จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 355 สุ่ยจา
หลี่มู่เห็นไช่ไช่ แม่เฒ่าไช่ และพวกอู๋เป่ยเฉินอยู่กันครบก็ถอนใจโล่งอก
หลายวันมานี้พวกเขาอยู่บนที่ราบทุ่งหญ้า ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตก ทุกที่ที่เดินทางผ่านก็ล้วนได้ยินข่าวบางอย่าง ถึงได้รู้ว่าที่แผ่นดินใหญ่วุ่นวายจนถึงขั้นนี้ และยิ่งคาดไม่ถึงว่าสามจักรวรรดิที่ดูประหนึ่งภูเขาไท่ซานจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะฉินตะวันตกและซ่งเหนือ เวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งปีก็เละเทะถึงขนาดนี้แล้ว
เพียงแต่บนที่ราบทุ่งหญ้า ข่าวสารข้อมูลจะเข้าไม่ถึง รายละเอียดเป็นเช่นไร เหล่าคนเลี้ยงสัตว์ไม่ค่อยรู้ชัดเช่นกัน
หลี่มู่ได้ยินมาว่าชายแดนฉินตะวันตกพ่ายแพ้ราบคาบ ราชวงศ์ต้าเยวี่ยที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนประกาศว่าในพื้นที่บริเวณนี้ สิบเมืองเก้าพื้นที่ชายแดนล้วนอยู่ในการควบคุมของต้าเยวี่ย อีกทั้งแม้แต่ ‘ทวนปราบอสูร’ หลี่หยวนป้าเทพนักรบแห่งกองทัพจักรวรรดิฉินตะวันตกยังรบแพ้ หลี่มู่จึงเริ่มเป็นห่วงแม่เฒ่าไช่สองย่าหลานและพวกอู๋เป่ยเฉิน แทบจะขี่ดาบบินเดินทางตลอดทาง วันนี้ในที่สุดก็มาถึงด่านเมืองมังกร
ใครจะคิดว่าด่านเมืองมังกรเล็กๆ แบบนี้กลับไม่ถูกยึดครอง
“คาระวะท่านอ๋อง” หลังจากอู๋เป่ยเฉินตื่นเต้นยินดีก็ตั้งตัวกลับมาได้ จึงรีบทำความเคารพ
หลี่มู่พูดไปว่า “ไม่ต้องมากพิธี”
อู๋เป่ยเฉินกวักมือเรียกเสี่ยวอู่ที่อยู่ข้างๆ มา ก่อนเอ่ย “เจ้าเด็กคนนี้ ยังจะมัวอึ้งอะไรอยู่ รีบมาคารวะไท่ไป๋อ๋องเร็วเข้า”
ชายหนุ่มที่ปกติยิ้มแย้มเขินอายคนนั้น ตอนนี้กลับยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าประดับรอยยิ้มประหลาด ดวงตาฉายประกายวาววับ กำลังจ้องหลี่มู่เขม็ง แผ่นหลังเหยียดตรงราวกระบี่เทพชั้นเลิศ ไม่มีทีท่าว่าจะเดินมาทักทายหลี่มู่สักนิด
อู๋เป่ยเฉินอึ้งไป
เจ้าเด็กนี่ถึงแม้ปกติจะขี้อาย แต่ก็หัวไวยิ่งนัก นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“เร็วเข้าสิ เจ้าเด็กนี่ เมื่อหลายวันก่อนยังบอกว่าอยากจะพบท่านอ๋องหลี่มู่เซียนกวีวิถียุทธ์มากอยู่เลยไม่ใช่หรือ?” อู๋เป่ยเฉินรีบขยิบตาส่งสัญญาณ
หลี่มู่โบกมือ ส่ายหน้าแล้วพูด “ไม่ต้อง ครึ่งเทวะคำนับข้า ข้ารับเอาไว้ไม่ไหวหรอก”
“อะไรนะ?”
“ครึ่งเทวะ?”
อู๋เป่ยเฉินและไช่ไช่อึ้งไปโดยสมบูรณ์ทันที
พวกเขาคิดว่าตัวเองฟังผิดไป
เสี่ยวอู่เป็นครึ่งเทวะ?
ใบหน้าของชิวอิ่นและเทพธิดาสงครามที่อยู่ข้างๆ ฉายแววระแวดระวัง
มีเพียงไป๋ม่อโฉวที่สีหน้าเฉยชามากโดยตลอด ท่าทางเหมือนไม่เกี่ยวกับตน เย็นชาเหลือจะพรรณนา เหมือนกับว่าสำหรับนาง ขั้นครึ่งเทวะก็เหมือนผักกาดขาวข้างทางต้นหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อสายตาของนางหยุดที่ร่างไช่ไช่ ดวงตาก็พลันลุกวาว ท่าทางแบบนั้นราวกับเห็นของล้ำค่าอะไรก็ไม่ปาน
หยวนโห่วยืนข้างหลังหลี่มู่อย่างรู้หน้าที่ ท่าทางอย่างพี่ใหญ่พูดอะไรข้าก็ทำอย่างนั้น ข้าจะสู้เพื่อพี่ใหญ่
จิ้งจอกขาวน้อยต๋าจี่ขี่คอหลี่มู่ มองประเมินเสี่ยวอู่อย่างสงสัยใคร่รู้
ไช่ไช่และอู๋เป่ยเฉินถึงเพิ่งจะพบว่าสีหน้าท่าทางของเสี่ยวอู่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ไม่ใช่ชายหนุ่มที่เขินอายและอ่อนโยนก่อนหน้านี้อีกต่อไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือกลิ่นอายของความหลักแหลมและมั่นใจ ประหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นคนละคน รัศมีที่ในความน่าเกรงขามแฝงความหยิ่งทะนง ในความสูงส่งแฝงไว้ด้วยความดุดันค่อยๆ แผ่กระจายมาโดยมีชายหนุ่มคนนี้เป็นศูนย์กลาง
เสี้ยวขณะนี้ เสี่ยวอู่เปลี่ยนจากชายหนุ่มจากคาราวานสินค้าธรรมดาๆ ที่เขินอาย กลายเป็นราชาผู้น่าเกรงขามที่ปกครองทุกสิ่ง ทำให้คนไม่กล้าจ้องมอง
“พี่เสี่ยวอู่ ท่าน…” ใบหน้าของไช่ไช่เต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เสี่ยวอู่ไม่มองไช่ไช่ แต่กลับมองมายังหลี่มู่ ใบหน้าเผยรอยยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ในที่สุดไท่ไป๋อ๋องก็มา…หึๆ ข้ารอเจ้ามาครึ่งปีเต็มแล้ว”
หลี่มู่เลิกคิ้ว “เจ้าเป็นใคร?”
เสี่ยวอู่แย้มยิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “อวี๋ฮว่าหลงแห่งต้าเยวี่ย”
“อวี๋ฮว่าหลง?” อู๋เป่ยเฉินร้องตกใจเสียงหลงก่อนใคร “รัชทายาทแห่งต้าเยวี่ยอวี๋ฮว่าหลง?”
เขาไม่กล้าเชื่อหูตัวเองเลยจริงๆ
ส่วนไช่ไช่กลับเผยสีหน้าตื่นตะลึง มือปิดปาก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
รัชทายาทต้าเยวี่ยที่ปิดล้อมด่านเมืองมังกรนานขนาดนี้ ที่แท้อยู่ในด่านเมืองมังกรอย่างนั้นรึ?
เขาก็คือบุคคลอันดับหนึ่งที่สั่นสะเทือนทั้งปฐพีในช่วงครึ่งปีมานี้?
เป็นไปได้อย่างไรกัน
ไม่กล้าจะเชื่อเลยจริงๆ
หลี่มู่กลับไม่ตกตะลึงขนาดนั้น
ตอนที่เขามาก็สัมผัสได้ว่าในกายของชายหนุ่มคนนี้มีคลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัว ไม่ด้อยไปกว่าเทพมารเพลิงเลย
“ข้าออกมาจากที่ราบทุ่งหญ้าก็ได้ยินข่าวนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับการผงาดขึ้นมาของราชวงศ์ต้าเยวี่ย มีนักรบที่ราบทุ่งหญ้าไม่น้อยมองว่าเจ้าเป็นบุคคลเยี่ยมยอดอันดับหนึ่งคนใหม่ ยังคิดว่าจะเป็นนาจาที่มีสามเศียรหกกรเสียอีก วันนี้ได้พบกันแล้ว อืม ก็เป็นคนปกติมีสองแขนสองขานี่” หลี่มู่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่หวาดระแวงเพราะรัศมีอำนาจและท่าทางของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
นาจาเป็นใคร พวกชิวอิ่นและอู๋เป่ยเฉินไม่รู้จักสักนิด
แต่อวี๋ฮว่าหลงผู้เป็นรัชทายาทแห่งต้าเยวี่ยกลับเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบปกติ “ยามนาจาไม่แสดงสามเศียรหกกรออกมา ก็เป็นแค่เด็กธรรมดาไม่ใช่หรือ?”
คำพูดของเขาประโยคนี้สุขุมและเรียบง่ายนัก
ดังนั้นคนอื่นๆ จึงไม่พบว่าในประโยคนั้นแฝงอะไรเอาไว้
แต่หลี่มู่ตกใจทันที “เอ๋ เจ้ารู้จักนาจาด้วย?”
นี่เป็นคนในเทพนิยายของประเทศจีนบนดาวโลก
รัชทายาทแห่งต้าเยวี่พยักหน้ากล่าว “รู้จัก ข้ายังรู้ว่าจินจากับมู่จาเป็นพี่น้องกับนาจา บิดาของพวกเขาคือหลี่จิ้งผู้บังคับบัญชาด่านเฉินถังกวน อาจารย์ของเขาคือไท่อี่เจินเหริน และอาจารย์ของไท่อี่เจินเหรินคือ…” พูดตรงนี้เขาก็มองหลี่มู่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม บอกว่า “หึๆ เป็นอย่างไร? จะให้ข้าพูดต่อไปหรือไม่?”
ในใจของหลี่มู่ดุจเกิดคลื่นยักษ์ซัดสาด
นี่มันบ้าอะไรกัน
รัชทายาทของราชวงศ์ต้าเยวี่ยกลับท่องข้อมูลเรื่องห้องสินได้อย่างคล่องแคล่ว?
“เจ้ารู้เยอะจริงๆ นั่นแหละ” หลี่มู่ยิ้ม “แต่มีเรื่องหนึ่ง หากเจ้าพูดออกมาได้ข้าถึงจะยอมเชื่ออย่างหมดใจ”
อวี๋ฮว่าหลงแย้มยิ้ม ก่อนตอบ “เจ้าว่ามาเลย”
หลี่มู่หัวเราะฮี่ๆ “นาจาทำไมถึงชื่อนาจา?”
อวี๋ฮว่าหลงรัชทายาทของต้าเยวี่ยมึนงง
นี่มันคำถามอะไรกัน
หลี่มู่พูดต่อ “หลี่จิ้งมีลูกชายสามคน คนโตจินจา คนรองมู่จา ดังนั้นชื่อของลูกคนที่สาม…” เขาหันมายังหยวนโห่ว ก่อนจะถาม “เจ้าว่าตามตรรกะปกติแล้ว คนที่สามน่าจะชื่ออะไร?”
หยวนโห่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่นึกว่าคำถามจะถามมาลงที่ตน จึงตอบไปโดยไม่แม้แต่จะคิด “น่าจะชื่อสุ่ยจานะ เรียงทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินไง คนสี่ก็ชื่อหั่วจา คนที่ห้าชื่อถู่จา”
หลี่มู่ขำทันที เยี่ยมมาก คนตบมุกที่ยอดเยี่ยมที่สุดเป็นเจ้าแน่นอน
แต่รัชทายาทของต้าเยวี่ยอวี๋ฮว่าหลงค่อนข้างงงงัน นี่มันคือคำถามอะไรกัน
“นั่นน่ะสิ ทำไมคนที่สามถึงชื่อนาจา ไม่ชื่อสุ่ยจาล่ะ?” เจ้านายพลฮัสกี้ก็ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
มันงงจริงๆ ไม่ใช่แกล้งโง่
ส่วนอวี๋ฮว่าหลงตอนนี้ ในใจแทบจะคลั่งแล้ว
หลี่มู่คนนี้เป็นพวกชอบล้อเล่นหรือ?
ตอนนี้ใช่เวลาถามคำถามเชาว์ปัญญาอย่างนี้ไหม?
ปฏิกิริยาของหลี่มู่จะปกติหน่อยได้หรือไม่?
“ท่านอ๋องหลี่ หรือท่านไม่สงสัยว่าข้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?” รัชทายาทแห่งต้าเยวี่ยพยายามดึงหัวข้อสนทนากลับเข้าเรื่องปกติอย่างสุดความสามารถ
หลี่มู่พยักหน้า แต่ในพริบตาที่ใบหน้าของรัชทายาทต้าเยวี่ยฉายแววโล่งใจ เขาก็โพล่งตอบ “ใช่แล้ว ไม่สงสัย”
อวี๋ฮว่าหลงแทบกระอักเลือด
ไม่สงสัยแล้วพยักหน้าทำไม
หลี่มู่หัวเราะ ในใจก็คิดว่าเจ้านี่แฝงตัวอยู่ในด่านเมืองมังกรมาครึ่งปีเต็มๆ ใช้เวลาในช่วงเช้าทั้งหมดอยู่ที่นี่ก็เพื่อรอข้า ต้องคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าถ้าเจอหน้าจะพูดอะไร และเตรียมแผนรอข้าเอาไว้เรียบร้อย ข้าย่อมไม่เล่นตามบทของเจ้าแน่นอน หากคุยไปตามแผนของเจ้า จะไม่ตรงกับความต้องการแล้วตกหลุมพรางของเจ้าหรือ?
กับดักคำพูดและการโน้มน้าวใจ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นแผนที่น่ากลัวที่สุดของโลกนี้
ครั้งที่แล้วหลี่มู่ก็ปฏิเสธทูตของชวีอ๋องแห่งฉู่ใต้ไปเช่นกัน
แต่ครั้งนี้หลี่มู่ไม่อาจปฏิบัติกับรัชทายาทแห่งต้าเยวี่ยเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อทูตของชวีอ๋องได้
เขาสูดลมหายใจ โบกมือแล้วพูดว่า “เอาละ เป็นแบบนี้ต่อไปเจ้าก็ไม่มีทางรามือแน่ เช่นนั้น…ก็ให้ข้าได้เห็นฝีมือของเจ้าหน่อยเป็นไร พี่อู๋ ท่านพาไช่ไช่กับท่านยายออกไปเถอะ” จากนั้นมองไปยังอวี๋ฮว่าหลง “จะให้ออกไปทั้งหมดใช่หรือไม่?”
อวี๋ฮว่าหลงสูดลมหายใจลึก ตอบว่า “ใช่”
ไม่รอให้หลี่มู่พูด ชิวอิ่นก็เข้าใจแล้ว เขาส่งสัญญาณสายตาให้หลี่มู่ บอกให้ระวังตัวด้วย แล้วจึงพาหยวนโห่ว เจ้าฮัสกี้ เทพธิดาสงคราม และจิ้งจอกขาวน้อยต๋าจี่ออกไปจากบริเวณที่พักอาศัย
ไป๋ม่อโฉวหัวเราะเสียงเยียบเย็น “เฮอะๆ ใครสนใจกัน” แล้วก็หมุนตัวจากไป
ทั้งเขตที่พักเหลือแค่หลี่มู่กับอวี๋ฮว่าหลงสองคนเท่านั้น
อวี๋ฮว่าหลงแย้มยิ้มบางๆ เดินไปยังหน้าโต๊ะอาหารอย่างเนิบช้า
ตามรอยเท้าของเขามีคลื่นลวดลายเต๋าพิลึกแผ่ระลอกบนพื้น ก่อร่างเป็นค่ายกลประหลาดปกคลุมบริเวณเรือนเอาไว้ทั้งหมด เกิดเป็นพื้นที่ต้องห้ามปิดกั้นการสอดแนม
หลี่มู่ใจสั่นไหววูบหนึ่ง
เพราะวิชาที่อวี๋ฮว่าหลงสำแดงเป็นวิชาเต๋า ไม่ใช่ลวดลายดาราของโลกใบนี้
อาหารบนโต๊ะยังร้อนอยู่ อวี๋ฮว่าหลงล้างแก้วสุราสองใบแล้วรินสุราลงไป ยกมือขึ้นก่อนกล่าว “ท่านอ๋องหลี่ เชิญนั่ง มนุษย์มีเรื่องหน้ายินดีสี่ประการ ฝนตกหลังแล้งหนัก ได้พบคนบ้านเดียวกันที่ต่างแดน เข้าหอคืนวิวาห์ และสอบติดบัณฑิต…เรื่องน่ายินดีเรื่องที่สองควรค่าแก่การที่ท่านและข้าจะดื่มสักจอกหรือไม่?”
หลี่มู่นั่งลง ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มหมดทีเดียว
เรื่องน่ายินดีเรื่องที่สองก็คือได้พบคนบ้านเดียวกันที่ต่างแดน
อวี๋ฮว่าหลงดื่มเหล้าลงไป ก่อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องหลี่รู้เรื่องราชวงศ์ต้าเยวี่ยมากน้อยเท่าใด?”
หลี่มู่ตอบ “รู้แค่ว่าเป็นราชวงศ์สูงสุดที่เคยปกครองแผ่นดินใหญ่เสินโจวเมื่อพันปีก่อน ภายหลังถูกโค่นล้ม สามจักรวรรดิเข้ามาแทนที่…เรื่องเมื่อพันปีก่อนมันนานเกินไป จึงไม่มีใครไปสนใจ และก็ไม่มีใครไปสืบค้นแล้ว”
“ใช่แล้ว เนิ่นนานเหลือเกิน นานจนคนส่วนใหญ่ของโลกนี้ลืมการมีอยู่ของต้าเยวี่ยในอดีตไปเสียแล้ว” อวี๋ฮว่าหลงทอดถอนใจ แล้วพูดต่อไป “คนอื่นไม่สนใจได้ แต่ท่านอ๋องหลี่จะไม่ใส่ใจหรือไม่สืบค้นไม่ได้”
หลี่มู่สวนขึ้นมา “อาศัยอะไรมิทราบ? ราชวงศ์ต้าเยวี่ยเป็นหนี้ข้ารึไง”
อวี๋ฮว่าหลงชินเสียแล้วกับวิธีการพูดจายียวนกวนประสาทของหลี่มู่ จึงไม่ใส่ใจ กินอาหารเข้าไปคำหนึ่ง วางตะเกียบลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เพราะเหล่าผู้ก่อตั้งราชวงศ์ต้าเยวี่ยมาจากที่เดียวกันกับท่านอ๋องหลี่”
……………………………………………………