จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 353 ท่านพ่อ อุ้มหน่อย
ในตอนแรกสุด หลี่มู่คิดว่าตนเองตาฝาดไป
เป็นไปไม่ได้น่า
เจ้านายพลถึงแม้จะค่อนข้างมีไหวพริบ แต่มันก็ทึ่มๆ เป็นแค่สุนัขโง่ตัวหนึ่ง ตอนอยู่ที่หมู่บ้านวัดหรานเติงเคยพาฝูงสุนัขไปอาละวาดในหมู่บ้านจนเละเทะ นับเป็นอันธพาลตัวร้ายในหมู่สุนัข แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นแค่สุนัขธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น จะมาปรากฏตัวบนดาวดวงนี้ได้อย่างไร?
สุนัขตัวหนึ่งก็สามารถข้ามดวงดาวมาได้หรือ?
หรือว่า ซินแสเฒ่าก็ส่งเจ้านายพลตามมาดาววิถียุทธ์นี้ด้วย?
เป็นไปไม่ได้กระมัง?
จำได้ว่าตอนที่ซินแสเฒ่าเปิดประตูส่งตนเองมา ก็อยู่ในสภาพกำลังวังชาร่อแร่เต็มทีแล้ว จะส่งไซบีเรียนฮัสกี้ตัวนี้มาได้อย่างไร
พริบตานี้ ในใจของหลี่มู่มึนงงอยู่บ้าง
“เจ้าคือ…” เขามองไซบีเรียนฮัสกี้ตาสองสีพลางถามขึ้นอย่างสงสัย
ตอนนี้เอง ไซบีเรียนฮัสกี้ก็มองเห็นหลี่มู่แล้วเช่นกัน รูม่านตาของมันหดลงฉับพลัน ราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น มันเห่าหลายครั้ง จากนั้นพูดขึ้นว่า “โฮ่งๆๆ เจ้าจำคนผิดแล้ว เอ่อ ไม่สิ จำสุนัขผิดตัวแล้ว ข้าไม่ใช่นายพล” พูดจบก็หันหลังหนี
หลี่มู่ขำออกมา
คิดปกปิดกลับยิ่งเปิดเผย
ถ้าเจ้าไม่ใช่นายพลแล้วจะเป็นใครกัน?
มาถึงต่างดวงดาวก็พูดได้เสียแล้ว
เขาดึงเจ้านายพลกลับมาแล้วขึ้นขี่บนหลังมัน เอ่ยขึ้นว่า “ว่ามา เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
“โฮ่ง ช่วยด้วย” เจ้าฮัสกี้ร้องเสียงหลง “มาช่วยคนหน่อย…ไม่สิ มาช่วยสุนัขตัวนี้หน่อย จะโดนฆ่าแล้ว”
ตอนนี้เอง ด้านข้างมีแสงส่องระยิบระยับ
ร่างทั้งสามของกัวอวี่ชิง ชิวอิ่น และซ่างกวนอวี่ถิงปรากฏขึ้น ออกมาจากฟ้านิจนิรันดร์แล้วด้วยเช่นกัน
“น้องสาม”
“ฮ่าๆ น้องมู่ เจ้าออกมาแล้ว”
“เจ้าคือหลี่มู่?”
เสียงทั้งสามแทบจะดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
หลี่มู่ยิ้มกว้างพลางพยักหน้าไปทางกัวอวี่ชิงและชิวอิ่น จากนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง
เขามองไปยังซ่างกวนอวี่ถิง ประโยคว่า ‘เจ้าคือหลี่มู่?’ เมื่อสักครู่มาจากปากของซ่างกวนอวี่ถิง แต่ว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก น้ำเสียงเย็นชาจนดูเหยียดหยันเล็กน้อย ซ่างกวนอวี่ถิงก่อนหน้านี้เป็นสาวน้อยเสียงอ่อนหวานร่างนุ่ม เมื่อไหร่กันที่ใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับตน
“มองอะไร? ระวังข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมา” น้ำเสียงของซ่างกวนอวี่ถิงเย็นชา พูดออกมาด้วยสีหน้ารังเกียจ “ข้าไม่ใช่นางเสียหน่อย”
หลี่มู่มึนงง
กัวอวี่ชิงเอ่ยไม่ออก
ชิวอิ่นนิ่งไป
หลี่มู่ที่อยู่บนหลังสุนัข ตอนนี้มึนงงเล็กน้อย
แต่ไม่นาน ความคิดของเขาก็วกกลับมา “เจ้าเป็นใคร? ถิงเอ๋อร์ไปไหนแล้ว?”
คงไม่ใช่ว่าถูกผีสาวพันปีสิงร่างในฟ้านิจนิรันดร์หรอกกระมัง?
“ข้าเป็นใคร เกี่ยวอะไรกับเจ้า” ‘ซ่างกวนอวี่ถิง’ เชิดคางแล้วเอ่ย “ข้าแค่ยืมร่างของถิงเอ๋อร์ชั่วคราวเท่านั้น จะว่าไป ชื่อถิงเอ๋อร์นี้เจ้าใช้เรียกนางหรือ? ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรจะรู้จักประเมินตนเองบ้าง อย่ามาหลอกถิงเอ๋อร์ของพวกข้า นางเป็นถึงเทพธิดาผู้สูงส่ง ไม่ใช่คนที่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างเจ้าจะมายุ่งเกี่ยวอะไรด้วยได้..เฮ้อ ได้ๆๆ เจ้าออกมาพูดกับเขาเองก็แล้วกัน”
ประโยคสุดท้าย ชัดเจนว่าไม่ได้พูดกับหลี่มู่
จากนั้นเห็นสีหน้าจำใจของ ‘ซ่างกวนอวี่ถิง’ บนร่างนางมีแสงเส้นหนึ่งสว่างวาบขึ้น
สีหน้าของนางจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนนุ่มนวล กลิ่นอายที่คุ้นเคยอย่างหนึ่งหวนกลับมา
“พี่มู่” ซ่างกวนอวี่ถิงมองหลี่มู่ ความรักใคร่ลึกซึ้งในแววตาแทบจะไหลปริ่มออกมาราวกับน้ำผึ้ง
นี่สิ…ถึงเหมือนจะเป็นปกติ
แต่คนเมื่อครู่นี้…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ถิงเอ๋อร์ เจ้า…” หลี่มู่ยังขี่หลังสุนัขอยู่
ซ่างกวนอวี่ถิงรีบร้อนพูด “เมื่อครู่คือพี่ม่อโฉว ไม่ใช่ข้า…ข้าอยู่ในฟ้านิจนิรันดร์ ติดอยู่ในซากปรักหักพังของวังวิจิตรแห่งหนึ่ง พบเจอกับอันตรายหลายครั้งหลายคราจนเกือบโดนราชาวิญญาณกลืนกิน พี่ม่อโฉวช่วยข้าเอาไว้…” นางอธิบายเรื่องราวให้ฟังหนึ่งรอบ
หลี่มู่ก็ฟังเข้าใจคร่าวๆ เช่นกัน
สาวน้อยคนนี้หลังจากเข้าไปในฟ้านิจนิรันดร์ก็ถูกส่งตัวไปกลางวิมานลึกลับแห่งหนึ่ง ผลลัพธ์กลายเป็นพบกับอันตรายหนักหน่วง ในนั้นมีวิญญาณโบราณเวียนว่ายอยู่ เนื่องจากนางมีร่างกายที่ไม่เหมือนใคร จึงถูกวิญญาณไล่สังหารอยากครอบครอง หลายครั้งเจอทางตัน แต่ก็รอดจากการถูกชิงร่างไปได้ ต่อมาถูกราชาวิญญาณร้ายรุมไล่ล่า จึงหนีลนลานอย่างไม่มีทางเลือกเข้าไปในหอหยกขาว สุดท้ายก็รอดมาได้ ด้านในหอหยกขาวมีวิญญาณเทพธิดาที่ถูกผนึกมาหมื่นปีอยู่นางหนึ่ง เรียกตนเองว่าไป๋ม่อโฉว พลังน่าเกรงขาม จากการยืมร่างของซ่างกวนอวี่ถิง นางจัดการเหล่าราชาวิญญาณจนหมดสิ้น จากนั้นพาซ่างกวนอวี่ถิงไปพบเจอโอกาสมากมาย ท้ายสุดจึงออกจากฟ้านิจนิรันดร์มาด้วยกัน
เพียงแต่เทพธิดาไป๋ม่อโฉวนางนี้ไม่มีกายเนื้อ จึงทำได้เพียง ‘อาศัย’ ร่างกายของซ่างกวนอวี่ถิงเท่านั้น
หลี่มู่ฟังจบแล้วลูบศีรษะตนเองอยู่บนหลังสุนัข ไม่รู้ว่าจะพ่นอะไรออกมาดี
“เอ่อ เจ้าแน่ใจนะว่านี่คือการ ‘อาศัย’ ไม่ใช่ว่าถูกชิงไปแล้ว?” หลี่มู่มองซ่างกวนอวี่ถิงอย่างพูดอะไรไม่ค่อยออก
สาวน้อยคนนี้ใจอ่อนมีเมตตาเกินไป ไม่รู้จักอันตรายในโลกมนุษย์ ถูกคนจับไปขายก็ยังช่วยเขานั่งนับเงิน ทำไมถึงไม่คิดว่าเซียนไป๋ม่อโฉวอะไรนี่จะเป็นคนไม่ดีบ้าง
แต่ว่า เมื่อหลี่มู่สัมผัสอย่างละเอียด พลังแท้จริงของซ่างกวนอวี่ถิงสูงขึ้นมากนัก นี่เป็นเรื่องจริง ตอนนี้มีกลิ่นอายของขั้นฟ้าประทานระดับสมบูรณ์ เทียบกับก่อนจะเข้าไปในฟ้านิจนิรันดร์แล้วเพิ่มขึ้นมามาก ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงผลสำเร็จที่เห็นได้ด้วยตา อย่างอื่นที่มองไม่เห็นด้วยตาเช่นวิชา ประสบการณ์การต่อสู้ หรือทรัพยากรในการฝึกฝน คาดว่าน่าจะเกินจริงยิ่งกว่านี้
หลี่มู่เองได้ไปแค่ลานแสดงธรรมรกร้างแห่งหนึ่งยังได้รับวิชาและสมบัติมาตั้งมากมาย แต่ที่ซ่างกวนอวี่ถิงไปมาเป็นถึงวิมานเซียน ฟังแค่คำนี้ก็ดูดีกว่าลานแสดงธรรมรกร้างมากแล้ว
“พี่ไป๋ดีกับข้ามาก ขอแค่นางฝึกฝนจนสมบูรณ์ก็จะสามารถสร้างกายเนื้อขึ้นมาได้ ไม่ต้องยืมร่างอีกแล้ว” ซ่างกวนอวี่ถิงเอ่ยอย่างจริงจังยิ่ง
หลี่มู่จับช่องโหว่ของตรรกะในนั้นได้อย่างฉับไว กล่าวขึ้นว่า “แล้วถ้าเทพธิดานางนี้ฝึกจนถึงระดับสมบูรณ์ไม่ได้ตลอดกาลเล่า? นางจะค่อยๆ กลืนกินวิญญาณเจ้าไป สุดท้ายร่างกายของเจ้าก็อาจกลายเป็นของนางไปแล้ว…”
“ฮึ เอาจิตใจคนต่ำมาประเมินวิญญูชนเสียอย่างนั้น” เสียงของซ่างกวนอวี่ถิงพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเย่อหยิ่ง เอ่ยต่อว่า “ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องใช้คำพูดเช่นนี้ยุแยงความสัมพันธ์ของถิงเอ๋อร์กับข้า ฝันไปเถอะ ถิงเอ๋อร์ไม่เชื่อเจ้าหรอก…นางเป็นหญิงสาวที่ฉลาดเฉลียวปานนี้ ผู้ชายแย่ๆ อย่างเจ้าอยู่ห่างๆ ไว้หน่อยเถอะ จะได้ไม่มาแปดเปื้อนความบริสุทธิ์ของถิงเอ๋อร์เรา”
ไป๋ม่อโฉวปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว
หลี่มู่หัวเราะด้วยความโมโหทันที
ตอนที่ข้ากับถิงเอ๋อร์รู้จักกัน เจ้ายังนอนแข็งในวิมานเซียนอยู่เลยเถอะ ตอนนี้กลายเป็นถิงเอ๋อร์ของพวกเจ้าไปแล้ว
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ หลี่มู่คงลงมือไปนานแล้ว
แต่ตอนนี้…นี่มันร่างกายของถิงเอ๋อร์นะ
หากเสียหายไปจะทำอย่างไร?
ในสมองของหลี่มู่มีวิชาขับไล่มารขับไล่ผีผุดขึ้นมามากมาย ในใจขบคิด จะต้องคิดหาวิธีกำจัดไป๋ม่อโฉวนางนี้ออกจากร่างของถิงเอ๋อร์ให้ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ช้าเร็วจะต้องมีสักวันที่เกิดผลลัพธ์สองอย่าง…ถ้าไม่ใช่ร่างของซ่างกวนอวี่ถิงถูกครอบครอง ก็เป็นจิตใจของนางถูกเสี้ยมสอนให้แย่ลง…ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีทั้งนั้น
“ออกจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
กัวอวี่ชิงเอ่ยขึ้น
หลี่มู่พยักหน้า
ชิวอิ่นก็รู้สึกร้อนใจเล็กน้อยเช่นกัน
ไม่คิดว่าจะถูกขังเอาไว้ในฟ้านิจนิรันดรนานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าโลกภายนอกตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ศึกระหว่างอาจารย์กับเจ้าอารามเต้าฉงหยางคงจะรู้แพ้รู้ชนะกันแล้ว ไม่รู้ว่าจริงแท้เป็นอย่างไร
“รู้สึกเหมือนบางอย่างไม่ชอบมาพากล…” หลี่มู่ลูบจมูกไปมา
“โฮ่ง ก็ต้องไม่ชอบกลอยู่แล้ว อามู่ เจ้าลงมาก่อนได้ไหม อย่าเอาแต่ขี่ข้า” เจ้านายพลฮัสกี้พูดอย่างหัวเสีย
หลี่มู่กระโดดลงจากหลังสุนัขโง่ตัวนี้ กล่าวว่า “ข้าคิดออกแล้ว เจียงชิวไป๋ล่ะ?”
กัวอวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ตอบว่า “แหล่งพลังชีวิตของศิษย์น้องเจียงเผาไหม้จนแทบจะหมดสิ้น ข้าทำได้เพียงแช่เขาไว้ในน้ำพุราตรีกระจ่าง รักษาพลังชีวิตเสี้ยวเดียวนั้นไว้ ระยะเวลาหกถึงเจ็ดเดือนยังไม่ทำให้เขาฟื้นฟูกลับมาได้ มีแต่ต้องทิ้งเขาไว้ที่นั่น รอวันที่ฟ้านิจนิรันดร์เปิดขึ้นอีกครั้งค่อยพาออกมา น้ำพุราตรีกระจ่างสามารถซ่อมแซมรักษาแหล่งกำเนิดพลังชีวิตของเขาได้ เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย”
เมื่อพูดถึงเจียงชิวไป๋ จิตใจของกัวอวี่ชิงหนักอึ้งอย่างไม่ต้องสงสัย
หลี่มู่พยักหน้า
ถึงแม้เจียงชิวไป๋จะลักพาตัวซ่างกวนอวี่ถิงมา ก่อเรื่องไว้มากมาย แต่…ดูจากสีหน้าของศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องนี้ช่างมันไปแล้วกัน ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เหมือนตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว
“ไปเถอะ” พวกของหลี่มู่เดินไปตามบันไดหยกขาวที่ลอยอยู่ ตรงไปยังทางเดินประตูของวิหารเทพหมาป่า
เดินไปไม่กี่ก้าว ไซบีเรียนฮัสกี้ก็หยุดฝีเท้าลงทันใด เอ่ยขึ้นว่า “โฮ่ง ข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรขาดไป”
พวกของหลี่มู่มองกันและกัน ไม่มีใครขาดไปนี่
แต่ว่าตอนนี้เอง ที่ประตูใหญ่ของวังสวรรค์เก้าชั้นฟ้าปรากฏแสงจางระยิบระยับขึ้นมาอีก
จากนั้นเด็กผู้หญิงอายุราวห้าหกขวบเดินเปลือยกายออกมา
เด็กหญิงคนนี้ผิวขาวราวหิมะ เนียนดั่งหยกมันแพะ เครื่องหน้างดงาม โดยเฉพาะดวงตาคู่โตที่แทบโตจนเกินจริงไปนิด เป็นประกายจนเหมือนตาน้ำพุลึก แค่มองก็ทำให้คนรู้สึกเกิดความสงสาร เด็กน้อยสูงไม่ถึงสี่ฉื่อ แต่ผมยาวดำขลับนั้นกลับยาวกว่าห้าฉื่อ ทิ้งตัวลงมาลากกับพื้นด้านหลัง มองแล้วทั้งน่ารักน่าเอ็นดู เท้าเปลือยเปล่าเนียนละเอียดงดงาม ราวกับภูตหิมะที่พลัดหลงอยู่บนโลกมนุษย์ก็มิปาน
หลี่มู่มองไปที่กัวอวี่ชิง
กัวอวี่ชิงมองชิวอิ่น
ชิวอิ่นมองต่อไปยังวานรภูเขาขนทองหยวนโห่ว
หยวนโห่วจึงหันศีรษะไปมองซ่างกวนอวี่ถิง
ซ่างกวนอวี่ถิงถลึงตากลับอย่างเย็นชา “มองข้าทำไม? ข้าไม่รู้จัก…เจ้าลิงน่าเกลียด เจ้าก็เป็นสิ่งมีชีวิตเพศผู้เช่นกัน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ถ้ายังมองอีกเดี๋ยวจะควักตาเจ้าทิ้งเสียเลย”
หยวนโห่วจึงหันกลับมามองหลี่มู่อย่างผู้บริสุทธิ์
หลี่มู่แบมือออก พูดอย่างโมโห “มองข้าทำไม? ข้าก็ไม่รู้จัก…”
เสียงยังไม่ทันขาด ก็เห็นเด็กน้อยคนนี้ร้องขึ้นด้วยความดีใจ จ้องตรงมาทางหลี่มู่ด้วยใบหน้ายินดีพร้อมอ้าสองแขนออก “ท่านพ่อ อุ้มหน่อย”
หลี่มู่อึ้งตะลึง
กัวอวี่ชิง ชิวอิ่น และหยวนโห่วจ้องมองมาทางหลี่มู่ สีหน้าตกตะลึงกันหมด
ซ่างกวนอวี่ถิง…ไม่ใช่ น่าจะเป็นไป๋ม่อโฉวที่หัวเราะเสียงเย็น สีหน้าประมาณว่าข้าคิดไว้แล้ว นางพูดอย่างดูถูก “เจ้าไม่ใช่ว่าโสดหรือ? นี่กลับมีกระทั่งลูกแล้วด้วย? กะแล้วว่าต้องเป็นผู้ชายไม่ได้เรื่อง เสียแรงที่น้องถิงเอ๋อร์ของข้าเอาแต่พร่ำหาเจ้า พูดเรื่องดีๆ แทนเจ้าตั้งมากมาย ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาหักหลังนาง ไปแอบมีลูกกับหญิงคนอื่น…เฮอะ เจ้าผู้ชายสารเลว”
หลี่มู่เสียสติแล้ว
นี่มันอะไรกับอะไรกันนี่
เขามองโลลิน้อยที่พุ่งตัวเข้ามาหาอย่างห่อเหี่ยวใจเกินบรรยาย เอามือกดหัวหยุดนางเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“ท่านพ่อ อุ้มๆ” เสียงของโลลิน้อยใสกังวาน เจื้อยแจ้วเจรจา ใบหน้ามีรอยยิ้มใสบริสุทธิ์ขณะจ้องมองมาที่หลี่มู่ ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมอย่างเป็นธรรมชาติที่ยากจะปลอมแปลงปะทะเข้ามา สองแขนนางอ้าออก เฝ้ารออ้อมกอดของหลี่มู่
สีหน้ากับอากัปกิริยาเช่นนี้ ช่างโมเอะเสียจริงๆ
หลี่มู่อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาในอ้อมอกอย่างงงงัน แต่ก็ยังกล่าวขึ้นด้วยสีหน้างุนงงว่า “เด็กน้อย เจ้าจำคนผิดแล้วหรือเปล่า เจ้าเป็นใครกันน่ะ”