จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 335 กำลังหาข้าอยู่หรือ?
เมื่อเห็นร่างของเถี่ยมู่เจิน เหล่านักรบเผ่ายิงจันทร์ก็ล้อมมาแล้วคุกเข่าลง มีคนร่ำไห้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ต่อให้เป็นชายชาตรี ในใจก็มีความรู้สึก พวกเขาล้วนเป็นนักรบติดตามข้างกายเถี่ยมู่เจินที่ภักดีที่สุด แต่กลับปกป้องหัวหน้าเผ่าของตัวเองไม่ได้ ตอนนี้จะไม่ร้องไห้ให้กับการตายของหัวหน้าเผ่ายิงจันทร์ที่กล้าหาญที่สุดได้อย่างไร?
เทพธิดาสงครามใบหน้าหมองหม่น เศร้าโศกเหลือทน
เถี่ยมู่เจินเป็นพี่ใหญ่ของนาง เหมือนกับญาติพี่น้อง
หากไม่ใช่เพราะเถี่ยมู่เจิน ตอนนั้นที่หน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอัน เกรงว่านางคงประสบเคราะห์กรรมอะไรไปแล้ว
แน่นอนว่านางรู้ถึงความรู้สึกที่เถี่ยมู่เจินมีให้ตน แต่น่าเสียดายนักที่ใจนางมีเงาของใครบางคนอยู่แล้ว รอยเงารางเลือนแต่กลับเป็นสายใย ตัดไม่ขาดจิตใจว้าวุ่น
อีกทั้งนางยังเป็นธิดาเทพแห่งวิหารเทพหมาป่า นั่นหมายความว่าจะรับใช้เทพหมาป่าตลอดชีวิต มีหมาป่าเป็นเพื่อนโดดเดี่ยวกลางลมหิมะ บางทีอาจจะเป็นได้แค่นี้กระมัง
เงาร่างนั้นยามนี้ใกล้แค่เอื้อม แต่ก็ไกลสุดเอื้อมถึง
ที่ราบทุ่งหญ้าก็โหดร้ายเช่นนี้ วีรบุรุษผู้กล้าอย่างเถี่ยมู่เจินก็มีวันที่ล้มลงเช่นกัน
บนทุ่งหิมะหนาวเหน็บแห่งนี้ ชะตาชีวิตโหดร้ายเสียนี่กระไร
ตอนนี้เอง หลี่มู่หยิบตราหยกออกมาชิ้นหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “แต่สถานการณ์ก็ไม่นับว่าเลวร้ายที่สุด ยังมีโอกาสเส้นบางๆ อยู่ ข้าใช้วิชาลับเรียกวิญญาณของเขามากักเก็บเอาไว้ในหยกชิ้นนี้ สามารถหล่อเลี้ยงเอาไว้ด้านในได้ วันหลังหากมีเคล็ดวิชาเซียนดาราสมุทรที่เหมาะสมกับการฝึกฝน บางทีเขาอาจจะเดินไปได้อีกทางหนึ่ง แต่น่าเสียดาย ตามไปสายเกินไป ร่างของเขาเยือกแข็งสูญเสียพลังชีวิตไปแล้ว จึงยากที่จะฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่”
เถี่ยมู่เจินมีพลังฝึกขั้นฟ้าประทาน แต่เดิมร่างที่ตายไปแล้วเก็บรักษาไว้ได้นานมาก แต่หิมะและน้ำแข็งบนที่ราบทุ่งหญ้าหนาวเหน็บเหลือประมาณ อีกทั้งเขายังตายเพราะใยแมงมุม พิษแมงมุมมารแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย เนื้อหนังกระดูกถูกทำลาย ดังนั้นจึงเกินจะเยียวยาแล้ว
เขามอบตราหยกให้กับเทพธิดาสงคราม
วิชาเต๋าเรียกวิญญาณ ก่อนหน้านี้เขาก็เคยใช้เรียกวิญญาณของสาวใช้ ตอนนี้ยังหล่อเลี้ยงอยู่ที่เรือนดาบอยู่เลย หลี่มู่ไม่ได้สำแดงครั้งนี้เป็นครั้งแรก
เพียงแต่โลกใบนี้เหมือนจะไม่เหมาะกับการฝึกฝนภูตผีมากนัก และก็ไม่เคยได้ยินเรื่องฝึกภูตผีเช่นกัน
แต่ว่า จะร้ายดีอย่างไรก็เป็นความหวัง
เผ่ายิงจันทร์ทั้งหลายต่างเอ่ยขอบคุณหลี่มู่ไม่ขาดปาก
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นสามจิตเจ็ดวิญญาณของเถี่ยมู่เจินออกจากตราหยกมาปรากฏต่อหน้าคนทั้งหลาย ก็ยิ่งดีใจเป็นหนักหนา ถึงแม้เถี่ยมู่เจินในสภาวะเช่นนี้จะทำไม่ได้แม้แต่ยกสิ่งของ แต่หลี่มู่ถ่ายทอดวิชาผสานวิญญาณที่เหมาะสมให้กับเขาแล้ว ขอแค่ฝึกฝนตามวิชานี้ อย่างน้อยๆ วิญญาณของเถี่ยมู่เจินก็จะไม่แตกดับ
“ขอบคุณ” เทพธิดาสงครามก็เอ่ยปากขอบคุณเช่นกัน
หลี่มู่ส่ายหน้าให้
เรื่องวันนี้เขากับกัวอวี่ชิงรู้ช้าเกินไป ตอนที่ตามมาก็สายไปเสียแล้ว
มิฉะนั้นเถี่ยมู่เจินก็จะไม่ตาย เผ่ายิงจันทร์จะไม่สูญเสียสาหัสเช่นนี้
“เอ๋?” สายตาของหลี่มู่สังเกตเห็นโลหิตเทพแมงมุมมารที่ลอยอยู่กลางอากาศหยดนั้น
เขาสัมผัสถึงกลิ่นอายของวัตถุนอกพิภพได้
พลังจิตวิญญาณราวตาข่ายเหนี่ยวนำโลหิตเทพแมงมุมมารหยดนี้มาลอยอยู่กลางฝ่ามือ หลี่มู่แทรกพลังจิตวิญญาณสายหนึ่งเข้าไป ก็สัมผัสได้กลิ่นอายทางลบที่เชี่ยวกรากราวมหาสมุทร เหมือนเป็นโลกอีกใบหนึ่ง แฝงไว้ด้วยพลังมากมายมหาศาล
กัวอวี่ชิงไม่สนใจเลือดหยดนี้ ดังนั้นหลี่มู่จึงเก็บมันไป
อะไรก็ตามที่เป็นของเกี่ยวกับวัตถุนอกพิภพ หลี่มู่ล้วนสนใจทั้งสิ้น
ในเลือดหยดนี้แฝงไว้ด้วยพลังงานอันแข็งแกร่ง และพลังงานที่มาจากนอกพิภพชนิดนี้แฝงด้วยกฎและพลังจากนอกพิภพ ราคาอยู่เหนือกว่าหินดารา ขอแค่กำจัดกลิ่นอายด้านลบรุนแรงในนั้นได้ พลังงานบริสุทธิ์ที่เหลือสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มหาศาล
ทุกคนกลับไปยังฐานที่มั่นของเผ่ายิงจันทร์ด้วยกัน
การต่อสู้จบลงแล้ว
ก่อนหน้านี้จ้าววิหารเทพแมงมุมมาเยือน กองกำลังของวิหารเทพแมงมุมสังหารนักรบและคนแก่เด็กเล็กในฐานที่มั่นเผ่ายิงจันทร์อยู่ข้างหลัง เมื่อหลี่มู่ไปถึง กองกำลังวิหารเทพแมงมุมก็โจมตีจนยับเยินแล้ว ตอนนี้ชาวเผ่ายิงจันทร์กำลังฝืนทนความเศร้าโศกเก็บกวาดสนามต่อสู้
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ประชากรของเผ่ายิงจันทร์มีจำนวนไม่ถึงหนึ่งในสามของอดีต สูญเสียสาหัส เสียงร้องไห้ระงม โลหิตไหลนอง…
ความเจ็บปวดที่สงครามนำมาให้แก่ผู้คน ยากที่จะลบเลือนไปได้ตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าหมานก็ตาม
ข่าวจ้าววิหารเทพแมงมุมถูกสังหารเล่าลือออกไปอย่างบ้าคลั่ง
เผ่ายิงจันทร์เริ่มประกอบพิธีเซ่นไหว้ผู้ตาย
ส่วนหลี่มู่ที่โจมตีกองกำลังวิหารเทพแมงมุมจนพ่ายยับเยินก็กลายเป็นวีรบุรุษของเผ่ายิงจันทร์ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่เผ่าหมานแห่งที่ราบทุ่งหญ้าก็ตาม
“คนที่ราบทุ่งหญ้าแบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน นับจากวันนี้คุณชายคือแขกผู้สูงศักดิ์ที่สุดของเผ่ายิงจันทร์แล้ว” เทพธิดาสงครามเอ่ย
หลี่มู่หยุดเดินทางชั่วคราว ลงมือวางค่ายกลวิชาเต๋าเอาไว้รอบๆ ฐานที่มั่นเผ่ายิงจันทร์ เพื่อป้องกันวิหารแมงมุมมารอาจจะมาโจมตีอีกครั้ง…แน่นอน อัตราความเป็นไปได้นี้น้อยมาก เพราะจากการแตกดับของจ้าววิหารเทพแมงมุม การร่วมมือของกุนซือที่เขาใช้กำลังบังคับรวมขึ้นจะสลายตัวไปเมื่อใดก็เป็นแค่เรื่องของเวลา แต่ว่า การวางค่ายกลอย่างน้อยๆ ก็สามารถป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นได้ ตอนนี้เผ่ายิงจันทร์อ่อนแอนัก
คืนนั้น หลี่มู่ต้องขอตัวจากไปก่อน
“ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย ข้ารู้ที่ตั้งของวิหารเทพหมาป่า” เทพธิดาสงครามขันอาสา
นางเป็นหนึ่งในธิดาเทพแห่งวิหารเทพหมาป่า มีการตอบสนองกับวิหารเทพหมาป่าอย่างหนึ่ง วิหารเทพหมาป่าซึ่งลอยล่องไม่อยู่กับที่ไปในที่ราบทุ่งหญ้า มีเพียงเหล่าธิดาเทพและบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านพิธีแสงเทพชำระล้างของวิหารเทพหมาป่ามา จึงจะสามารถสัมผัสตำแหน่งที่วิหารเทพหมาป่าตั้งอยู่ในอาณาบริเวณและระยะห่างที่แน่นอนได้
หลี่มู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก”
……
“ยังตามมาอีกหรือ?”
ซ่างกวนอวี่ถิงมองสุนัขประหลาดตาสองสีที่ตามมาข้างหลังอย่างแปลกใจ
เทพแห่งสุนัขที่ควบคุมฝูงหมาป่าขาวตัวนี้ หลังจากพบเจอนางก็ทิ้งบริวารของตัวเองอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตัวเองมาตามติดอยู่กับนาง จะสลัดก็สลัดไม่หลุด
สุนัขประหลาดตัวนี้เหมือนจะมีพลังทะลุเวลาและมิติได้
ก่อนหน้านี้อยู่ทางหนึ่ง เสี้ยวขณะต่อมาอยู่อีกทางหนึ่ง เมินเฉยต่อพลังสกัดกั้นทุกสิ่ง แม้แต่เจียงชิวไป๋เทวะผู้นี้ยังทำอะไรมันไม่ได้
เจียงชิวไป๋มองสุนัขพิลึกตัวนี้อย่างกลัดกลุ้มยิ่ง
บนที่ราบทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แห่งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอสัตว์ที่ไม่อาจควบคุมได้
เขาปวดหัวมาก
สุนัขตัวนี้คือตัวอะไรกันแน่?
ประเด็นสำคัญคือ สุนัขตัวนี้ฉี่ใส่เท้าของเขามาหกครั้งแล้ว ป้องกันอย่างไรก็ไม่ได้
นี่มันเรื่องอะไรกัน ตนเป็นถึงเทวะ หนึ่งในเก้ายอดคนใต้หล้า แต่กลับถูกสุนัขตัวหนึ่ง…
น่าอับอายเหลือเกิน
“พวกเราจะไปไหนกัน?” ซ่างกวนอวี่ถิงถาม
เจียงชิวไป๋มองหิมะเกล็ดโตที่โปรยปรายมาแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน ตอบไปว่า “กลับวิหารเทพหมาป่า”
แต่เดิมเขาไม่คิดจะกลับไปเร็วเช่นนี้
ทุกปีหลังจากเข้าสู่ฤดูหนาว เขาจะออกสำรวจไปในที่ราบทุ่งหญ้า ปลอมตัวเป็นทูตจากวิหารเทพหมาป่า ช่วยเหล่าคนเลี้ยงสัตว์เผ่าต่างๆ แก้ไขปัญหาน้อยใหญ่มากมาย
นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติ นับว่าเป็นการเผยแผ่ความเชื่อของวิหารเทพหมาป่าได้กระมัง
ถึงอย่างไร การดูแลวิหารเทพตัวคนเดียวก็เหนื่อยมาก
ทว่า ลมหนาวของฤดูหนาวปีนี้รุนแรงเกินไป ค่อนข้างประหลาด
เพิ่งจะเข้าฤดูหนาวแท้ๆ แต่ที่ราบทุ่งหญ้ากลับกลายเป็นดินแดนหิมะไปแล้ว และหิมะนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดอีกด้วย การเปลี่ยนแปลงของพลังฟ้าดินเห็นได้ชัดว่าแปลกประหลาด ต่างไปจากปีก่อนๆ จะต้องเกิดปัญหาที่ไหนแน่ หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เช่นนั้นก็เกรงว่าที่ราบทุ่งหญ้าคงไม่มีวันที่เหมันต์พ้นผ่านวสันต์มาเยือนแน่นอน
เจียงชิวไป๋จะต้องกลับไปวิหารเทพหมาป่า ตรวจสอบเรื่องบางอย่างให้แน่ชัด
ส่วนคนชั่วช้าจากวิหารเทพแมงมุมผู้นั้น แผลงฤทธิ์ได้เต็มที่ก็จริง แต่ว่าน่าจะไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลงพลังในฟ้าดินของทั้งที่ราบทุ่งหญ้าได้
จะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
เจียงชิวไป๋เอามือไพล่หลังเดินไปในหิมะ
รอบกายเขาลมหิมะไม่มากล้ำกราย ทุกที่ที่เหยียบไป หิมะและน้ำแข็งต่างละลาย ดอกไม้ใบหญ้าผลิบาน สนามพลังน่าอัศจรรย์ปกคลุมซ่างกวนอวี่ถิงเอาไว้ข้างใน ก้าวไปก้าวหนึ่งก็เป็นระยะถึงหลายสิบลี้ ซ่างกวนอวี่ถิงกระทั่งไม่ต้องก้าวขาก็สามารถก้าวข้ามระยะไปได้ไกล
ส่วนสุนัขประหลาดตาสองสีตัวนั้นก็เริงร่าไปในหิมะ ประเดี๋ยวอยู่ทางหนึ่ง ประเดี๋ยวอยู่อีกทางหนึ่ง เดี๋ยวประเมินเจียงชิวไป๋ ประเดี๋ยวพุ่งมากระดิกหางอยู่ข้างๆ ซ่างกวนอวี่ถิง ไม่ว่าเจียงชิวไป๋จะเดินเร็วแค่ไหนก็สลัดมันไม่หลุด
เดินไปท่ามกลางลมและหิมะเช่นนี้หนึ่งวันหนึ่งคืน
ตลอดทางล้วนพบคนเลี้ยงสัตว์ที่ลำบากยากแค้น เผ่าที่ถูกหิมะปกคลุม เจียงชิวไป๋ก็ลงมือช่วยเหลือตลอด
เจียงชิวไป๋ที่ท่องไปในเผ่าคนเลี้ยงสัตว์ต่างๆ เป็นกันเองประหนึ่งท่านอาข้างบ้าน เขากระทั่งลงมือช่วยทำคลอดแม่แกะ รักษาโรคให้หญิงชรา เซ่นไหว้แก่ผู้ล่วงลับ…
นี่เป็นเจียงชิวไป๋ที่โลกภายนอกไม่เคยได้เห็น เก้ายอดคนด้านยุทธ์ที่คนภายนอกไม่อาจเข้าใจได้ เทียบกับเทวะผู้สูงส่งที่ยอดยุทธ์นับไม่ถ้วนต่างแหงนหน้ามองในตำนานแล้ว เจียงชิวไป๋ไม่ใช่คนเย็นชาไร้จิตใจอย่างแน่นอน
ซ่างกวนอวี่ถิงถึงขั้นมองเห็นเงาของหลี่มู่ในตัวของเจียงชิวไป๋
นางค่อยๆ รู้สึกว่า ในร่างของชายรูปงามผมทองผู้นี้ ที่จริงแล้วมีบุคลิกอย่างหนึ่งที่คล้ายกับพี่มู่ยิ่งนัก
พายุหิมะยังไม่หยุดตามที่คาดไว้
วันที่สาม ในทุ่งหิมะกว้างสุดลูกหูลูกตา เจียงชิวไป๋หยุดฝีเท้าลง
“ถึงแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
ซ่างกวนอวี่ถิงมองประเมินรอบๆ อย่างสงสัยใคร่รู้
ในพายุหิมะ นอกจากหิมะแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก
นี่คือวิหารเทพหมาป่า?
เห็นแต่เจียงชิวไป๋ชี้นิ้วออกไป กลางอากาศด้านหน้าก็เกิดคลื่นคล้ายลายน้ำแผ่ระลอกมาเป็นชั้นๆ กลางอากาศเปิดแยกออกราวภาพวาด จากนั้นมีพลังไร้รูปร่างบางอย่างลบหิมะไปจากภาพวาดนี้ ก่อนที่หมาป่ายักษ์อสูรบรรพกาลสูงหลายร้อยจั้งจะปรากฏออกมาจากข้างหลังระลอกคลื่น
ซ่างกวนอวี่ถิงตกใจจนเกือบหวีดร้องออกมา
ความรู้สึกในพริบตานั้นเสมือนว่าหมาป่ายักษ์อสูรตัวนี้คำรามพลางโผนทะยานออกมา จะทำลายโลกใบนี้ให้ย่อยยับ
ความรู้สึกแบบนี้น่ากลัวเหลือประมาณ
แต่จะอย่างไรนางก็มีพลังฝึกขั้นฟ้าประทาน พลังจิตวิญญาณมั่นคง ยามสะกดจิตใจให้มั่นคงแล้วมองไปอีกครั้ง ก็แยกแยะออกว่านี่ไม่ใช่หมาป่าอสูรบรรพกาลที่มีชีวิต แต่เป็นสิ่งก่อสร้างมหึมาที่เหมือนหมาป่ายักษ์ กินพื้นที่รอบๆ หลายร้อยลี้ ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นจากวัสดุอะไร เหมือนมีชีวิตจริงยิ่งนัก แม้แต่ขนสีดำแต่ละเส้นๆ ก็ยังละเอียดชัดเจน ค่ายกลประหลาดปิดกั้นไว้ คนนอกจึงมองไม่เห็น จำต้องเปิดค่ายกลถึงจะปรากฏออกมา
นี่ก็คือวิหารเทพหมาป่าเองหรือ?
“ไปเถอะ”
เจียงชิวไป๋ก้าวออกไป พลังกฎเกณฑ์แปลกพิลึกเคลื่อนไหว นำซ่างกวนอวี่ถิงมายังข้างหน้าหัวหมาป่าสูงหลายร้อยจั้ง ก่อนจะก้าวเข้าไปในปากหมาป่า
นี่ก็คือทางเข้าของวิหารเทพหมาป่า
เสี้ยวขณะต่อมา ค่ายกลทำงานอีกครั้ง วิหารเทพหมาป่าขนาดมหึมาหายไปจากทุ่งหิมะ
“คราวนี้นับว่าสลัดสุนัขตัวนั้นหลุดได้สักที”
เจียงชิวไป๋ยิ้มบางๆ ค่ายกลสกัดกั้นของวิหารเทพหมาป่าเป็นถึงวัตถุโบราณ ลึกลับเกินหยั่ง เมื่อครู่เขาจงใจฉวยโอกาสที่สุนัขประหลาดตาสองสีตัวนั้นเห่าโหวกเหวกอยู่ไกลๆ เปิดค่ายกลขึ้น เมื่อพาซ่างกวนอวี่ถิงเข้ามาแล้วก็ปิดค่ายกลทันที
ทว่า ซ่างกวนอวี่ถิงใช้สายตาประหลาดมองยังเขา
เจียงชิวไป๋นิ่งอึ้ง ก่อนก้มหน้าลง
“แฮ่กๆ…” ตาสองสีกลมโตใสแจ๋วของสุนัขประหลาดเบิกกว้าง เอียงคอพลางแลบลิ้น นั่งอยู่ข้างขาของเขาด้วยใบหน้าชวนขบขัน มันมองเขาอย่างสงสัย ท่าทางแบบนั้นเหมือนกำลังพูดว่า ‘เจ้าหาข้าอยู่หรือ’ อย่างไรอย่างนั้น
เจียงชิวไป๋ “@#¥%”
…………………………………