จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 345 ถ้ำสามดาวเดือนเสี้ยว
เพราะหากพูดตามจริง เก้าสำนักเทพก็เป็นเพียงคางคกที่ตัวใหญ่หน่อยในบ่อน้ำอย่างดวงดาววิถียุทธ์ชั้นล่างดวงนี้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่สืบทอดมาแต่โบราณจากดาราสมุทรที่แท้จริงแล้วยังห่างชั้นอยู่มากโข ดังนั้นต่อให้เป็นเคล็ดลับของเก้าสำนักเทพ ก็ไม่แน่ว่าจะสูงส่งถึงขนาดนั้นได้ และในวิชาที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้ กลับไม่มีวิธีการฝึกฝนอวัยวะภายในเลย ก็ไม่รู้ว่าตาเฒ่าจงใจไม่ถ่ายทอดให้ หรือว่าเขาไม่มีวิชาด้านนี้จริงๆ
สรุปได้ว่า สถานการณ์ตอนนี้ทำให้หลี่มู่ลังเลมาก
ไม่กี่วันต่อมา ถึงแม้จะรู้สึกได้ถึงสภาวะของปราณแท้ในร่างกาย เปรียบดั่งอุจจาระที่อัดแน่นอยู่ตรงปากรูทวาร สามารถระเบิดออกได้ทุกเมื่อ แต่เขาก็ยังฝืนสะกดมันไว้ ไม่เข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์ ขณะที่ไตร่ตรองอยู่ก็พยายามยับยั้งปราณแท้ฟ้าประทานต่อไป
ครั้งนี้ หลี่มู่ลอยไปลอยมาไม่มีจุดหมายจนมาถึงพื้นที่ระหว่างภูเขาสูงแห่งหนึ่ง
ในพื้นที่รัศมีหลายร้อยลี้ ยอดเขาสูงกว่าหลายพันจั้ง ไอหมอกล้อมรอบ ภูเขาสูงใหญ่อันตราย เขาหินประหลาดเหมือนถูกดาบผ่าขวานฟัน ทำให้หลี่มู่นึกถึงยอดเขาสูงชันของภูเขาหวาในประเทศจีนบนโลกมนุษย์ แน่นอนว่าเขาทิวผืนนี้สูงชันอันตรายกว่าภูเขาหวามากมายนัก ผาหินหมื่นจั้งราวผิวกระจก หินประหลาดเหมือนดาบหอกชี้แผ่นฟ้า
หลี่มู่ยืนอยู่บนยอดเขาประหลาด เด็ดผลไม้ป่าบางส่วนออกมา กินไปด้วยตรวจสอบพลังปราณฮวงจุ้ยของเทือกเขาบริเวณนี้ตามความเคยชินไปด้วย
ทันใดนั้น เสียงวานรประหลาดดังขึ้นจากที่ไกลๆ
หลี่มู่หันมองทางทิศของเสียง ก็พบวานรภูเขาหลายร้อยตัวกระโจนทะยานบนหน้าผาสูงชันที่อยู่ห่างออกไป
ขนาดของวานรภูเขาพวกนี้ใหญ่โตมาก ตัวเล็กที่สุดยังสูงกว่าหกฉื่อ กล้ามเนื้อแข็งแรง แต่กลับอ่อนช้อยไม่รับกับรูปร่างโดยสิ้นเชิง แต่ละตัวตัวเบาดุจนกนางแอ่น รวดเร็วราวสายฟ้า คล่องแคล่วปราดเปรียว ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งสายยุทธ์ขั้นยอดปรมาจารย์มากมายก็ยังไม่อาจข้ามร่องน้ำนี้ แต่วานรภูเขาเหล่านี้กลับข้ามไปได้สบายๆ บนชะง่อนผาผิวกระจกสูงกว่าหมื่นจั้ง พวกมันก็เดินกันราวกับพื้นราบ
“วานรในฟ้านิจนิรันดร์ยอดเยี่ยมขนาดนี้กันหมดเลยหรือ…เอ๋ นั่นมัน? แม่เจ้า!”
หลี่มู่ยิ้มติดตลก จู่ๆ สายตาก็เพ่งมอง จากนั้นจึงกระโดดพรวดขึ้น
เขาเห็นว่าวานรภูเขาตัวที่เหมือนเป็นหัวหน้าสวมชุดคลุมตัวเล็กอยู่…นั่นไม่ใช่เสื้อผ้าของตนหรอกหรือ?
มารดามันเถอะ ที่แท้หัวขโมยเสื้อผ้าก็คือวานรภูเขานี่เอง
หลี่มู่ไม่สนใจกินผลไม้แล้ว กระโดดลงมาจากยอดหิน กระตุ้นดาบบิน แล้วทะยานไปด้วยดาบเหินหาว “เจ้าหัวขโมยไร้ยางอาย อย่าหนีนะ”
ราชาปีศาจหลี่สาบานไว้ว่าจะชิงเสื้อผ้าคืน
แค้นนี้ไม่ชำระก็ไม่ใช่ชายชาตรี
เวลาเดียวกัน วานรภูเขาฝูงนี้ก็สังเกตเห็นหลี่มู่แล้ว
โดยเฉพาะวานรจ่าฝูงขนสีทองทั้งตัว เมื่อได้ยินเสียงตะโกนก็หันขวับมาทางหลี่มู่ ไม่เพียงแต่ไม่มีสีหน้าหวาดกลัว ยังร้องอูๆๆๆ เสียงประหลาด ท่าทีตื่นเต้นดีใจยิ่ง มันแลบลิ้นปลิ้นตาใส่หลี่มู่ ทำท่าทางคล้ายยั่วยุ จากนั้นวิ่งหนีไปราวสายฟ้า ประหนึ่งงอกปีกขึ้นกลางหลัง รวดเร็วว่องไวถึงขีดสุด
ส่วนฝูงวานรด้านหลังมันก็ค่อนข้างมีไหวพริบ พากันร้องเสียงประหลาด ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนผาชันพื้นเรียบดุจกระจก ราวกับมนุษย์วิหคที่มีปีกงอกออกมา คอยคุ้มครองกันและกัน ความเร็วสูงยิ่ง ต่อให้เป็นนกที่มีปีกบินก็ไม่แน่ว่าจะตามพวกมันทัน
“ฮิๆ ต่อหน้าวิชาดาบเหินหาวของข้า ยังคิดจะหนีอีกหรือ?”
หลี่มู่ขำขึ้นมา
เจ้าพวกวานรโง่เขลาเอ๋ย
จะให้พวกเจ้าได้รู้ไว้ ว่าอะไรคือความเร็ว
เขาไล่ตามไป
ขณะที่ไล่ตามอยู่นี้ หลี่มู่ไม่ได้พุ่งตามจนนำหน้าทันที แต่พยายามรักษาระยะห่างไว้ และคอยสังเกตฝูงวานรภูเขาพวกนี้
นี่คือสิ่งมีชีวิตฝูงหนึ่งที่เป็นราชาในหุบเขา เหมาะกับการปีนป่ายมาแต่กำเนิด แขนขาพละกำลังมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น จากเสียงร้องอูๆๆ ประหลาดของพวกมัน ยังแยกแยะออกได้คร่าวๆ ว่าเจ้าพวกนี้มีสติปัญญา เพราะขณะพวกมันกระโดดไปมายังคอยหยุดอยู่บนก้อนหินแล้วหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่หลี่มู่ ไม่ก็ยกก้นแดงๆ ขึ้นมาตบ เยาะเย้ยถากถางกันอย่างชัดเจน
นี่ทำให้หลี่มู่ทนไม่ไหวแล้ว
แสงดาบสว่างวาบ
หลี่มู่เพิ่มความเร็วทันควัน พุ่งดิ่งลงไปยังฝูงวานรภูเขาประดุจลำแสง
ฉับพลันนั้นก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น
วานรภูเขาที่กระโดดโลดเต้นด้านหน้าหายไปดั่งหมอกควันอย่างไม่มีสัญญาณใดๆ เส้นทางที่หลี่มู่พุ่งดิ่งลงไป ก็พลันปรากฏยอดเขาหินโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นกัน เสียงตูมดังสนั่น หลี่มู่ไม่ทันได้ร้อนใจก็กระแทกเข้าไปอย่างจัง
เศษหินปลิวว่อน
หลี่มู่กระแทกเข้ากับยอดเขา มึนศีรษะหน้าตามอมแมมไปหมด
จากนั้นเมื่อเขาควบคุมดาบบินด้วยอาการโซเซจนตั้งหลักได้ ก็พบว่าบนยอดหินห่างไปราวหนึ่งลี้ด้านหน้า วานรภูเขาฝูงนั้นกำลังหัวเราะร่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น และเย้ยหยันมาทางหลี่มู่ไม่หยุด โดยเฉพาะจ่าฝูงขนทองตัวนั้น สีหน้าอารมณ์มากมายเป็นพิเศษ อากัปกิริยาลิงโลดนัก ซ้ำยังชูนิ้วกลางมาทางหลี่มู่…
เจ้าวานรภูเขานี่เป็นภูตปีศาจไปแล้ว
หลี่มู่สะกดอารมณ์โกรธไว้ไม่อยู่จริงๆ
เขาคิดในใจ ดาบบินสี่เล่มสว่างวาบก่อนปรากฏขึ้น จากนั้นพลันมีระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ บนความว่างเปล่า ดาบบินพุ่งตรงไปฟันยอดหินด้านนั้นดุจลำแสง
แน่นอนว่าไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าฟันจริง แค่ทำให้ตกใจเท่านั้น
หลี่มู่คิดว่าวานรภูเขาฝูงนี้น่าสนใจอยู่
ฟิ้วๆๆ!
ยอดหินถูกฟันจนขาด เศษหินกระจัดกระจาย
ร่างของวานรภูเขาฝูงนั้นจมหายไปท่ามกลางเศษหินฝุ่นผง
หลี่มู่ส่งพลังจิตวิญญาณกวาดออกไป เมื่อเห็นก็รู้สึกเกินคาดนัก เพราะไม่มีแม้แต่ตัวเดียวที่ร่วงหล่นลงมาจากภูเขา คล้ายกับพริบตาที่ดาบบินไปถึง พวกมันก็หายไปจากบนยอดหินนั้นแล้ว
พริบตาที่ฝุ่นผงร่วงลงจนหมด เมื่อมองอีกครั้ง วานรภูเขาหลายร้อยตัวกลับไปอยู่บนยอดเขาหินอีกลูกที่ห่างออกไปราวสามสิบจั้งแล้ว ไม่น้อยลงเลยแม้แต่ตัวเดียว
“เป็นไปได้อย่างไร? ความเร็วขนาดนี้?”
หลี่มู่ตกตะลึง
วิชาดาบเหินหาวของเขาเดิมทีก็เชี่ยวชาญด้านความเร็ว ดาบบินดั่งลำแสง เมื่อครู่ถึงแม้ใช้พลังเพียงสามส่วน วานรฝูงนี้ก็ไม่ควรจะตั้งตัวทัน จำนวนตั้งหลายร้อยกลับสามารถย้ายหายไปได้กว่าสามสิบจั้งก่อนที่ดาบบินของเขาจะฟันลงไปที่ยอดเขาหิน…นี่เป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ถึงจะทำได้ไม่ใช่หรือ?
หลี่มู่เลิกตามต่อแล้ว
เขาใช้งานเนตรสวรรค์ ใจกลางระหว่างคิ้วมีดวงตาแนวตั้งเปิดออก ส่งลำแสงไร้รูปร่างออกมา
พอมองไป เขาก็ตกตะลึงอีกครั้ง
เพราะบนยอดเขาหินที่ห่างไปสามสิบจั้ง มีวานรภูเขาเป็นร้อยตัวเสียที่ไหน?
มีเพียงวานรภูเขาตัวเดียวกำลังนั่งหัวเราะเย้ยหยันอยู่บนยอดเขาหิน เงาของวานรภูเขาตัวอื่นล้วนเป็นภาพมายา ไม่มีตัวตนอยู่จริง
“นี่มัน…วิชาภาพลวงตา?”
หลี่มู่รู้สึกคาดเดาไม่ออกบ้างแล้วจริงๆ
ตอนที่ใช้ตาเปล่ามอง วานรภูเขาพวกนั้นมีอยู่จริงนัก กระทั่งกลิ่นอายชีวิตก็ยังสมบูรณ์ไม่มีขาด เป็นร่างมีเลือดเนื้อจริงๆ ต่อให้วิชาภาพลวงตาจะจริงแท้แค่ไหน ก็ไม่มีทางทำได้ขนาดนี้ หลี่มู่เชื่อว่า ต่อให้เป็นขั้นเหนือมนุษย์หรือเทวะ ก็ไม่มีแน่ว่าจับพิรุธของมันได้ หากไม่ใช่เพราะเขามีเนตรสวรรค์ เกรงว่าจะถูกหลอกอยู่อย่างนี้ไปตลอด
วานรภูเขาตัวนั้นก็คือจ่าฝูงร่างยักษ์ขนสีทองก่อนหน้านี้ รูปร่างสูงถึงเก้ากว่าฉื่อ กล้ามเนื้ออัดแน่นทั่วทั้งร่าง ขนสีทองอร่ามดกหนา มองเผินๆ เหมือนร่างไปชุบทองคำมา มันสวมชุดของหลี่มู่อยู่ซึ่งส่วนใหญ่ปริขาดหมดแล้ว นั่งอยู่บนยอดเขาหิน หัวเราะอูๆๆ ไม่ต่างจากนักแสดงที่กำลังแสดงอย่างตั้งอกตั้งใจ กระทั่งโบกไม้โบกมือกับความว่างเปล่ารอบๆ ตัว…ด้วยคิดว่าหลี่มู่ยังมองไม่ออก
ให้ตายเถอะ ฝีมือการแสดงยอดเยี่ยมนัก
หลี่มู่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เมื่อมองด้วยเนตรสวรรค์โดยละเอียดอีกครั้ง พบว่ามีขนวานรสีทองกว่าร้อยเส้นลอยอยู่รอบวานรภูเขาขนทองตัวนี้
หากปิดเนตรสวรรค์ วานรภูเขาที่มีชีวิตเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมา ตำแหน่งกระจัดกระจายของพวกมันก็เป็นตำแหน่งเดียวกับขนสีทอง
หรือก็คือ…วานรภูเขาที่ดูเหมือนมีสติปัญญามีเลือดเนื้อของตนเอง แท้จริงคือร่างแปลงของขนวานรทอง?
มิน่ายามที่ไล่ตามก่อนหน้า พวกมันถึงพลันอันตรธานหายไปหมด
พวกมันไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรก
หลี่มู่ยิ่งตะลึงเข้าไปอีก
นี่คงไม่ใช่ซุนหงอคงในตำนานหรอกกระมัง แค่เป่าขนวานรก็แปลงร่างเป็นวานรนับหมื่นพันออกมาได้?
ไม่คิดเลยว่าหลังจากตนเองเข้ามาในฟ้านิจนิรันดร์ โชคโอกาสยังไม่ทันจะได้เจอ กลับมาพบกับยอดนักแสดงเช่นนี้?
เขาส่ายศีรษะ วิชาดาบเหินหาวสำแดงอีกครั้ง ดาบบินสิบสองเล่มพุ่งออกไป ครั้งนี้ไม่มีออมมือ แหวกความว่างเปล่าออกจนเป็นระลอกคลื่น ดาบบินที่เร็วเหนือเสียงฟาดฟันไปถึงเป้าในพริบตา
เห็นแต่วานรภูเขาหลายร้อยตัวบนยอดเขาหินหายไปไร้ร่องรอยในพริบตา ขนสีทองแต่ละเส้นทั้งหมดถูกตัดแยกเป็นสอง ร่วงลงบนพื้น
วานรภูเขาขนทองที่กำลังแสดงไม่ทันได้ตั้งตัว ร้องเสียงประหลาดอูๆๆ หลายครั้ง เมื่อเห็นร่างแปลงของตนเองหายไปหมด ถึงได้รู้สึกตัวมึนงงส่งสายตาไปรอบๆ จากนั้นจึงจ้องไปที่หลี่มู่ด้วยสีหน้างงงวย ปากอ้าค้างเหมือนไม่อาจยอมรับภาพที่ปรากฏตรงหน้าได้
และต่อมา วานรภูเขาขนทองร้องเสียงแหลม หันหลังกลับจะหลบหนี
ความเร็วของมันสูงมาก กระโดดไปมาระหว่างยอดเขา เสมือนสายฟ้าสีทองเส้นหนึ่งพุ่งออกไป
แต่จะเทียบกับวิชาดาบเหินหาวของหลี่มู่ได้อย่างไร?
เพียงแสงดาบสว่างวาบ หลี่มู่ก็ตามถึงตัวมัน
“อ๊าก…” มันร้องเสียงแหลม ก่อนยื่นมือตบลงบนหินหนึ่งที หินยักษ์ก้อนหนึ่งพุ่งจากยอดเขามาขวางด้านหน้าหลี่มู่ไว้
ทว่ามีประสบการณ์ก่อนหน้านี้มา หลี่มู่เตรียมตัวเอาไว้แล้ว แสงดาบสว่างวาบ หินยักษ์ก้อนนี้ก็ถูกตัดขาดอย่างไร้สุ้มเสียงเหมือนเต้าหู้
วานรภูเขาขนทองร้องเสียงแหลม ดึงขนทองกระจุกหนึ่งออกมาเป่า ฉับพลันนั้นปรากฏร่างของวานรภูเขาหลายร้อยตัว ทุกตัวรูปร่างเหมือนมันหมด กระทั่งท่าทางลุกลี้ลุกลนยังเหมือนกัน พวกมันร้องเสียงแหลมพลางหนีกระจัดกระจายไปสี่ด้านแปดทิศ…
ทว่าข้างกายหลี่มู่ แสงดาบสว่างวาบ เส้นขนทั้งหมดถูกตัดออกเป็นสองท่อน ร่างวานรที่แปลงออกมาหายไปหมดสิ้น
หลี่มู่หัวเราะคิกคักแลบลิ้นปลิ้นตาใส่วานรภูเขาขนทอง
เจ้าวานรตัวนั้นรู้ได้ทันที ตนเองมาเจอของแข็งเข้าเสียแล้ว จึงไม่คิดที่จะใช้วิชาแปลงร่างอีก ร้องเสียงแหลมแล้วพุ่งตัวหนีไปอย่างรวดเร็ว
หลี่มู่ยังมีอารมณ์เล่นกับเจ้าวานรภูเขาตัวนี้อยู่ จึงไล่ตามมันไปพร้อมกับหัวเราะร่า
สุดท้าย วานรภูเขาที่หายใจหอบทะยานมาจนถึงยอดเขายักษ์สูงตระหง่านทะลุเมฆลูกหนึ่ง ก่อนพุ่งดิ่งลงไป
หลี่มู่ตามต่อ มองเห็นร่างเงาของวานรทองหายเข้าไปในถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง
เขาลงมาที่หน้าปากถ้ำก็เห็นศิลาแผ่นหนึ่ง สีขาวบริสุทธิ์ สูงราวสามจั้ง กว้างแปดฉื่อ ด้านบนเขียนตัวอักษรจ้วนโบราณบนโลกมนุษย์ไว้…
เขาหลิงไถฟางชุ่น ถ้ำสามดาวเดือนเสี้ยว
อะไรกันเนี่ย?
หลี่มู่อึ้งตะลึงไปทันที
ตัวหนังสือจ้วนโบราณบนโลกมนุษย์ยังพอทำเนา แต่ปัญหาคืออักษรทั้งหมดนั้นมีที่มายิ่งใหญ่นัก
ในตำนานนิยายไซอิ๋ว พญาวานรซุนหงอคงข้ามน้ำข้ามทะเล ไล่ตามหาเซียนเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์อย่างยากลำบาก อยากจะร่ำเรียนวิชาไม่แก่ไม่เฒ่า ท้ายสุดมาเป็นศิษย์พระอาจารย์โพธิ (พระสุภูติ) เรียนรู้วิชาแปลงร่างเจ็ดสิบสองแบบกับวิชาขี่เมฆาเหินฟ้า และถ้ำที่เซียนลึกลับไร้เทียมทานคนนี้อาศัยอยู่ตามนิยายไซอิ๋ว ก็คือถ้ำสามดาวเดือนเสี้ยวนี้เอง
……………………………