจภาพวาดน้ำหมึกสีจาง
ผู้แข็งแกร่งจากที่ราบทุ่งหญ้าใต้บัญชาของเขาเหล่านั้นก็รีบถอยไปเช่นกัน วิชาแปลกประหลาดมาก บางคนอิงแอบกับต้นไม้ก็หายไปไร้ร่องรอย บางคนกลิ้งเข้าพุ่มไม้ก็หายตัวไป แล้วยังมีคนที่กระโดดขึ้นกลางท้องฟ้าแล้วแปลงเป็นนกบินทะยานสู่ชั้นเมฆ…
กัวอวี่ชิงไม่ได้ตามไป
ชิวอิ่นก็ไม่ได้ลงมือเช่นกัน
“ย้ากกกก…ข้ากลับมาแล้ว” ลำแสงจากที่ไกลมาถึงในชั่วพริบตา ราวสายฟ้าอย่างไรอย่างนั้น หลี่มู่บังคับดาบกลับมา มองยังสนามสู้ ก่อนจะอึ้งไปเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น? คนเล่า?”
“ไปแล้ว” ชิวอิ่นตอบ
“มารดามันสิ วางท่าเสร็จก็หนีรึ?” หลี่มู่โมโหเดือดดาล
หลังจากที่เขาวางค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ แม้แต่ปฐมเทวะเขายังอัดมาแล้ว หลายวันมานี้จิตใจของเขาพองโตสุดๆ มีความรู้สึกเหมือนใต้หล้านี้ไร้ผู้ใดเทียม ดังนั้นถึงแม้จะรู้ว่าชายผมทองเจียงชิวไป๋มีพลังขั้นเดียวกับ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ย ก็ยังอยากงัดข้อดูสักที ใครจะไปรู้ว่า…จะถูกอัดทีเดียวกระเด็น
คราวนี้ คงตามกลับมาในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้แน่
ราชาปีศาจหลี่มู่กลัดกลุ้มยิ่งนัก
“วันนี้ต้องขอบคุณน้องชายมาก มิฉะนั้น…ผลที่จะเกิดขึ้นคงเลวร้ายจนไม่กล้าคาดคิด” กัวอวี่ชิงมองหลี่มู่อย่างซาบซึ้ง แล้วพูดกับชิวอิ่น “ได้ยินความองอาจของบุคคลอันดับหนึ่งรุ่นเยาว์แห่งทุ่งปิดภูผามานาน วันนี้ได้พบหน้า สมดั่งคำร่ำลือจริงๆ ขอบคุณที่มีน้ำใจลงมือช่วยเหลือ”
“ฮ่าๆ พี่ใหญ่อย่าได้เกรงใจ เป็นพี่น้องกันไม่ต้องพูดอะไรพวกนี้” หลี่มู่หัวเราะ “ขอแค่พี่สะใภ้ หลานสาว และหลานชายไม่เป็นอะไรก็พอ ไอ้พวกสารเลวนั่น ดีนะที่มันหนีทัน ไม่อย่างนั้นข้าจะอัดให้ฉี่ราดเลย”
กัวอวี่ชิงเคยชินกับท่าทางแบบนี้ของหลี่มู่เสียแล้ว
“พี่ชาย” ยายาทักทายหลี่มู่ก่อน
หลี่มู่กล่าว “เรียกท่านอาสิ”
ข้ากับบิดาเจ้าเป็นคนรุ่นเดียวกันนะ
กัวอวี่ชิงกับหลิวจื่อหยวนส่ายหน้าหัวเราะ
หลี่มู่ก็เป็นแบบนี้ ชวนให้เด็กชอบและอยากสนิทสนมด้วย
ส่วนชิวอิ่นนั้นค่อนข้างยำเกรง ตอบกลับไปว่า “มิกล้า อยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งที่สุดในที่ราบทุ่งหญ้า นายแห่งฉางเซิงเทียนในอดีต ไหนเลยจะกล้าควงขวานหน้าบ้านหลู่ปัน[1] วันนี้แค่ประสบโอกาสก็เท่านั้น”
กัวอวี่ชิงพูดกลั้วหัวเราะ “ชื่อจอมยุทธ์ดาบโด่งดังรู้จักกันทั่ว อย่าได้เกรงใจไปเลย เจ้าเป็นสหายของน้องชาย ก็เป็นสหายของข้าเช่นกัน”
หลี่มู่ตบบ่าของชิวอิ่น ก่อนเอ่ย “ฮ่าๆ ไส้เดือนน้อย[2] อย่าทำตัวเหินห่างขนาดนี้สิ เอาท่าทางที่ดวลเหล้ากับข้าเมื่อวานออกมา อย่าได้หงอไป อีกประเดี๋ยวก็ดวลเหล้ากับพี่ใหญ่กัวเสียสิ”
ชิวอิ่นพูดในใจ เจ้านี่มันช่างไม่รู้จักเกรงจักกลัวเอาเสียเลย รู้หรือไม่ว่าคนเบื้องหน้าเจ้าเป็นใคร? รู้ไหมว่าเขาเคยสยบเหล่าวีรบุรุษในแผ่นดินจนสะบักสะบอมอย่างไร?
แต่ว่า ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุคคลที่เป็นตัวแทนของคนในยุทธจักรประเภทองอาจเปิดเผย เกิดมาก็ใจกล้า ไม่เหมือนกับคนอื่นที่เจอตำนานวิถียุทธ์ก็ขาอ่อนยืนไม่ได้ และเมื่อมีหลี่มู่เล่นตลกอยู่ข้างๆ ท่าทางของกัวอวี่ชิงก็สบายๆ ไม่ได้ดุดันดุจเสืออย่างในอดีตที่เล่าขานกันเลย หลังจากพูดจบก็เป็นตัวของตัวเอง
คนกลุ่มหนึ่งมาถึงบ้านของกัวอวี่ชิง
หลิวจื่อหยวนเชิญให้พวกหลี่มู่นั่งลง ก่อนจะยกเหล้าผลไม้ที่บ่มเองและของหวานมารับแขก นางเป็นสตรีที่ละเอียดอ่อนฝีมือประณีต มีสีสันในการใช้ชีวิตยิ่งนัก จัดเก็บบ้านได้มีเอกลักษณ์และอบอุ่นมาก
“ขอบคุณพี่สะใภ้มาก” หลี่มู่วางตัวได้เรียบร้อยว่าง่าย
เด็กหญิงตัวน้อยยายาชอบนั่งใกล้ๆ กับหลี่มู่ สนิทสนมกันนัก
“เมื่อวานข้ากับไส้เดือนน้อยดื่มเหล้าพูดคุยกันเรื่องวิถียุทธ์ จวบจนฟ้าสาง จากนั้นก็พูดถึงพี่ใหญ่ ไส้เดือนน้อยอยากเจอวีรบุรุษมาตลอด ดังนั้นก็เลยมาหาท่าน รบกวนความสงบของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้แล้ว ขอดื่มขอขมาก่อนหนึ่งขวด” หลี่มู่ยกขวดเหล้าผลไม้พลางหัวเราะฮี่ๆ จากนั้นก็ดื่มรวดเดียวไปครึ่งขวด
ชิวอิ่นเอ่ยอย่างโมโห “เฮ้ย ถึงอย่างไรข้าก็อายุมากกว่าเจ้าสิบกว่าปี อย่าคำก็ไส้เดือนน้อยสองคำก็ไส้เดือนน้อย เคารพผู้อาวุโสในยุทธจักรหน่อย”
หลี่มู่เบ้ปากอย่างไม่สนใจ “พอเถอะ ข้ากับพี่กัวเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ศิษย์น้องของพี่กัวเป็นคนรุ่นเดียวกับอาจารย์ของเจ้า เจ้าลองคิดดูเอาแล้วกันว่าต้องเรียกข้าว่าอะไร?”
ชิวอิ่นนิ่งไป
ลำดับอาวุโสนี่…ค่อนข้างจะเกินไปหน่อย
หลี่มู่หัวเราะฮี่ๆ พลางกระดกเหล้าที่เหลืออีกครึ่งขวดจนหมดในรวดเดียว
“พี่ชายตะกละจริง ท่านแม่ลำบากแทบตายได้มาแค่ขวดนี้ขวดเดียว นี่เป็นเหล้าที่หมักขึ้นเพื่อให้ท่านพ่อแก้อยากเป็นพิเศษ แต่ท่านดื่มมันหมดแล้ว” ยายาพูดอย่างไม่พอใจอยู่ข้างๆ
“อ่า…” หลี่มู่มองหลิวจื่อหยวน เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าอึ้งๆ “พี่สะใภ้ ข้าไม่รู้”
ชิวอิ่นหัวเราะลั่น
“ไม่เป็นไร หมักบ่มจากผลไม้ในป่า เพียงแค่เสียเวลานิดหน่อยเท่านั้น” หลิวจื่อหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริงนางชอบน้องชายร่วมสาบานของสามีคนนี้มาก เด็กหนุ่มมีกลิ่นอายที่บริสุทธิ์อย่างหนึ่ง บริสุทธิ์มาก ไม่เสแสร้งแกล้งทำ วันนั้นที่หลี่มู่เดินทางมารับตำแหน่งก็มีวาสนาได้พบกัน เพียงแต่ยามนั้นไม่นึกว่าเด็กหนุ่มที่ดูลำเข็ญ ตอนนี้จะเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ชื่อก้องไปทั่วฉินตะวันตก อีกทั้งหลี่มู่ไม่ใช่จอมยุทธ์น้อยที่กระเหี้ยนกระหือรือเหยียบหัวคนอื่นเลื่อนตำแหน่ง บุกฝ่าสร้างชื่อเสียงในยุทธจักร ช่วงที่ผ่านมาในหมู่บ้านก็ได้ยินเรื่องราวของขุนนางเมืองผู้นี้ไม่น้อยว่าเป็นขุนนางที่ดี หาได้ยากยิ่ง อีกทั้งวันนี้หากไม่ใช่เพราะหลี่มู่มาปรากฏตัวทันเวลา ยายาก็ถูกนักรบที่ราบทุ่งหญ้าจับตัวไปแล้ว นี่เป็นบุญคุณที่ยิ่งใหญ่นัก
ชิวอิ่นหยิบน้ำเต้าใส่เหล้าออกมาพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร ข้ายังมีเหล้าใบไผ่เมืองปิดภูผาอยู่อีก พี่ใหญ่…กัว หากไม่รังเกียจละก็ ท่านดื่มมันแก้ขัดได้”
กัวอวี่ชิงดีใจนัก “เหล้าใบไผ่เมืองปิดภูผา? เยี่ยมเลย หนึ่งในสิบสุราชั้นเลิศใต้ฟ้านี้เชียวนะ” ใบหน้าของเขาฉายแววตื่นเต้น ยื่นมือไปรับน้ำเต้ามา ทว่าทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หันไปมองภรรยาอย่างกระอักกระอ่วน
หลิวจื่อหยวนยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้น “วันนี้มีแขกมาเยี่ยม ดื่มให้เต็มที่เถอะ”
“ขอบคุณท่านภรรยาผู้ยิ่งใหญ่ที่เมตตา” กัวอวี่ชิงรับน้ำเต้าเหล้า ดื่มลงไปอึกใหญ่ๆ อย่างอดรนทนไม่ไหว “ฮ่าๆ น้องชาย เจ้าคงไม่ได้ขโมยเหล้าของอาจารย์เจ้าออกมากระมัง”
ชิวอิ่นกุมขมับ “ทายแม่นจริงๆ”
ในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะทันควัน
ท่ามกลางเสียงหัวเราะเช่นนี้ ความรู้สึกอึดอัดในใจหายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน ชิวอิ่นก็ตบบ่าหัวเราะกับกัวอวี่ชิงได้แล้ว
หลิวจื่อหยวนจัดโต๊ะอาหารอยู่ในครัวด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเช่นนี้ ใบหน้างามสง่าก็เผยรอยยิ้มยินดีบางๆ
นางรู้ว่าพี่กัวชื่นชอบบรรยากาศร่ำสุรากับเหล่าสหายเป็นอย่างมาก
ตอนนั้นในที่ราบทุ่งหญ้า ชายดิบเถื่อนแต่จริงใจกลุ่มนั้นร่วมย่างเนื้อดื่มเหล้าร้อนแรง เดินทางไปมาท่ามกลางสายฝนและพายุ เรียกพี่ชายครั้งหนึ่งเป็นพี่ชายไปตลอดชีวิต และจะกล้าเสี่ยงภัยทิ้งชีวิตเพื่อปกป้องเหล่าสหาย เสียงหัวเราะเช่นนี้ของสามี นางไม่ได้ยินมานานมากเหลือเกิน
นางรู้ ใจของสามีนางเหมือนเหยี่ยวที่องอาจ ถึงแม้จะหลบซ่อนอยู่ในหุบเขา แต่ก็ยังคงเฝ้าฝันถึงผืนฟ้าคราม
หลายปีมานี้ ข้อผูกมัดพันธนาการทำให้เหยี่ยวองอาจไม่อาจสยายปีกได้
ถึงแม้นางไม่อยากก้าวเข้าสู่ยุทธจักรอีก ทั้งยังเบื่อหน่ายทุกสิ่งในยุทธจักร แต่นางไม่มีทางคัดค้านการไปมาหาสู่ของคนในยุทธจักรกับสามีเด็ดขาด คบค้าสหายคือคบค้าสหาย ยุทธจักรคือยุทธจักร สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน
ครู่หนึ่ง ในกระท่อมก็มีเสียงดื่มเหล้าเฮฮาดังลอยออกมา
ชายสามคน เหล้าหนึ่งกา
บนโลกนี้ยังมีเรื่องอะไรที่มีความสุขมากกว่านี้อีกหรือ?
ในยามที่ฤทธิ์เหล้ากำลังได้ที่ หลี่มู่เริ่มมึนนิดๆ เขานึกถึงฉากที่ต้วนอวี้ ซวีจู๋ และเฉียวเฟิงในแปดเทพอสูรมังกรฟ้าของกิมย้งสาบานเป็นพี่น้องกัน จึงลุกขึ้นทันใด ดึงชิวอิ่นขึ้นมา ทำท่าจะสาบานเป็นพี่น้องกับกัวอวี่ชิงใหม่ กัวอวี่ชิงและชิวอิ่นดีใจ ตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด จัดโต๊ะ ปักหญ้า คำนับสาบานเป็นพี่น้องกันในกระท่อมทันที
ทั้งสามราวกับสหายเก่าแก่จริงๆ คุยถูกคอกันอย่างที่สุด
“ฮ่าๆ คราวนี้เจ้าจะเรียกข้าว่าไส้เดือนน้อยไม่ได้แล้ว ต้องเรียกข้าว่าพี่รอง” ชิวอิ่นยืนขึ้น หัวเราะร่วนอย่างได้ใจ
หลี่มู่ตบหัวของตัวเองก่อนเอ่ย “ข้าผิดไปแล้ว…พี่รอง”
ทั้งสามหัวเราะขึ้นมา
กัวอวี่ชิงอายุมากที่สุด ชิวอิ่นรองลงมา หลี่มู่เด็กที่สุด
หลิวจื่อหยวนยกสุราอาหารเข้ามา หลี่มู่หยิบหยกประดับที่ตนปลุกเสกเรียบร้อยแล้วออกมาสามสี่ชิ้น รูปลักษณ์ภายนอกประณีตเป็นเอกลักษณ์ ภายในแฝงด้วยค่ายกล สามารถบำรุงรักษาร่างกาย ปกป้องคุ้มครอง จากนั้นมอบให้กับพี่สะใภ้ หลานสาว และหลานชายเป็นของขวัญพบหน้า ชิวอิ่นก็หยิบของล้ำค่าที่ตนสะสมเอาไว้ออกมาสามชิ้นเช่นกัน…
หลิวจื่อหยวนมีชาติกำเนิดจากสำนักบัณฑิตถามเต๋า เป็นคนในยุทธจักรเช่นกัน จึงรับเอาไว้ไม่กระมิดกระเมี้ยน
จวบจนกระทั่งอารมณ์พุ่งจนถึงจุดสูงสุด หัวข้อสนทนาก็กลับมายังเรื่องการฝึกฝนอีกครั้ง
หลี่มู่สำแดงหกดาบวายุเมฆาให้พี่ชายร่วมสาบานทั้งสองแนะนำ
จู่ๆ ทางอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็มีแรงสั่นสะเทือนมา จากนั้นคลื่นกลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งน่าครั่นคร้าม ก็แผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศราวแผ่นดินไหว
หลี่มู่เก็บดาบผุดยืนขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “มีคนโจมตีที่ว่าการอำเภอ?”
เขากระโดดขึ้นกลางท้องฟ้า ดาบเหินหาวแปลงเป็นลำแสงแล้วหายไปในเสี้ยวพริบตา
“ข้าจะไปดูหน่อย”
เสียงเพิ่งจะดังขึ้นอยู่ที่เดิม
กัวอวี่ชิงและชิวอิ่นสองคนมองตากัน ต่างตะลึงในความเร็วเกินขีดจำกัดที่ตาเปล่ามองได้เห็นซึ่งหลี่มู่สำแดงออกมาในพริบตานี้
“พี่ใหญ่ พวกเราก็ไปดูสักหน่อยเถอะ”
“อืม นั่นเป็นกลิ่นอายของเจียงชิวไป๋”
ทั้งสองคนเป็นห่วงหลี่มู่ กัวอวี่ชิงตัดสินใจพาลูกทั้งสองและหลิวจื่อหยวนไล่ตามไปยังอำเภอขาวพิสุทธิ์ด้วยกันเสียเลย เพื่อไม่ให้หลงกลแผนชั่วล่อเสือออกจากถ้ำของเจียงชิวไป๋
……
เมื่อหลี่มู่มาถึงก็สายไปเสียแล้ว
เขตเรือนดาบถูกโจมตี
ศัตรูจากไปแล้ว
“เจียงชิวไป๋…”
หลี่มู่กัดฟันกรอด
เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคนคนนี้ที่หลงเหลืออยู่ในอากาศ
แต่ไล่ตามไปก็ไม่ทันแล้ว
ยอดยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของขั้นเทวะ หากคิดจะจากไปใครก็ไล่ตามไม่ทัน หลี่มู่สัมผัสกลิ่นอายของคนคนนี้ในเขตเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าจากไปแล้ว
ค่ายกลในเรือนดาบฟื้นตัวขึ้นเองแล้ว สิ่งก่อสร้างก็ไม่มีอะไรเสียหาย
แต่มีคนคนหนึ่งถูกเจียงชิวไป๋ลักพาตัวไป
“ฮี่ๆ อันที่จริงเปลี่ยนอีกคน ผลก็ยังเหมือนเดิม ในเมื่อศิษย์พี่ของข้าคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า…เจ้าหนู หากอยากจะช่วยคนรักของเจ้าก็ให้ศิษย์พี่กัวนำกุญแจสุสานราชาเซียนมาแลกที่วิหารเทพหมาป่าแห่งที่ราบทุ่งหญ้าก็แล้วกัน”
นี่เป็นข้อความที่เจียงชิวไป๋ทิ้งเอาไว้
ตัวอักษรที่ใช้ใบไม้เรียงบนพื้นอย่างตลกร้าย เห็นได้ชัดว่าเขามีเวลาเหลือจากการโจมตีค่ายกลเรือนดาบเยอะมาก และเป็นการท้าทายเบาๆ อย่างหนึ่ง
เขาพาตัวซ่างกวนอวี่ถิงไป
ในโลกนี้ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าฮวาเสี่ยงหรงคือสาวงามคนรู้ใจของหลี่มู่
เจียงชิวไป๋ไปจากผาปากเหยี่ยวไม่ใช่ยอมแพ้จริงๆ แต่เขาเปลี่ยนเป้าหมาย หลี่มู่รู้ตัวช้าเกินไป
……………………………………
[1] ควงขวานหน้าบ้านหลู่ปัน หมายถึง การแสดงฝีมือต่อหน้าผู้ชำนาญ มักใช้เพื่อถ่อมตัวว่าความสามารถตนไม่อาจสู้ผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นได้ คล้ายกับสุภาษิตไทยคือ สอนหนังสือสังฆราช
[2] ในภาษาจีน ชื่อของชิวอิ่น (邱引) ออกเสียงเดียวกับคำว่าไส้เดือน (蚯蚓)