จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 331 นักพรตลงจากเขา
เขาเมืองมรกตตั้งอยู่ในจักรวรรดิซ่งเหนือ ห่างจากเมืองหลินอันเมืองหลวงของซ่งเหนือประมาณหนึ่งพันลี้กว่าๆ
อาณาเขตเขาเมืองมรกตกินพื้นที่พันลี้ ทิวเขากว้างใหญ่เงียบสงบ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ทั้งสี่ฤดูราวฤดูใบไม้ผลิ ยอดเขาสูงตระหง่านรายล้อม ภูมิประเทศคล้ายเมือง จึงได้ชื่อว่าเขาเมืองมรกต ขั้นบันไดคดเคี้ยวทอดตัวยาว สะอาดเงียบสงบ อารามเขามรกตที่อยู่บนยอดเขาหลักสร้างอยู่บนเขาลอยฟ้า คนธรรมดายากจะเข้าไปได้ มีเพียงยอดฝีมือในยุทธจักรและวานรขาวกับกระเรียนเซียนแห่งเขาเมืองมรกตเท่านั้น ถึงจะข้ามยอดเขาสูงชันอันตรายไปถึงอารามเขาเมืองมรกตบนนั้นได้
อารามเมืองมรกตเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์วิถียุทธ์ของจักรวรรดิซ่งเหนือ ตำแหน่งเทียบเท่าทุ่งปิดภูผาแห่งฉินตะวันตก
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเก้าสำนักเทพใต้ผืนฟ้า อิทธิพลที่อารามเมืองมรกตมีต่อซ่งเหนืออาจไม่เหมือนสำนักทุ่งปิดภูผาที่ส่งอิทธิพลต่อฉินตะวันตกซึมลึกไปถึงการทหารและการปกครอง อารามเมืองมรกตที่ฝึกฝนตามครรลองธรรมชาติน้อยครั้งที่จะก้าวสู่โลกภายนอก แต่กลับมีความหมายสำคัญกับจักรวรรดิซ่งเหนือ เคยช่วยเหลือประชาชนแถบชายแดนที่ตกอยู่ในอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งที่เกิดกลียุค นักพรตจากอารามเมืองมรกตจะลงจากเขาไปช่วยเหลือโลก และเมื่อสังคมเฟื่องฟู เหล่านักพรตก็จะปลีกวิเวกไปในเขาลึก ที่นี่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ในใจของจอมยุทธ์ซ่งเหนือนับไม่ถ้วน ทั้งยังเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สำนักเต๋าของทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจวอีกด้วย
เจ้าอารามของอารามเมืองมรกตเต้าฉงหยางเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในลัทธิเต๋า และเป็นปรมาจารย์นักพรตที่ทุกคนยอมรับ
เจ้าสำนักเทพทั้งเก้าเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วแผ่นดินกันทั้งสิ้น คำพูดเพียงคำเดียวก็กลายเป็นกฎหมายแผ่นดิน ได้รับการขนานนามว่าเก้ายอดคนใต้หล้า
เต้าฉงหยางก็เป็นหนึ่งในเก้ายอดคน
เขาถูกขนานนามว่าเป็นนักพรตแห่งใต้หล้า ก็สามารถจินตนาการได้ว่าพลังแท้จริงและพลังฝึกของเขาไปถึงขอบเขตใด สามร้อยปีที่ผ่านมา เขาเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของซ่งเหนือโดยไม่มีข้อโต้แย้งแม้แต่น้อย ถึงแม้จะปิดด่านฝึกตนไปสองร้อยปี เก็บเนื้อเก็บตัว อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นที่สุด แต่ก็ไม่มีใครชิงตำแหน่งของเขาได้
แต่ตอนนี้ ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าที่สงบเสงี่ยมมาสองร้อยกว่าปีกลับลงจากเขามาท้ารบกับหลี่พั่วเยวี่ยซึ่งเป็นเก้ายอดคนใต้หล้าเช่นกัน นี่ช่างทำให้คนนับไม่ถ้วนตื่นตะลึงจนยากจะเชื่อ
เก้ายอดคนใต้หล้าล้วนแต่เป็นบุคคลชั้นยอดที่ควบคุมชะตาของจักรวรรดิ นับตั้งแต่พันปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีการท้าสู้กันและกันเช่นนี้
เพราะเก้ายอดคนเป็นดั่งเสายักษ์เก้าต้นที่ค้ำจุนโลก
ไม่ว่าเสาต้นไหนล้มลงก็ตาม โลกใบนี้จะเอนเอียง เสี่ยงจะล้มครืนลง
แตะแค่เส้นผมก็สะเทือนไปทั้งตัว
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนในโลกนี้ต่างรู้ดี
ดังนั้นการต่อสู้กันระหว่างเก้ายอดคนจึงเป็นการต่อสู้ที่หาได้ยากยิ่ง
ต่อให้เป็นการแข่งขันบางอย่างก็สู้กันทางกลอนกวีหรือแอบสู้กันลับหลัง อย่างเช่นการสั่งสอนศิษย์คนหนึ่งของแต่ละคน จากนั้นก็ใช้ผลแพ้ชนะของลูกศิษย์มาตัดสินผลแพ้ชนะของกันและกัน หรือบางทีก็อาจเป็นการลอบสู้กันโดยมีขอบเขต แค่พอเป็นพิธี ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่เก้ายอดคนท้าประลองลงสนามตัดสินแพ้ชนะด้วยตัวเอง
ทว่า ครั้งนี้การนัดประลองของนักพรตเต้าฉงหยางกับ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยถูกประกาศไปทั่ว และบอกไว้อย่างชัดเจนยิ่งคือแบ่งแพ้ชนะ แบ่งเป็นตาย
แบ่งเป็นตายเชียวนะ
ซึ่งก็หมายความว่า สองคนในเก้ายอดคนจะมีคนหนึ่งที่สุดท้ายแล้วต้องแตกดับไป
ข่าวแพร่สะพัดไปทุกหนแห่งในแผ่นดินใหญ่เสินโจวอย่างบ้าคลั่ง
สร้างความกังวลให้กับหลายคน
เป็นเพราะสาเหตุอะไรถึงได้ทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างเก้ายอดคนขึ้นเช่นนี้?
นี่ไม่ได้หมายความว่าแผ่นดินใหญ่เสินโจวที่สุขสงบสมดุลมาพันปี จะต้องพบเจอกับภัยพิบัติอีกหรือ?
หลายคนคิดอยากหยุดการประลองที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้
แต่แน่นอน ยังมีอีกหลายคนที่แอบดีใจ กำลังโห่ร้อง กำลังโลดเต้น และเฝ้ารอการมาถึงของกลียุคนี้
……
ภูเขาเมืองมรกต
เขาเขียวเงียบสงบ แมกไม้ร่มครึ้ม
นับแต่อดีตก็มีคำพูดที่ว่า ‘เมืองมรกตเงียบสงบที่สุดในโลก’ แล้ว นี่คือเทือกเขาที่สุดแสนสงบ
เขาลอยฟ้าตั้งอยู่ในแนวเทือกเขาเขียวขจีที่ทอดตัวยาว ยอดเขารอบๆ สูงชันอันตราย เป็นยอดเขาซึ่งแขวนอยู่กลางท้องฟ้าเหนือพื้นดินไปสองลี้ ทั้งยังเป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ทิวทัศน์งดงามแปลกตา อารามเมืองมรกตตั้งอยู่บนเขาลอยฟ้าแห่งนี้ ราวกับเป็นที่พำนักของเทพเซียน
อารามเมืองมรกตประกอบด้วยตำหนักใหญ่สามสิบแปดตำหนัก
ตำหนักของปรมาจารย์นักพรตเต้าฉงหยางชื่อว่า ‘เมืองชาด’ ตั้งอยู่บนยอดเขาลอยฟ้า
เต้าฉงหยางที่สวมชุดนักพรตเรียบง่ายสีดำยืนอยู่บนบันไดหน้าประตูเมืองชาด ก้มมองดูอาราม บันไดหิน และต้นไม้ที่สลับซับซ้อนเป็นชั้นๆ ข้างล่าง สายตานิ่งสงบ ไม่มีอาการร้อนรน ละอองหมอกโอบล้อมขุนเขาราวเส้นเงินไหลริน เขารูปร่างผอมสูงไหลกว้างเอวแคบ ดูแล้วอายุแค่สามสิบกว่าๆ หน้าตาขาวสะอาด เคราดำคิ้วดำ ดวงตายาวเรียวตวัดเฉียงขึ้นอย่างตาหงส์แบบดั้งเดิม จมูกโด่งปากอวบอิ่ม
“อาจารย์ ท่านตัดสินใจแล้วจริงๆ หรือ?” นักพรตหนุ่มประมาณยี่สิบกว่าๆ สวมชุดนักพรตสีเทา ใส่รองเท้าขนสัตว์ลายเมฆ เดินมาเบาๆ ถามด้วยสีหน้ากังวล เหมือนกำลังคิดจะห้ามอะไร
นักพรตหนุ่มคนนี้คิ้วกระบี่ดวงตาเป็นประกาย ผิวขาวละเอียดราวหยกมันแพะ สง่างามเป็นที่สุด องอาจยิ่งนัก
“ลิขิตสวรรค์เริ่มแล้ว ถึงแก่เวลาแล้ว” เต้าฉงหยางทอดถอนใจ “พันปี พวกเขาเตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวพร้อมแล้วเช่นกัน ความอดทนของทุกคนใกล้หมดลง รอไปได้ไม่นาน ปฐมเทวะผู้อ่อนเยาว์ก็ปรากฏตัวขึ้น ฟ้าดินผืนนี้จะเปลี่ยนแปลงแล้ว”
“ท่านอาจารย์ ให้ข้าตามท่านไปด้วยเถิด” นักพรตเต๋าหนุ่มเอ่ย “ฉินตะวันตกมี ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ แล้วก็ยังมี ‘ไท่ไป๋อ๋อง’ ปรากฏตัวขึ้นอีก…”
เต้าฉงหยางยิ้มเล็กน้อย หมุนตัวกลับมา “เต้าเจิน เจ้าดูถูกผู้กล้าแห่งใต้หล้าแล้ว หลี่พั่วเยวี่ยไม่มีทางใช้จำนวนเอาชนะหรอก”
“แต่ว่า…” นักพรตหนุ่มอยากจะพูดอะไรอีก
เต้าฉงหยางเอ่ย “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบพันปีมาถึง ต่อให้เป็นเก้าสำนักเทพก็จำต้องเผชิญหน้า ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้…อีกทั้งหากข้าไปแล้ว เขาลอยฟ้าเกรงว่าคงไม่สงบอีกต่อไป เจ้าอยู่ที่นี่รักษาเขาเมืองมรกตแห่งนี้เอาไว้ หากถึงที่สุดแล้วจริงๆ ให้จำเอาไว้ จงสืบทอดตำแหน่งต่อไป” ระหว่างพูด น้ำเสียงเขาหดหู่เป็นที่สุด
“อาจารย์…” เต้าเจินตาแดงก่ำแล้ว
ไม่ได้ลงจากเขามาสองร้อยปี พอลงจากเขาก็เป็นสถานการณ์ตัดสินเป็นตาย
เขารู้ว่าอาจารย์จะต้องเจอกับคู่ต่อสู้อย่างไร
“ศิษย์โง่ อย่าได้ติดกับอยู่ในความยึดมั่นถือมั่น” เต้าฉงหยางหน้าตาเปี่ยมไปด้วยความเมตตา เขากางฝ่ามือออก แสงเป็นพุ่มเข็มสีเขียวมรกตก็ปรากฏขึ้น จากนั้นหมุนวนแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่โบราณลายสนสีเขียวมรกตเล่มหนึ่ง “กระบี่ลายสนเขามรกตโบราณเล่มนี้ นับจากนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว หวังว่ากระบี่เล่มนี้เมื่ออยู่ในมือเจ้าจะสามารถส่องประกายแสงเทพแท้จริงที่เป็นของมันได้”
“ท่านอาจารย์” ในใจของเต้าเจินยิ่งร้อนรนไม่สงบ
กระบี่ลายสนเขามรกตคือของวิเศษล้ำค่าของเขาเมืองมรกต เป็นอาวุธเต๋ามีชื่อในพิภพ อยู่ในห้าอันดับแรกของอาวุธวิเศษแผ่นดินใหญ่เสินโจว ตลอดมาต้องเป็นปรมาจารย์นักพรตหรือเจ้าแห่งเขาเมืองมรกตเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ได้ครอบครอง แต่ตอนนี้ อาจารย์กลับมอบมันให้กับตน…เต้าเจินมีความรู้สึกเหมือนอาจารย์จะไปแล้วไม่กลับ นี่คือการสั่งเสียก่อนชัดๆ
“อาจารย์ ท่านสู้กับ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หากผิดพลาดเล็กน้อยก็จะกลายเป็นข้อผิดพลาดอย่างมหันต์ หากมีกระบี่นี้อยู่ในมือ บางทีอาจมีอัตราเอาชนะได้มากยิ่งขึ้น ข้า…” เต้าเจินยืนกรานปฏิเสธ หยาดน้ำตาไหลรินแล้ว
เต้าเจินส่ายหน้า “เมื่อไปถึงขอบเขตเก้ายอดคน ต่อให้เป็นของวิเศษล้ำค่าในใต้หล้าก็ไร้ประโยชน์ แพ้ชนะอยู่ที่ตัวเอง อยู่ที่ชะตา มิได้อยู่ที่สิ่งของภายนอก”
พูดจบ เขาก็หันกายโบยบินลงจากเขาไป
“อาจารย์…” เต้าเจินยืนอยู่บนบันไดหินตำหนักเมืองชาด มองอาจารย์เหยียบเมฆไปทีละก้าว เพียงชั่วพริบตาก็หายไปในกลีบเมฆไกลโพ้นบนผืนฟ้า เขาโศกเศร้าเสียใจอย่างควบคุมไม่ได้ สองมือประคองกระบี่ลายสนเขามรกตไว้ ในใจมีความคิดจะตามติดอาจารย์ไปด้วย แต่ขากลับก้าวออกไปจากบันไดหินไม่ได้แม้แต่ขั้นเดียว
เขาเป็นเด็กกำพร้า ภูมิหลังไม่ชัดเจน นกกระเรียนขาวคาบตะกร้าใส่เด็กผู้ชายมาวางไว้หน้าตำหนักเมืองชาด ด้วยเหตุนี้เต้าฉงหยางจึงเกิดความสงสาร รับเขาไว้เป็นศิษย์สายตรง ในบรรดาลูกศิษย์เขาเมืองมรกต เขาไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์ดีที่สุด ไม่ใช่คนที่ความสามารถในการเรียนรู้เป็นเลิศที่สุด และยิ่งไม่ใช่คนที่ฝึกฝนได้รวดเร็วที่สุด แต่เต้าฉงหยางกลับให้ความสำคัญ ให้กำลังใจ ท้ายที่สุดกระทั่งมอบของวิเศษอย่างกระบี่ลายสนเขามรกตเล่มนี้ให้กับเขา
นี่บอกชัดเจนว่า อาจารย์กำหนดให้เขาเป็นเจ้าอารามคนต่อไปของอารามเมืองมรกตแล้ว
บุญคุณที่เลี้ยงดู เขายังไม่ได้ตอบแทนเลย
……
ฉินตะวันตก
ทุ่งปิดภูผา
ด้านหน้ากระท่อมอย่างง่ายหลังหนึ่ง จอมยุทธ์ดาบชิวอิ่นที่ใบหน้าอิดโรยดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดนั่งขัดสมาธิอยู่
ตรงข้ามเขาคือชายหนุ่มหน้าตางดงามใบหน้าเปื้อนยิ้มบางๆ ภายในดวงตาทั้งโตและสุกใส ราวกับมีดวงดาวสุริยันจันทราอยู่ในนั้น และก็ประหนึ่งหุบเหวน้ำพุโบราณซึ่งไร้ก้นบึ้ง กำลังมองชิวอิ่นอยู่อย่างเงียบๆ
“อาจารย์ ข้า…ล้มเหลว” ใบหน้าของชิวอิ่นเผยความละอายใจ เขาเก็บตัวฝึกตนห้าวันห้าคืน แต่กลับไม่อาจบรรลุขอบเขตที่อาจารย์ว่าได้ และตอนนี้เขาก็ไม่มีเวลาให้เสียเปล่าอีกแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ชิวอิ่นเกลียดชังตัวเองที่ไร้ความสามารถ
ชายหนุ่มหน้าตางดงามก็คือ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ย ตำนานการฝึกยุทธ์แห่งฉินตะวันตก หนึ่งในเก้ายอดคนใต้หล้านั่นเอง
“ใจของเจ้าไม่สงบ ดังนั้นจึงทำไม่สำเร็จ” หลี่พั่วเยวี่ยไม่ได้รู้สึกผิดหวังเพราะลูกศิษย์ไม่อาจก้าวข้ามขั้นนั้นได้ เขายืนขึ้นมา เดินออกไปจากอาณาบริเวณเขตกระท่อม เหยียบอากาศก้าวไปยังท้องฟ้าไกลทีละก้าวๆ
ชิวอิ่นติดตามอยู่ข้างหลัง อยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้
ชั่วพริบตา ทั้งสองก็มาถึงบนท้องฟ้า ก้มมองดูที่ทุ่งหญ้าปิดภูผาที่ราวกับหยกงดงามไร้ที่ติฝังอยู่บนแผนที่จักรวรรดิฉินตะวันตก
“ใจของเจ้าอยู่ที่ที่ราบทุ่งหญ้า ข้ารู้ เจ้ามีสัญญากับพี่น้องร่วมสาบานทั้งสองของเจ้า ไปเถอะ” หลี่พั่วเยวี่ยกล่าว “เรื่องที่ผู้อื่นไหว้วานไว้จะต้องทำให้ดีที่สุด คนเลี้ยงสัตว์แห่งทุ่งปิดภูผา เมื่อพูดออกไปแล้วต้องรักษาคำพูด ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็จะต้องทำให้สำเร็จ ช้าไปวันสองวันก็ไม่เป็นไร พวกเขาน่าจะเพิ่งถึงที่ราบทุ่งหญ้าเช่นกัน”
“แต่ว่า…” ชิวอิ่นสองจิตสองใจ
แต่ไหนแต่ไรมาเขาพูดคำไหนคำนั้น เรื่องที่รับปากผู้อื่นไม่เคยผิดสัญญา ทว่าครั้งนี้มีเรื่องที่น่ากลัวกว่าฟ้าถล่มดินทลายเกิดขึ้น เขาถึงกระทั่งไม่ทันได้บอกหลี่มู่และกัวอวี่ชิงสักคำ นี่ก็เลยวันนัดวันนั้นมาสองวันแล้ว แต่เขาก็ยังไม่วางใจที่จะจากไป เพราะลมพายุลูกหนึ่งใกล้จะถล่มทุ่งปิดภูผาแล้ว
หลี่พั่วเยวี่ยพูดกลั้วหัวเราะ “ไปเถอะ เจ้าไปไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เพราะโอกาสของเจ้ายังมาไม่ถึง มันอยู่ที่ที่ราบทุ่งหญ้านั่น”
ชิวอิ่นยังคงลังเล “แต่ว่าในทุ่งปิดภูผา…” มีเพียงเขาที่รู้ เมื่ออาจารย์ออกไปตามนัดประลอง ความสับสนวุ่นวายที่ถูกควบคุมเอาไว้ตลอดมาในเมืองปิดภูผาจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นรากฐานของทุ่งปิดภูผาจะสั่นคลอน
“อะไรที่ควรไปอย่างไรก็ต้องไป หากรักษาหยกงามผืนนี้เอาไว้ไม่อยู่ เช่นนั้นก็ให้มันแหลกสลายไปเสียเถอะ” หลี่พั่วเยวี่ยก้มลงมองเมืองปิดภูผาซึ่งชื่อเสียงและบารมีขจรขจายไปทั่วแดนที่อยู่ใจกลางสุดนั้น สายตากลับไม่มีแววอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย “เจ้าดูทุ่งหญ้าเขียวขจีไร้ที่ติผืนนี้สิ ทุ่งปิดภูผาประดับอยู่บนนั้น กลับจะทำลายความบริสุทธิ์ของทุ่งหญ้าผืนนี้ไป หากไม่มีมัน บางทีอาจจะดีกว่าก็เป็นได้”
ชิวอิ่นอึ้งตะลึง
ภายใต้การเร่งรัดของหลี่พั่วเยวี่ย สุดท้ายชิวอิ่นก็มุ่งหน้าไปยังทางตะวันออก เดินทางไปยังที่ราบทุ่งหญ้า
“ให้ข้ามีชื่อเสียงหลังความตาย มิสู้มีสุราสักจอกอยามมีชีวิต” หลี่พั่วเยวี่ยเดินอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ สุดท้ายร่างในชุดตัวยาวสีขาวก็หายไปในกลีบเมฆ
วันนี้ เก้ายอดคนใต้หล้า ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ และนักพรตต่างออกจากการปิดด่าน