จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 326 ดาบบิน
หลี่มู่รู้สึกค่อนข้างเสียดาย
ในโลกใบนี้ วัตถุนอกพิภพมีให้เห็นน้อยยิ่ง โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์แข็งแกร่งใหญ่ๆ ในห้วงทะเลดารายิ่งมีน้อยมากไปใหญ่ เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่กัวอวี่ชิงเคยว่าเอาไว้ ตอนนี้แผ่นดินใหญ่เสินโจวไม่มีเทพปีศาจนอกพิภพมาเยือนนานแล้ว ในยุคอดีตยาวนานที่ผ่านไป เทพปีศาจที่มาเยือนโลกใบนี้แฝงตัวอยู่ในที่มืด กระทั่งว่ากลืนไปกับคนพื้นเมืองบนดาวแล้ว หลี่มู่แยกออกว่าแมงมุมยักษ์ที่อยู่ในใยแมงมุมนั่นไม่ใช่สิ่งที่มาเยือนโลกใบนี้เมื่ออดีตกาลนานมาแล้ว
สามารถจับเป็นเอามาเล่น เอามาวิจัยสักหน่อยได้
แต่เจ้านี่กลับระเบิดตัวเองเสียนี่
ช่างใจเด็ดเสียจริง
หลี่มู่ส่ายหน้าอย่างเสียดาย
เขาวางมือบนไหล่ไช่ไช่ก่อนจะเอ่ย “พวกเราไปเถอะ”
เสี้ยวขณะต่อมา ทั้งสองกระโดดขึ้นกลางอากาศ เท้าเหยียบดาบบินเล่มหนึ่งเอาไว้ ก่อนจะแหวกรัตติกาลพุ่งไปทางประตูเมืองฝั่งบูรพาราวลำแสงสองทาง
กัวอวี่ชิงกลับอยู่ที่นี่ต่อ
ตอนนั้นเป็นเพราะเหตุผลบางอย่างบีบคั้น ทำให้เขาจำต้องไปจากที่ราบทุ่งหญ้า วันนี้กลับไปอีกครั้งก็เพื่อช่วยซ่างกวนอวี่ถิงเท่านั้น เพียงแต่ต้องแฝงตัวเข้าไปเงียบๆ ไม่อยากเปิดเผยฐานะของตนมากไป มิฉะนั้นคนอื่นจะถูกลากเข้ามาพัวพันกับเรื่องของตนกันไปหมด
สถานการณ์ในคืนนี้ หลี่มู่คนเดียวก็รับมือได้แล้ว
……
แปดกรพิพากษาจงเหว่ยร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ทั่วร่างอาบไปด้วยเลือด ใกล้จะฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว
ผู้แข็งแกร่งคนนั้นที่ทั่วร่างถูกปกคลุมอยู่ในแสงสีทอง นิ่งไม่ไหวติงดุจขุนเขา ไม่มีท่าทีอย่างผู้แข็งแกร่งอะไร แต่กลับควบคุมจงเหว่ยเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยใช้องครักษ์แมงมุมมารสี่คนโจมตีซ้ายขวา พูดได้ว่าจงเหว่ยไม่มีโอกาสเอาชนะเลยแม้แต่น้อย
“เรียกตัวเองว่าทหารชายแดนครั้งหนึ่ง เป็นทหารชายแดนไปจนตาย”
จงเหว่ยหัวเราะลั่น ไม่หวาดกลัวต่อความตาย จิตมุ่งหมายต่อสู้อันบ้าคลั่งลุกโหม
เขารู้ คืนนี้ตัวเองยากที่จะรอดไปได้ ฝ่ายตรงข้ามลอบวางแผน เตรียมการทุกอย่างเอาไว้อย่างดี เป็นการบดขยี้จากพลังแท้จริงโดยสมบูรณ์ แต่ในใจของเขากลับไม่มีความหวาดเกรง เป็นทหารมายี่สิบปี ผ่านสงครามเล็กใหญ่หลายพันครั้ง กี่ครั้งแล้วที่เดินอยู่ระหว่างความเป็นความตาย เขาได้เตรียมพร้อมเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว เครื่องกระเบื้องยังมีครั้งพลาดแตก นักรบอย่างไรเสียก็มีวันรบพ่าย ขุนพลอย่างไรก็ต้องตายในสงคราม ตายเพื่อบ้านเมือง ถึงตายไปก็คุ้มค่า
เพียงแต่ด่านเมืองมังกรรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว
เสียงหัวเราะของเขาก้องไปทั่วด่านเมืองมังกรภายใต้การแผ่ระลอกของปราณแท้
ทหารฉินตะวันที่อาบเลือดสู้ศึกและตกอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังค่อยๆ สงบจิตใจลง ฮึดสู้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง กวัดแกว่งศาสตราวุธตรงไปสังหารกองกำลังกบฏ เหมือนกับว่าจะให้ตายตกไปด้วยกัน
“เรียกตัวเองทหารชายแดนครั้งหนึ่ง เป็นทหารชายแดนไปจนตาย”
“ใครว่าท่านตัวคนเดียว ข้าจะร่วมเดินทางไปกับท่าน!”
“สังหาร ข้าขอล่วงหน้าไปก่อนล่ะ”
ทุกที่ในด่านเมืองมังกร ทหารฉินตะวันตกที่กำลังสกัดกั้นต้านทานอยู่นับไม่ถ้วนตาแดงก่ำ จงเหว่ยมีฐานะสูงส่ง อยู่ในกองกำลังทหารชายแดน ได้รับความเคารพรักจากทหารทั้งหลายอย่างสุดซึ้ง ภาพเช่นนี้ทำให้พวกเขาคลุ้มคลั่ง จะร่วมรบสู้ตายไปกับด้วยกันผู้บัญชาการ
ประตูเมืองฝั่งบูรพาที่ถูกกองกำลังกบฏโจมตีกลายเป็นทะเลสาบเลือดอสุรภูมิ
ร่างของอู๋เป่ยเฉินเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็ยังคงกัดฟันสู้สุดชีวิต เพียงแต่ทหารคนสนิทข้างกายเขาเหลือไม่มากแล้ว กองกำลังที่ยึดยุทธภูมิและค่ายประตูเมืองรบรากับกองกำลังกบฏ ตอนนี้มีสิบเหลือไม่ถึงสาม ทหารที่เหลืออยู่ต่างอาบย้อมไปด้วยเลือด แต่ยังคงกัดฟันสู้ต่อไป
“ยอมแพ้เสียเถอะ ข้าจะให้พวกเจ้าหนีไป” แววตาของเมิ่งเจินยังมีแววใจอ่อนอยู่รางๆ ถึงแม้เขาจะทรยศกองกำลังชายแดน แต่เพราะเหตุจากสถานการณ์ในตอนนี้ ร่างที่ตายไปต่อหน้าพวกนั้น ก่อนหน้าคืนนี้ก็เป็นสหายร่วมรบของเขา เคยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันในสนามรบที่ราบทุ่งหญ้ามาก่อน
“เพ้ย” อู๋เป่ยเฉินแค่นเสียงหยัน จากนั้นกวัดแกว่งกระบี่โจมตีไปอย่างดุดัน
ตอนนี้ นอกประตูเมืองฝั่งบูรพาห่างออกไปไกลโพ้นมีหมอกสีดำดั่งคลื่นบ้าคลั่งโหมซัดมา จากนั้นผืนแผ่นดินก็เริ่มสั่นไหวเบาๆ เหมือนเป็นสัญญาณว่าแผ่นดินไหวจะบังเกิด
“ทหารขี่หมาป่าแห่งที่ราบทุ่งหญ้า”
มีคนตะโกนขึ้นมา
ในพริบตานี้ แทบจะทุกคนรู้แล้วว่าทำไมกองกำลังกระบี่เหล็กถึงได้ทรยศและโจมตีประตูเมืองฝั่งบูรพาในคืนนี้ ที่แท้พวกเขาสมคบคิดกับคนที่ราบทุ่งหญ้านั่นเอง
นี่คิดจะโจมตีประตูเมืองแล้วปล่อยให้กองทหารขี่หมาป่าของชาวที่ราบทุ่งหญ้าบุกเข้ามาชัดๆ
“เมิ่งเจิน นี่เจ้า…เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำอะไรอยู่? หากเมืองแตก ประชาชนนับพันนับหมื่นในเมืองจะกลายเป็นเครื่องเซ่นสังเวยให้กับคนเถื่อนแห่งท้องทุ่งหญ้า” อู๋เป่ยเฉินอึ้งตะลึง โมโหเดือดดาล อดไม่ได้อ้าปากสบถด่า
หากกองกำลังกระบี่เหล็กแค่ก่อกบฏหักหลัง แค่ชิงอำนาจ ยังจะพอฝืนทำใจรับได้ แต่หากพวกเขาสมคบคิดกับพวกคนเถื่อน นี่ก็อภัยให้ไม่ได้แล้ว ในประวัติศาสตร์ เมื่อคนที่ราบทุ่งหญ้าโจมตีชายแดนครั้งใดก็ตามล้วนชักนำความตายและหายนะมาให้ อารยธรรมของเผ่ามนุษย์จะสูญสิ้น คมดาบและเปลวเพลิงอันป่าเถื่อนจะเหยียบย่ำซึ่งทุกสิ่ง ชาวเผ่าหมานแห่งที่ราบทุ่งหญ้ากระทั่งเรียกเผ่ามนุษย์ชาวฉินตะวันตกว่าแพะสองขา มองเป็นปศุสัตว์เอามาปรุงกินเป็นอาหาร
เมิ่งเจินใบหน้าละอายใจ ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ข้างกายของเขา ชายรูปร่างใหญ่ท่าทางเหมือนนักรบที่ราบทุ่งหญ้ากลับหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะร้องสั่งเสียงดัง “โจมตี ฆ่าพวกมัน ชิงเมืองมา…”
ประตูเมืองฝั่งบูรพาประดุจก้อนหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางน้ำทะเล ถูกคลื่นคลั่งสีดำท่วมมิดครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าก็โผล่ขึ้นมาทุกครั้งเช่นกัน อู๋เป่ยเฉินปกป้องประตูเมืองสุดกำลังราวคนบ้า
กลางท้องฟ้า
ครืน!
เสียงสนั่นหวั่นไหวดังขึ้น แปดกรพิพากษาจงเหว่ยกระเด็นออกไป
เลือดสดๆ สาดกระจายทั่วฟ้า
“จบแล้ว” เงาร่างที่อยู่ในแสงทองเอ่ยขึ้น
ลำแสงหมอกสีดำสี่สายพุ่งโจมตีสังหารไปยังจงเหว่ยที่ร่วงไปบนพื้น คำสั่งที่องครักษ์แมงมุมมารได้รับมาคือต้องฆ่าจงเหว่ยให้จงได้
“ยอดปรมาจารย์”
“ไม่…”
ยามทหารชายแดนทั่วทุกทิศเห็นภาพนี้ ก็เคียดแค้นจนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า
ทว่าพวกเขาก็ไปไม่ทัน ทั้งยังไร้ซึ่งความสามารถที่จะช่วยเหลือ
เห็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารชายแดนฉินตะวันตกที่ผลงานโดดเด่นและได้รับความรักเคารพอย่างลึกซึ้งถูกองครักษ์แมงมุมมารล้อมเอาไว้สี่ด้านกลางอากาศ ใกล้จะถูกสังหารเป็นชิ้นๆ เต็มที ทันใดนั้นเองการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น
แสงเพลิงสีแดงอันเงียบงันสายหนึ่งปรากฏอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย วาดเป็นวงรีงดงามขนาดใหญ่ไว้กลางท้องฟ้า ดูเหมือนจะไม่เร็ว แต่ก็เห็นชัดด้วยตาเปล่าว่ามันพันล้อมสังหารองครักษ์แมงมุมมารทั้งสี่เรียบร้อย…
แสงเพลิงสี่สายพวยพุ่งขึ้นฟ้า
องครักษ์แมงมุมมารที่ได้ชื่อว่าฟันแทงไม่เข้าตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงทันทีเสมือนหุ่นไล่กาที่ราดด้วยน้ำมันแล้วจุดไฟเผา ยังไม่ทันตกถึงพื้นก็กลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว…
แสงสีส้มอีกสายหนึ่งกะพริบขึ้นกลางท้องฟ้า รับจงเหว่ยที่ร่วงลงมาเอาไว้กลางอากาศ
ในขณะเดียวกัน ดวงตาของทุกคนพร่าเลือน เห็นร่างเงาของคนสองคนปรากฏอยู่กลางฟ้าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มผมสั้นร่างเหยียดตรง องอาจผ่าเผย อีกร่างหนึ่งคือเด็กหญิงตัวน้อยใบหน้างดงาม คิ้วตาดั่งภาพวาด ใต้เท้าทั้งสองคนเหยียบดาบบินกว้างเกือบสองฉื่อสองเล่มไว้ ราวกับเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น
แสงสีส้มสายนั้นรับจงเหว่ยเอาไว้ได้ เป็นดาบบินขนาดใหญ่สีเหลืองอ่อนเล่มหนึ่ง
เสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นรอบๆ ด่านเมืองมังกรหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
ได้พบความหวังหลังเจอเหตุอันตราย
“ท่าน…ขอบคุณมาก” จงเหว่ยดิ้นลงมาจากดาบที่กว้างไม่ต่างจากเตียง มองไปยังชายหญิงคู่นี้ก็รู้สึกแปลกหน้ายิ่งนัก แต่ในใจยังคงเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง อีกฝ่ายแค่ลงมือก็สังหารองครักษ์แมงมุมมารสี่คน ปลิดชีพราวกับเชือดไก่ เป็นมิตรมิใช่ศัตรู หรือด่านเมืองมังกรคืนนี้จะมีโอกาสพลิกสถานการณ์แล้ว?
เขาประสานมือขอบคุณ
และในขณะเดียวกัน ร่างเงาที่อยู่ในประกายแสงสีทองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขามองประเมินชายหญิงที่อ่อนเยาว์เกินสมควรแต่กลับทำลายอาวุธสงครามเช่นองครักษ์แมงมุมมารได้ในพริบตาผ่านแสงทองอย่างระแวดระวัง…นี่มันจะน่ากลัวเกินไปหน่อยแล้ว
ขณะเขาอยากจะพูดอะไร ข้างกายเด็กหนุ่มผมสั้นก็พลันมีประกายแสงสีต่างกันสิบหกสีพุ่งออกมาดุจแสงดาวตก แหวกท้องฟ้าพุ่งไปทางประตูเมืองฝั่งบูรพา
ดาบ
นั่นเป็นดาบบิน
หัวใจของทุกคนเต้นอย่างรุนแรง
ทุกที่ที่ดาบบินสิบหกเล่มพาดผ่าน จะเห็นดาบทะลุผ่านร่างของกองกำลังกระบี่เหล็กที่โจมตีประตูเมืองอย่างบ้าคลั่งและทหารกบฏทุกๆ นาย จากนั้นจึงพากันล้มลงกับพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง เหมือนต้นข้าวภายใต้คมเคียวของชาวนาก็ไม่ปาน
ภาพเช่นนี้เงียบงันและน่าหวาดกลัว
แสงดาบที่ชวนให้คนมองหายใจไม่ออกเช่นนี้ ทุกที่ที่พาดผ่านล้วนเป็นความตาย
บางคนทั่วร่างลุกท่วมด้วยไฟแล้วกลายเป็นธุลีในพริบตา บางคนกลายเป็นเศษน้ำแข็ง บางคนถูกสับจนละเอียดเป็นผุยผง บางคนมีเถาวัลย์ใบไม้เขียวงอกทะลุออกปากออกจมูก คนบางคนสลายกลายเป็นกองดิน…
ร่างของทหารกบฏแต่ละร่างๆ ล้มลง
ไม่ว่าจะเป็นทหารระดับต่ำธรรมดาๆ ทหารขั้นปรมารจารย์หรือยอดปรมาจารย์ก็ไม่แตกต่างกัน ไม่ทันแม้แต่จะกรีดร้องทั้งสิ้น…
วิธีสังหารเช่นนี้แปลกประหลาดนัก ราวกับเทพมารอย่างไรอย่างนั้น
เพียงชั่วพริบตา กบฏกองกำลังกระบี่เหล็กที่ล้อมโจมตีประตูเมืองฝั่งบูรพาก็ตายไปแล้วสองในสาม ไม่มีเลือด ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีกองกระดูก แต่ภาพที่น่าสยดสยองนั้นทำให้เขตประตูเมืองฝั่งบูรพากลายเป็นดินแดนแห่งความตาย
นอกเสียจากอู๋เป่ยเฉินและทหารใต้บัญชาการของเขา
พวกเขาที่รอดตายต่างยืนอยู่ที่เดิมอย่างตะลึงงัน ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
ดาบบินที่เหมือนกับลำแสงอันเงียบงันพุ่งทะยานออกไป
อู๋เป่ยเฉินมองไปยังร่างเด็กหนุ่มที่อยู่กลางอากาศ ยากจะเก็บความยินดีเอาไว้ ไช่ไช่ไม่เป็นอะไร ห่วงในใจของเขาในที่สุดก็วางลงได้แล้ว ใต้เท้าผู้นี้ลงมือเอง คืนนี้ด่านเมืองมังกรจะต้องปลอดภัยแน่นอน
“ใต้เท้า…” อู๋เป่ยเฉินเอ่ยเสียงสั่น
หลี่มู่โบกมือให้
จงเหว่ยถูกส่งมาไว้ที่พื้นแล้ว ทหารคนสนิทหลายสิบคนล้อมคุ้มกันเขาไว้ตรงกลาง
ดาบบินลอยอยู่ข้างกายหลี่มู่อย่างสงบประหนึ่งนกน้อยน่ารัก ทำให้คนยากจะเชื่อมโยงกับภาพที่มันสังหารโหดก่อนหน้านี้
“ท่านเป็นใครกันแน่?” เงาร่างที่หุ้มล้อมอยู่ในแสงสีทองเตรียมพร้อมระมัดระวัง ตอนนี้ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างรุนแรง
“เจ้าเป็นคนฉินตะวันตก?” หลี่มู่ฟังสำเนียงของเขาออก คนลึกลับคนนี้มีสำเนียงอย่างคนเมืองฉางอัน นี่แปลกนัก
คนลึกลับในแสงสีทองไม่พูดอะไรอีก ร่างค่อยๆ ถอยไปทางประตูเมืองฝั่งบูรพา
หลี่มู่สะบัดมือ
ดาบบินยี่สิบสี่เล่มแหวกอากาศไป มันกะพริบแสงสีต่างกัน ในท้องฟ้าแผ่ระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ แค่กะพริบวาบก็พันล้อมคนลึกลับในแสงเทพสีทองเอาไว้ได้ ดาบบินหมุนวน ปราณแท้ห้าธาตุโคจรอย่างอิสระ ขังเขาเอาไว้เรียบร้อย
ในตอนนี้เอง เสียงตะโกนจากนอกประตูเมืองฝั่งบูรพาก็มาถึงกำแพงเมืองแล้ว
เสียงตะโกนสังหารของชาวเผ่าหมานแห่งท้องทุ่งหญ้าราวเสียงร้องของปีศาจร้าย ในนั้นยังมีเสียงหอนลากยาวของหมาป่ายักษ์จากที่ราบทุ่งหญ้ารับช่วงต่ออีกเป็นระลอก…กองทัพของวิหารเทพแมงมุม ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ราวกับว่าประตูนรกเปิดออก จากนั้นปีศาจร้ายนับไม่ถ้วนทะยานออกมาจากข้างใน
ทั่วทั้งด่านเมืองมังกรสั่นสะเทือนภายใต้การเคลื่อนไหวเช่นนี้
…………………………………