จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 324 แสงดาบสีฟ้า
ถึงแม้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคนจากกองกำลังกระบี่เหล็กจึงบุกโจมตีประตูเมืองฝั่งบูรพากันอย่างไม่กลัวบาดเจ็บล้มตาย แต่ในใจของอู๋เป่ยเฉินชัดเจนมาก ประตูเมืองฝั่งบูรพานี้ สำหรับทหารกบฏแล้วต้องเป็นจุดที่สำคัญยิ่งจุดหนึ่ง ดังนั้นไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร ก็ต้องปกป้องไว้ให้ได้
มิหนำซ้ำด้วยหน้าที่รับผิดชอบของเขา ทำให้เขาไม่มีช่องให้พลิกสถานการณ์ได้เลย
เขาเป็นห่วงแม่เฒ่าไช่กับหลานสาว
ทว่าคำสั่งทหารดุจขุนเขา เขาไม่สามารถปลีกตัวออกไปช่วยคนในตอนนี้ได้
แต่เมื่อคิดถึงว่ายามนี้คนผู้นั้นก็อยู่ที่ด่านเมืองมังกรด้วย ใจเขาก็พลันสงบลงได้พอสมควร
ถ้าหากคนผู้นั้นลงมือ คืนนี้ด่านเมืองมังกรจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน
“สังหาร ต่อให้ตายก็ต้องปกป้องไว้ให้ได้”
อู๋เป่ยเฉินสู้สุดชีวิต ทั้งตัวอาบไปด้วยเลือด
เวลานี้เอง ร่างเงาร่างหนึ่งพุ่งตรงสังหารมาที่เขาดุจสายฟ้าแลบ ลงมือฉับพลันดุจสายลม กลิ่นอายพลังน่ากลัวเป็นที่สุด แหวกฝ่าทหารชายแดนฉินตะวันตกรอบๆ กระเด็นออกไป กระบี่เหล็กราวงูพิษแทงตรงมายังกลางคอหอยของอู๋เป่ยเฉิน
“เมิ่งเจิน”
อู๋เป่ยเฉินสะบัดกระบี่ขึ้นต้านไว้
เขาจำได้ ร่างนี้ก็คือองครักษ์คนสนิทของผู้บัญชาการใหญ่ ‘กองกำลังกระบี่เหล็ก’ โจวอัน นามว่าเมิ่งเจิน ได้รับฉายาว่า ‘กระบี่เหล็กเมืองมังกร’ เป็นยอดฝีมืออันดับที่สองแห่งกองกำลังกระบี่เหล็กรองจากโจวอัน
ในเวลาปกติ เขาเป็นชายที่ตรงไปตรงมาและมีคุณธรรมถึงที่สุดคนหนึ่ง มีมนุษย์สัมพันธ์ดีมากในหมู่ทหารชายแดนของด่านเมืองมังกร เคยเป็นบุรุษเหล็กที่ทำศึกเคียงบ่าเคียงไหล่กับอู๋เป่ยเฉินในสนามรบด้วยกันมาแล้ว ทว่า ตอนนี้กลับกวัดแกว่งกระบี่เข้าใส่ ลงมืออย่างไม่ปรานี
กองกำลังกระบี่เหล็กก่อกบฏ เมิ่งเจินที่เป็นถึงองครักษ์คนสนิทของผู้บัญชาการใหญ่ไม่มีทางไม่รู้เรื่อง
ดังนั้นไม่ต้องถามเลย เขาก็กบฏด้วยเหมือนกัน
อู๋เป่ยเฉินคิดไม่ออก บุรุษเช่นเขาทำไมจึงไปสมคบคิดกับพวกที่ราบทุ่งหญ้าได้
แต่ว่า เวลานี้ไม่จำเป็นต้องถามอีกแล้ว
“สังหาร”
เขาสะบัดกระบี่ยาว กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่าหมุนวนเวียนตรงเข้าไปปะทะ
คมดาบกระทบกัน สะเก็ดไฟสาดกระจาย
แสงไฟที่แสบตาส่องสว่างจนเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์และเด็ดเดี่ยวของทั้งคู่
ทุกคนล้วนมีเหตุผลที่ตนเองเลือกทำและยืนหยัดในสิ่งนั้น
และเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นอู๋เป่ยเฉินหรือเมิ่งเจิน พวกเขาต่างเชื่อมั่นว่าตัวเลือกของตนเองนั้นถูกต้องแล้ว
…
“ท่านคือใคร?”
‘แปดกรพิพากษา’ จงเหว่ยลอยค้างอยู่กลางอากาศ สายตาจ้องมองร่างเงาที่มาขวางเขาไว้ตรงหน้าอย่างโกรธกริ้ว
เมื่อครู่เขาที่รีบร้อนมาสนับสนุนประตูฝั่งบูรพาถูกยอดฝีมือลึกลับผู้ปรากฏตัวกะทันหันขวางเอาไว้ ในฐานะผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยของด่านเมืองมังกร เขาที่กำลังโกรธมากจึงซัดออกไปหลายกระบวนท่า แต่กลับถูกร่างเงาประหลาดที่ทั่วตัวปกคลุมด้วยแสงสีทองต้านทานเอาไว้ได้อย่างสบาย
จงเหว่ยตระหนักขึ้นมาได้ ศัตรูร่างทองตรงหน้าเป็นยอดฝีมือที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของจงเหว่ย ยอดฝีมือในแสงสีทองไม่ส่งเสียงใดๆ ตอบกลับ
เขาเงียบงันราวกับทองก้อนหนึ่งที่ไม่มีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
คลื่นพลังขั้นเหนือมนุษย์ม้วนเข้ามา ยอดฝีมือลึกลับออกกระบวนท่าอีกครั้ง
ปราณดาบอันรวดเร็วดุดันไหลวน เขตแดนของขั้นเหนือมนุษย์แผ่ขยายออกมา พลานุภาพกดดันหมุนโคจร หมายจะพันรัดสังหาร ‘แปดกรพิพากษา’ จงเหว่ยให้ตาย
จงเหว่ยทั้งตกใจทั้งโมโห ทดลองติดกันหลายต่อหลายครั้งก็ไม่อาจล้มอีกฝ่ายลงในเวลากระชั้นชิดได้ ซ้ำยังเกือบเจ็บหนักเสียด้วยซ้ำ จึงทำได้เพียงสงบใจตั้งสมาธิ และรับมืออย่างระวัง
แต่ใจของเขากลับจมดิ่งลงไปอย่างช้าๆ
กองกำลังกระบี่เหล็กก่อกบฏอย่างไม่มีสัญญาณเตือน การปรากฏตัวของยอดฝีมือลึกลับ การยื่นมือเข้ายุ่งของคนจากที่ราบทุ่งหญ้า…
ทั้งหมดนี้ทำให้จงเหว่ยตระหนักได้ว่า ด่านเมืองมังกรกำลังพบกับแผนร้ายบางอย่างที่เตรียมการเอาไว้นานแล้ว ในฐานะที่เป็นประตูด่านแรกสู่ฉินตะวันตก ด่านเมืองมังกรไม่ใช่เมืองทหารที่ใหญ่ที่สุดในชายแดนจักรวรรดิ แต่เป็นจุดสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์จุดหนึ่งแน่ หากป้องกันด่านเมืองมังกรไม่ได้ กำแพงเหล็กที่รวมขึ้นจากสิบเมืองชายแดนของฉินตะวันตกก็จะถูกตีแตก ยากที่จะเชื่อมกลับได้อีก
ดังนั้น หากรอจนหน่วยสนับสนุนมาถึงไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่มีใจคิดแผนแต่ไร้แรงป้องกัน คืนนี้เกรงว่าด่านเมืองมังกรจะอยู่ในอันตรายเสียแล้ว
สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ตกก็คือ เพราะอะไรกองกำลังกระบี่เหล็กจึงก่อกบฏ?
นี่เป็นถึงกองกำลังใหญ่อันดับหนึ่งของด่านเมืองมังกร แต่ไหนแต่ไรล้วนได้รับความสำคัญ ไม่มีเหตุผลใดที่จะก่อกบฏเลย
“อ๊าก…” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากที่ไกลๆ
จงเหว่ยหันไปตามเสียง เห็นผู้บัญชาการใหญ่ ‘กองกำลังบุกฐานที่มั่น’ ดาบเหมันต์ด่านมังกรเซี่ยจื้อหย่วนเข้าพอดี ขณะรบอย่างดุเดือดกับโจวอัน จู่ๆ ก็เจอการโจมตีจากสองร่างเงาดำประหลาด ถูกฟันที่เอวจนขาดสองท่อน เลือดสดสาดกระเซ็น เห็นได้ชัดว่าคงไม่รอดแน่นอน…
“สมควรตาย!”
จงเหว่ยคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้
เพียงไม่นาน รอบตัวของเขาก็ปรากฏร่างสีดำหนาทึบราวภูตผีสี่ร่างค่อยๆ ประชิดเข้ามา
กลิ่นอายความตายอันแสนชั่วร้ายที่เข้มข้นหลั่งไหลออกมาจากร่างเงาทั้งสี่ ราวกับหนวดรยางค์ลุกลามเต็มท้องฟ้า ประหนึ่งแมงมุมพิษที่หลบซ่อนอยู่ในความมืด เกาะรวมตัวกันเป็นตาข่ายสีดำกลางอากาศ เชื่อมประสานกันและกันเสมือนตาข่ายฟ้าดิน จากนั้นจึงหดตัวบีบเข้ามา
ในฐานะขุนพลคนสำคัญของด่านเมืองมังกร ‘แปดกรพิพากษา’ จงเหว่ยกำพู่กันตุลาการเหล็กเย็นเยียบคู่หนึ่งที่ราวกับหอกยาวไว้ กำลังตกอยู่ในสภาพจนตรอก
……
“ใครกัน?”
เจ้าสำนักธวัชใหญ่เพิ่งพาลูกศิษย์ในสำนักมาถึงปากถนน ก็พบเงาดำสี่ร่างที่ทั่วตัวมีหมอกดำประหลาดดุจปีศาจนกเค้าแมวในความมืดยืนขวางทางคนทั้งกลุ่มเอาไว้ ทั้งยังแผ่ไอสังหารอย่างไม่ปิดบัง
ในฐานะสำนักอันดับหนึ่งในด่านเมืองมังกร ความสัมพันธ์ของสำนักธวัชใหญ่กับทัพชายแดนแน่นแฟ้นกันมาก เจ้าสำนักอยู่ขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์ พลังแท้จริงแข็งแกร่ง เขากำลังจะพาศิษย์ไปสนับสนุนที่ประตูฝั่งบูรพา แต่ไม่คิดว่าจะถูกคนขวางไว้ที่นี่
อีกฝ่ายมาไม่ดี เจ้าสำนักธวัชใหญ่โบกมือสั่ง “สังหาร”
ต้องรีบจัดการทิ้งเสีย แล้วไปสนับสนุนประตูฝั่งบูรพา ไม่มีเวลามาไร้สาระแล้ว
แต่ทว่า หลังจากนั้นครึ่งก้านธูป
เลือดสดไหลนอง ศิษย์ขั้นปรมาจารย์ขึ้นไปจากสำนักธวัชใหญ่สามสิบหกนาย ชีวิตเป็นๆ ทั้งสามสิบหกกลายเป็นร่างไร้วิญญาณบนพื้น ร่างเจ้าสำนักธวัชใหญ่ถูกฉีกขาดเป็นสองท่อน เครื่องในไหลกองบนพื้น เห็นชัดว่าไม่รอดแล้ว
เขามองเงาดำราวมารร้ายที่เดินจากไปไกลอย่างยากลำบาก ขณะร่างกายค่อยๆ ล้มพับลง
“พวกเจ้า…เป็นใครกันแน่?”
และเรื่องแบบเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นไม่หยุดตามพรรค สำนัก สมาพันธ์การค้าน้อยใหญ่ในด่านเมืองมังกรแห่งนี้เช่นกัน กำลังพลผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานที่คิดจะไปเป็นกองหนุนประตูฝั่งบูรพาทั้งหมดถูกสังหารลงกลางทาง
เลือดสด ความตาย มาเยือนพร้อมกับองครักษ์แมงมุมมารร่างสีดำที่ประดุจมารสังหารเทพ
ยอดฝีมือในด่านเมืองมังกรถูกสังหารไปทีละคน
……
“เจ้าไม่ตายจริงๆ หรือ?”
อูลาปู้ตัวมองร่างของหลี่มู่ที่ปรากฏขึ้นในเรือนแม่เฒ่าไช่และหลานสาว เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว เขาเอ่ยต่อว่า “วันนี้ เจ้าสินะที่สังหารองครักษ์ของข้าไปสี่คน?”
หลี่มู่ไม่แม้แต่จะมองเขา
คืนนี้ ตอนที่ความวุ่นวายเกิดขึ้นช่วงแรก หลี่มู่กับกัวอวี่ชิงก็มายังเรือนของแม่เฒ่าไช่
และเวลานี้ แม่เฒ่าไช่กับไช่ไช่น้อยเพิ่งจะสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วมาที่ลานบ้าน การปรากฏตัวของอูลาปู้ตัวได้ยืนยันว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในด่านเมืองมังกรคืนนี้ต้องเกี่ยวข้องกับชาวที่ราบทุ่งหญ้าแน่นอน สำหรับวิหารเทพแมงมุมแห่งท้องทุ่งหญ้า หลี่มู่มองเป็นศัตรูโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะในคืนหลั่งเลือดที่หน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอัน เขาก็เคยปะทะกับยอดฝีมือจากวิหารเทพแมงมุมคนหนึ่ง
“พี่ชายบ้าบอ ตอนนี้พวกเราต้องไปไหน? ไปสังหารศัตรูหรือ?” ไช่ไช่กำกระบี่เหล็ก เพราะมีหลี่มู่อยู่ข้างกาย นางจึงไม่เพียงแต่รู้สึกไม่กลัว ในใจกลับรู้สึกอยากลงมือเร็วๆ ด้วยซ้ำ
หลี่มู่มองไปยังกัวอวี่ชิง เรื่องนี้เกี่ยวข้องไปถึงคนจากที่ราบทุ่งหญ้า และกัวอวี่ชิงเป็นชาวที่ราบทุ่งหญ้าเช่นกัน ครั้นจะให้เขาลงมือก็ไม่ค่อยดีนัก จึงพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่กัว ท่านดูแลแม่เฒ่าไช่กับชาวบ้านรอบๆ นี้เถอะ ข้าจะไปประตูบูรพาเสียหน่อย”
กัวอวี่ชิงตอบกลับ “ได้”
หลี่มู่ลงมือคนเดียวก็เพียงพอแล้ว
อูลาปู้ตัวที่อยู่อีกด้าน เมื่อเห็นหลี่มู่ไม่เห็นตนในสายตาแม้แต่น้อยก็โกรธขึ้นมาทันที
เมื่อตอนกลางวัน เขาก็รู้สึกว่าหลี่มู่ขัดตาเป็นพิเศษแล้ว เวลานี้ยังมาถูกเมินอีก จิตสังหารในใจจึงปะทุขึ้นมา ต่อให้หลี่มู่สังหารองครักษ์สี่นายของเขาไปจริงๆ ถึงเป็นยอดฝีมือขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์แล้วอย่างไร? สมควรตายอยู่ดี
“ไป” เขาโบกมือ
เงาดำด้านหลังสองร่างพุ่งออกมา ไอหมอกดำดุจภูตผีไหวกายวูบวาบ
องครักษ์แมงมุมมารนั่นเอง
ครั้งนี้เพื่อรับประกันว่าวิหารเทพแมงมุมจะไม่สูญเสียอะไร เขาจึงลงทุนส่งองครักษ์แมงมุมมารถึงสามสิบนายแทรกซึมเข้ามาในด่านเมืองมังกร นอกจากสิบนายนั้นที่อูลาปู้ตัวส่งออกไปก่อนหน้า ยังมีอีกยี่สิบนายคอยติดตามอยู่ข้างกายเขาตลอด
องครักษ์แมงมุมมารทุกคนมีพลังรบขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์ ไม่กลัวตาย ไม่รู้จักความเจ็บปวด ไม่มีความหวาดกลัว ผิวหนังประดุจเหล็กเทพ ดาบหอกฟันไม่เข้า น้ำไฟไม่อาจกล้ำกราย รับมือยากยิ่งกว่าขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์จริงๆ เสียอีก
เมื่อเห็นว่าองครักษ์แมงมุมมารสองนายพุ่งไปสังหารเด็กหนุ่มผมสั้นด้านหน้า อีกฝ่ายกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ราวกับตกใจจนค้างแข็งไปแล้ว บนหน้าของอูลาปู้ตัวก็ปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม เอ่ยปากว่า “เด็ดแขนขาของมันออกมาก่อน…”
เสียงยังไม่ทันจบ
แสงสีฟ้าสายหนึ่งเปล่งประกาย
ร่างขององครักษ์แมงมุมมารสองคนหยุดลงกะทันหัน แข็งทื่อ กระทั่งไอหมอกดำชั่วร้ายที่พันอยู่รอบกายยังหยุดนิ่งไปด้วย เสมือนมิติที่ร่างของพวกเขาอยู่ถูกปิดผนึกอย่างไรอย่างนั้น
กลิ่นอายเย็นเยือกชวนขนลุกกลุ่มหนึ่งกระเพื่อมออกมา
“นั่นมัน…” อูลาปู้ตัวมึนงง ก่อนจะตกตะลึง เขาก็เป็นยอดฝีมือจากวิหารเทพแมงมุม แค่เห็นจึงรู้ทันทีว่าองครักษ์แมงมุมมารทั้งสองถูกจิตที่หนาวเยือกสุดขั้วแช่แข็งไปแล้ว หนำซ้ำในเวลาเดียวกัน ตราประทับคลื่นวิญญาณขององครักษ์แมงมุมมารก็สลายไป เท่ากับดับดิ้นไปแล้วนั่นเอง
สังหารในพริบตา
เป็นไปได้อย่างไร?
พลังน้ำแข็งเย็นเยือกแบบไหนกัน จึงสามารถแช่แข็งสังหารองครักษ์แมงมุมมารได้ในพริบตา?
อูลาปู้ตัวไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็นตรงหน้า
แต่พริบตาต่อมาก็เห็นแสงสีฟ้าอีกสองสาย ดูเหมือนช้าแต่ความจริงเร็ว พวกมันโคจรอย่างแคล่วคล่องว่องไวและพุ่งตรงมาหาตนเอง ความเย็นเยือกเสียดแทงกระดูกถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นที่ซัดโหม…
“ฆ่ามัน ต้านทานแสงนั่นไว้…”
สัญชาตญาณของอูลาปู้ตัวรู้สึกได้ถึงแรงคุกคามจากความตาย ใบหน้าอ้วนฉุตกใจหวาดกลัว ร่างกายก้าวถอยหลังอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกัน องครักษ์แมงมุมมารที่เหลือสิบแปดคน ทั้งหมดเคลื่อนไหวพุ่งเข้าต้านทานแสงสีฟ้าในพริบตานั้น
ทว่าเมื่อแสงฟ้ามาถึง ร่างขององครักษ์แมงมุมมารทั้งหมดราวกับปลากระโดดลงไปในน้ำอุณหภูมิติดลบสามสิบองศา ถูกแช่แข็งอยู่ที่เดิมในพริบตา ค้างอยู่ในท่าพุ่งทะยานเข้าโจมตีด้วยความเร็วสูง จากขยับกลายเป็นหยุดนิ่ง เป็นภาพการแข็งค้างที่สะเทือนสายตาหาใดเปรียบ!
แสงสีฟ้าสองสายนั้นคือแสงดาบ
ในดวงตาที่ตกใจหวาดกลัวของอูลาปู้ตัว สะท้อนภาพเงาของดาบบินสองเล่ม
บนดาบบินมีปราณแท้เหมันต์ระดับสูงสุดอยู่ด้วย
หลี่มู่สามารถนึกนิมิตปราณแท้ทั้งห้าธาตุได้แล้ว อีกทั้งยังพัฒนา อนุมาน และใช้งานอย่างชำนิชำนาญ ไอเย็นเยือกนี้คือการใช้งานประเภทหนึ่งของปราณแท้ธาตุน้ำ สามารถสังหารศัตรูได้ในพริบตา
องครักษ์แมงมุมมารทั้งสิบแปดนายเปลี่ยนเป็นรูปสลักน้ำแข็งประหลาด
อูลาปู้ตัวใช้ภาษาที่ราบทุ่งหญ้าเอ่ยด้วยความหวาดกลัวและตกตะลึงสุดขีด “เจ้า…เป็นใครกันแน่?”
ยอดฝีมือดาบบินที่ใช้ปราณแท้เหมันต์ ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย
……………………………