จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 354 เสี่ยวอู่
“ท่านพ่อ ท่านพ่อมู่” เด็กน้อยเรียกเสียงกังวาน แล้วยังหอมแก้มหลี่มู่อีกฟอด แขนเล็กๆ กอดคอเขาไว้แน่น
“ยังทำไขสืออีก? ขนาดลูกตัวเองยังจำไม่ได้ เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่” ไป๋ม่อโฉวยิ้มหยัน สีหน้าดูถูก
เจ้าฮัสกี้ก็แหงนหน้ามองหลี่มู่ เอ่ยว่า “อามู่ เจ้าเพิ่งมาที่นี่ไม่กี่วันก็ไปมีลูกโตขนาดนี้ด้านในแล้ว”
หลี่มู่อยากจะกระโดดถีบเจ้านี่ให้ตายไปจริงๆ ไม่ได้ดูเวลาเลย เจ้ายังมาสุมไฟให้แรงขึ้นอีก
“เด็กน้อย เจ้าเป็นใครกันแน่ พวกเราเหมือนจะไม่เคยเจอกันมาก่อน” หลี่มู่ถามอย่างอดทนอดกลั้น
เด็กน้อยที่ขดอยู่ในอ้อมกอดเขาตอบกลับ “ท่านพ่อมู่ ข้าคือต๋าจี่เอง”
“อะไรนะ? ต๋าจี่? จิ้งจอกขาวน้อยนั่นหรือ?” หลี่มู่เข้าใจทันที จิ้งจอกน้อยเข้าไปในฟ้านิจนิรันดร์ เวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนก็ฝึกฝนไปได้ถึงขั้นแปลงกาย แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว? หลี่มู่ที่อุ้มเด็กน้อยอยู่มองดู มิน่าเล่า ใต้ผมยาวสีดำยังบดบังหางจิ้งจอกขนฟูด้านหลังก้นไว้ด้วย
“ท่านแม่ถิงถิงเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย” ต๋าจี่น้อยกอดคอหลี่มู่ มองทางซ่างกวนอวี่ถิงอย่างเหนียมอาย หวาดกลัวเล็กน้อย
หลี่มู่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นไม่ใช่ท่านแม่ถิงถิงของเจ้า แต่เป็น…หญิงชราสติไม่ดี”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ในดวงตาไป๋ม่อโฉวมีความหนาวเย็นแผ่กระจาย เกล็ดน้ำแข็งลอยขึ้นมา
หลี่มู่เอ่ยอย่างเย็นชาเช่นเดียวกัน “ถ้าไม่กลัวว่าร่างของถิงเอ๋อร์จะบาดเจ็บ ข้าจัดการเจ้าไปนานแล้ว”
ไป๋ม่อโฉวยิ้มเย็นชา “เจ้าก็ลองดู”
ตอนนี้เอง ประตูของวังสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีแสงสว่างวูบวาบ อีกร่างหนึ่งปรากฏ ในที่สุดเทพสงครามกัวชิงเยียนก็ออกมาแล้ว
หลี่มู่กับชิวอิ่นประสานสายตากันแวบหนึ่ง เกือบจะร้องออกมา
ก่อนหน้านี้ลืมเทพธิดาสงครามไปได้อย่างไร?
หลี่มู่มึนงงอยู่กับเจ้าฮัสกี้ ไป๋ม่อโฉว และต๋าจี่ ส่วนชิวอิ่นมัวแต่พะวงกับนัดประลองของอาจารย์หลี่พั่วเยวี่ย กัวอวี่ขิงก็กำลังทุกข์ใจเรื่องเจียงชิวไป๋ ทั้งร่างเหมือนกำลังโอนเอนเล็กน้อย ราวกับกำลังขบคิดว่าจะรักษาเจียงชิวไป๋อย่างไร…ทั้งสามคนจึงลืมเทพธิดาสงครามกัวชิงเยียนไปเสียสนิท
ถ้าเมื่อครู่ออกไปกันหมด พอกัวชิงเยียนออกมา เกรงว่าคงจะโกรธเป็นฟืนไฟแน่
“ว้าว ในที่สุดเจ้าก็ออกมา พวกเรารอตั้งนาน” หลี่มู่รีบแย่งพูดก่อนอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
ชิวอิ่นอ้าปากค้าง ไม่ได้พูดออกมา แต่ในใจแอบถอนใจ น้องสามนี่ไร้ยางอายจริงๆ เจ้าเพิ่งจะลืมคนเขาไปเมื่อครู่ กลับพูดอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ได้
และเมื่อเห็นว่าหลี่มู่มีไมตรีเช่นนี้ นัยน์ตาของเทพธิดาสงครามมีประกายวาบผ่านบางๆ จากนั้นจึงพยักหน้า ไม่พูดอะไร ยืนอยู่ด้านหลังของกัวอวี่ชิง
ครั้นไป๋ม่อโฉวเห็นว่ามีสาวงามบุคลิกองอาจโผล่มาอีกคน และเห็นว่าหลี่มู่แสดงออกถึงไมตรีอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ จึงร้องฮึเย้ยหยัน อ้าปากจะประชดประชัน…
กัวอวี่ชิงกลับเปิดปากเอ่ย “ออกจากที่นี่กันก่อนเถอะ ฟ้านิจนิรันดร์ปิดประตู อีกครู่เดียววังสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็จะหายไป พวกเราต้องกลับไปที่วิหารเทพหมาป่ากันก่อน”
ไป๋ม่อโฉวเหมือนจะเกรงกลัวกัวอวี่ชิงอยู่บ้าง เมื่อได้ยินจึงจ้องเขม็งไปที่หลี่มู่ ไม่ได้พูดอะไรต่อ
คนทั้งหมดเดินตามบันไดหินหยกลอยฟ้ามาถึงประตูทางเดิน พริบตาที่ผ่านประตูทางเดินไปแล้ว ด้านหลังก็มีเสียงครืนดังขึ้น ตอนที่หลี่มู่หันกลับไปมอง ก็พบว่าบันไดหินหยกขาวลอยขึ้นไปทีละก้อน มุ่งไปทางวังสวรรค์เก้าชั้นฟ้า สุดท้ายถึงหายเข้าไปด้านใน วังสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่เหมือนวังเซียนบนเมฆ ด้านล่างราวกับมีจรวดติดอยู่ ส่งเสียงดังครืนพร้อมพุ่งขึ้นสู่ฟ้า หายลับไปในจันทราและอาทิตย์คู่
ฟ้านิจนิรันดร์ปิดลงแล้ว
ทั้งหมดเดินตามทางที่เดินเข้ามา ผ่านทางเดินโถง จากนั้นผ่านเส้นทางวงกตอีกมากมาย มองเห็นร่องรอยการต่อสู้ของเจียงชิวไป๋กับผู้ใช้คลื่นวารีและกู้ป้านเซิงก่อนหน้านี้ ท้ายสุดก็มาถึงพื้นที่ประตูทางเข้าวิหารเทพหมาป่า
เวลานี้ ด้านนอกเข้าสู่กลางฤดูร้อนแล้ว
บนที่ราบทุ่งหญ้ามีใบหญ้าเขียวขจี มองจากความสูงราวสองลี้ลงไป ทั่วทั้งแผ่นดินประหนึ่งถูกปูด้วยพรมมรกตชั้นหนึ่ง ดอกไม้ต้นไม้แซมประดับ งดงามเป็นอย่างยิ่ง
“น้องสาม มีเรื่องจะไหว้วานเจ้าเรื่องหนึ่ง” กัวอวี่ชิงเอ่ยขึ้น
หลี่มู่อึ้งไป ก่อนจะตอบ “พี่ใหญ่ว่ามาได้”
“หลังจากเจ้ากลับถึงเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้ว ส่งคนพาพี่สะใภ้กับเด็กทั้งสองมายังวิหารเทพหมาป่าแห่งที่ราบทุ่งหญ้านี้เถอะ” กัวอวี่ชิงมองความเขียวขจีเบื้องล่าง ใบหน้าเรียบนิ่ง
หลี่มู่กล่าว “ความหมายของพี่ใหญ่คือ ท่านจะมาอยู่ที่นี่”
ชิวอิ่นก็หันกลับมามองกัวอวี่ชิงเช่นกัน “พี่ใหญ่จะกลับมาอยู่ที่วิหารเทพหมาป่าอีกครั้งหรือ?”
กัวอวี่ชิงพยักหน้า เอ่ยว่า “ศิษย์น้องเจียงหลับลึกอยู่ในฟ้านิจนิรันดร์ ความไม่ย่อท้อและความภูมิใจทั้งชีวิตของเขาอยู่ที่วิหารเทพหมาป่า ถ้าหากข้าไม่อยู่ ความรุ่งโรจน์ของวิหารเทพหมาป่าก็จะถูกฝังลงในสายธารประวัติศาสตร์ เขาเคยปกป้องความรุ่งโรจน์เพื่อข้า ตอนนี้ข้าจะเห็นแก่ตัวอีกไม่ได้แล้ว…จากนี้ไป วิหารเทพหมาป่าแห่งที่ราบทุ่งหญ้าจะตั้งตระหง่านอยู่ที่ดินแดนนี้ตลอดกาล”
หลี่มู่พยักหน้า “พี่ใหญ่วางใจได้ ข้าจะมาส่งพี่สะใภ้กับลูกทั้งสองของท่านที่วิหารเทพหมาป่าด้วยตนเอง”
ชิวอิ่นก็พูดขึ้นว่า “ข้ากับน้องสามจะมาส่งพี่สะใภ้ด้วยกัน”
“ข้าจะไปฉินตะวันตก ตอนที่กลับมาสามารถนำทางให้ได้” เทพธิดาสงครามก็เสนอตัวเช่นกัน
ใจของนางจริงๆ แล้วฮึกเหิมเป็นอย่างมาก
ทุกคนในที่ราบทุ่งหญ้ารู้ดี สำหรับที่ราบทุ่งหญ้าแล้วต้าเจ๋อเปี๋ยกัวอวี่ชิงมีความหมายเช่นไร ยุคสมัยที่ที่ราบทุ่งหญ้าเคยสงบสุขและสวยงามที่สุด ก็คือยุคที่อยู่ภายใต้ความรุ่งโรจน์ของต้าเจ๋อเปี๋ย หลังต้าเจ๋อเปี๋ยจากที่ราบทุ่งหญ้าไป ชนเผ่าน้อยใหญ่ในแผ่นดินนี้ก็ตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายและสงครามอีกครั้ง โดยเฉพาะการที่วิหารเทพแมงมุมออกมาก่อเรื่องวุ่นวาย ก่อลมฝนคาวเลือด หากต้าเจ๋อเปี๋ยจากอดีตกลับมาปกครองที่ราบทุ่งหญ้าอีกครั้ง เช่นนั้นลูกหลานชาวทุ่งหญ้าอาจจะได้รับความสงบในโลกที่วุ่นวายใบนี้
หลี่มู่พยักหน้า เอ่ยว่า “ก็ดีเหมือนกัน”
เขาเห็นดีกับการให้เทพธิดาสงครามไปด้วยกัน
เนื่องจากหลี่มู่กังวลว่าตอนที่ตนเองกลับมาจะหาตำแหน่งของวิหารเทพหมาป่าไม่เจอ
ไป๋ม่อโฉวอีกด้านเมื่อเห็นดังนั้นก็หัวเราะ จ้องมาที่หลี่มู่ด้วยสีหน้าดูถูก ท่าทางประมาณว่าคนหลายใจอย่างเจ้า ข้าก็คิดไว้แล้วว่าต้องเห็นด้วย
หลี่มู่โมโหจนมันเขี้ยว
ผีสาวตนนี้จงใจหาเรื่องกันชัดๆ
“โฮ่ง ข้าก็จะไปด้วย” เจ้าฮัสกี้พูดขึ้นอย่างเฝ้ารอคอยมาก “จะพานางสนมราชินีหมาป่าขาวของข้าไปด้วย….”
……
สามวันต่อมา
พื้นที่ชายแดนจักรวรรดิฉินตะวันตก
ด่านเมืองมังกร
อู๋เป่ยเฉินยืนอยู่บนประตูเมืองทิศบูรพา มองลงมาด้านนอกเมือง
ค่ายทหารของราชวงศ์ต้าเยวี่ยครอบครองพื้นที่ไปหลายพันจั้ง กระโจมสีขาวมากมายเหมือนกับหิมะที่ทับถมรวมกันหลายต่อหลายก้อน กระจัดกระจายอยู่ด้านนอกด่านเมืองมังกร จำนวนสามสี่พันได้ ราชวงศ์ต้าเยวี่ยใช้กำลังทหารราวสองหมื่นนายล้อมด่านเมืองมังกรไว้ ตลอดเวลาครึ่งปีที่ผ่านมาเอาแต่ฝึกฝนทหารอยู่ตลอด ไม่เคยบุกเข้ามาในด่านเมืองมังกรจริงๆ กระทั่งมีหลายครั้งส่งเสบียงเข้ามาให้ด่านเมืองมังกรด้วย และในช่วงครึ่งที่ผ่านมานี้จะอนุญาตให้เข้าแต่ไม่ให้ออก ทำให้ด่านเมืองมังกรกลายเป็นเกาะตั้งโดดเดี่ยว
ตอนนี้ ด่านเมืองมังกรกลายเป็นเมืองโดดเดี่ยวที่ถูกตัดขาดจากภายนอกโดยสมบูรณ์
เริ่มแรก ทหารภายในเมืองยังเฝ้ารอกำลังเสริมจากจักรวรรดิฉินตะวันตก เพื่อที่จะยึดพื้นที่ชายแดนคืน
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนจึงไม่คาดหวังอะไรอีก
ชัดเจนว่าจักรวรรดิไม่มีกำลังพอจะยึดด่านชายแดนคืน ราชวงศ์ต้าเยวี่ยใช้เวลาครึ่งปีนี้หยั่งรากฐานลงที่นี่อย่างมั่นคงแล้ว
อู๋เป่ยเฉินถอนหายใจ
ในใจเขารู้สึกฉงนอยู่บ้าง
ด่านเมืองมังกรจะตัดสินใจทิศทางใด เขาก็ไม่รู้ ปัญหานี้น่ากลัวว่าแม้กระทั่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดอย่าง ‘แปดกรพิพากษา’ จงเหว่ยก็ไม่ชัดเจนเช่นกัน
ราชวงศ์ต้าเยวี่ยไม่ยอมโจมตี แต่ก็ไม่ยอมถอยทัพเช่นกัน สภาพการณ์ประหลาดนี้ดำเนินมาอย่างยาวนาน ทหารในเมืองค่อยๆ เคยชินกับบรรยากาศเช่นนี้ไปแล้ว กระทั่งไม่รู้สึกหวาดกลัวอะไรกับกองทัพต้าเยวี่ยที่นอกเมืองด้วยซ้ำ
จักรวรรดิฉินตะวันตกเป็นอย่างไรแล้ววกันแน่?
ไม่มีใครรู้
ข่าวสารส่งเข้ามาไม่ถึง
ในช่วงบ่าย หลังจากเปลี่ยนเวรยามป้องกัน อู๋เป่ยเฉินปลดชุดเกราะ พาทหารคนสนิทสองนายลงจากกำแพงเมือง แลกเปลี่ยนเนื้อหมูที่ฝ่ายพลาธิการมาหนึ่งจิน ก่อนเดินข้ามซอกซอยมาถึงบ้านของแม่เฒ่าไช่
เขาผลักประตูเข้าไป ในเรือนมีเสียงกระบี่ยาวปะทะกันดังมา
ไช่ไช่กำลังฝึกวิชากระบี่กับชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าปี รุกและรับกัน สู้กันได้อย่างยอดเยี่ยม
ชายหนุ่มหน้าตางดงาม อยู่ในชุดจอมยุทธ์ผ้าหยาบ กิริยาท่าทางดูอบอุ่น ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ อยู่ตลอดเวลา
“เสี่ยวอู่ หยุดฝึกก่อน วันนี้มีเนื้อมา กินกันดีๆ หน่อยมื้อนี้ ไปเรียกท่านอาของเจ้ามาดื่มสุราด้วยกันเถอะ” อู๋เป่ยเฉินเข้ามาอย่างคุ้นเคย ทักทายกับชายหนุ่ม จากนั้นนำผักกับเนื้อส่งให้กับแม่เฒ่าไช่
“ท่านอาอู๋” ไช่ไช่ยิ้มทักทาย เอ่ยว่า “วันนี้พี่เสี่ยวอู่สอนวิชากระบี่ชุดใหม่ให้ข้าอีกแล้ว”
อู๋เป่ยเฉินตอบกลับ “เด็กน้อย พวกทักษะการต่อสู้วิชากระบี่แค่เรียนก็เป็นแล้ว พี่เสี่ยวอู่ของเจ้าเกรงว่าคงจะสอนเจ้าได้อีกไม่นาน”
ไช่ไช่ยิ้มขึ้นมา
ชายหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวอู่ยิ้มอย่างเขินอาย กล่าวว่า “ไช่ไช่เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง หากได้รับคำสอนจากอาจารย์มีชื่อ รับรองว่าทะยานไปได้ไกลแน่ ไม่ถึงสิบปีชื่อเสียงจะระบือไปไกลได้” เขาเป็นชายหนุ่มที่ดีเยี่ยมคนหนึ่ง เขินอายและอบอุ่น มีมารยาทต่อคนทุกคน
“พี่ชายเหลวไหลก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน ฮี่ๆ” ตอนที่พูดถึงหลี่มู่ ไช่ไช่มักจะทำหน้าชื่นตาบาน
เสี่ยวอู่ทักทายแล้วจึงออกไปเชิญท่านอามาร่วมทานอาหาร
อู๋เป่ยเฉินมองแผ่นหลังของชายหนุ่ม ในใจรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย
ห้าเดือนก่อนหน้า วันนั้นที่กองทัพราชวงศ์ต้าเยวี่ยล้อมด่านเมืองมังกร เสี่ยวอู่และคณะพ่อค้าของอาเขาจากเมืองเชียนหยางก็ถูกทหารล้อมไว้ในเมืองด้วย หลายเดือนมานี้พยายามคิดหาวิธีมากมายก็ยังไม่สามารถออกไปได้ จึงทำได้เพียงตั้งหลักปักฐานอย่างสงบ ซื้อเรือนที่อยู่ข้างๆ เรือนแม่เฒ่าไช่ พักอาศัยอยู่ที่นั่น และได้รู้จักกับย่าหลานด้วยเหตุนี้
เสี่ยวอู่ที่เกิดในครอบครัวพ่อค้า ฐานะค่อนข้างร่ำรวย เคยฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์มีชื่อ อายุยังน้อยก็ฝึกฝนถึงขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว ถือเป็นอัจฉริยะในหมู่คนทั่วไปเช่นกัน หลายวันมานี้ไช่ไช่มักจะไปฝึกวิชากับชายหนุ่มคนนี้ ได้ฝึกวิชากระบี่มาไม่น้อยทีเดียว
ครู่ต่อมา แม่เฒ่าไช่ก็ทำอาหารเสร็จ
เสี่ยวอู่กลับเข้ามา เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอามีธุระ ไม่อยู่ในเรือนขอรับ…”
อู๋เป่ยเฉินหัวเราะ “ไม่เป็นไร เจ้าก็มาร่ำสุรากับข้าสักสองจอกแล้วกัน”
เพียงไม่นานอาหารก็ถูกยกขึ้นมา กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว
ในด่านเมืองมังกรตอนนี้ ทรัพยากรขาดแคลน มีเพียงฐานะอย่างอู๋เป่ยเฉินเท่านั้นถึงสามารถใช้ผลงานทางทหารแลกเนื้อกับสุรามาได้ แต่ว่าแลกได้หนึ่งครั้งต่อเดือนเท่านั้น สำหรับหนุ่มโสดอย่างเขา ทุกครั้งที่แลกเนื้อกับสุราก็มักจะนำมาที่บ้านแม่เฒ่าไช่ ให้ย่าหลานร่วมดื่มกินด้วยกัน
หลังจากดื่มไปไม่กี่แก้ว อู๋เป่ยเฉินยิ้มกริ่มวางแก้วลง บอกว่า “เสี่ยวอู่ กองทัพต้าเยวี่ยที่ล้อมเมืองอยู่นี่ ดูท่าคงไม่ถอยกลับไประยะหนึ่งแน่ ตัวเจ้าเองวางแผนไว้อย่างไรกัน…”
เสี่ยวอู่ยิ้มอย่างเก้อเขิน อ้าปากกำลังจะพูดอะไร
บนท้องฟ้าสีครามสดใส จู่ๆ ปรากฏลำแสงสว่างวาบเส้นหนึ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ทุกคนในเรือนรู้สึกเหมือนตาพร่า เบื้องหน้ามีหลายร่างเผยขึ้นมา
ไช่ไช่เป็นคนแรกที่รู้สึกตัว กระโดดขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าไปอย่างดีใจ “พี่ชายเหลวไหล…” นางมองเห็นหลี่มู่
อู๋เป่ยเฉินก็ลุกขึ้นอย่างตกใจระคนยินดี
คนที่มาคือหลี่มู่ ชิวอิ่น ซ่างกวนอวี่ถิง เทพธิดาสงคราม พร้อมพาวานรภูเขาขนทองหยวนโห่ว นายพลฮัสกี้ และจิ้งจอกขาวต๋าจี่มาด้วย
สีหน้าของเสี่ยวอู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลี่มู่
ในที่สุดก็มาแล้วหรือ?
………………………………….…….