จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 369 บ้านเมืองสงบ ชาวประชาร่มเย็น
ยิ่งไปกว่านั้น ระยะห่างกันมากขนาดนี้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายจำเป็นต้องใช้พลังงานมหาศาลประคับประคอง
ทว่านี่กลับไม่ใช่ปัญหา
‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ กับ ‘ค่ายกลฮวงจุ้ยจุดรวมมังกร’ ล้วนดูดซับพลังฟ้าดินได้ แบ่งออกมาส่วนหนึ่งใช้สำหรับค่ายกลเคลื่อนย้ายก็เพียงพอแล้ว
หลี่มู่คิดหน้าคิดหลัง รู้สึกว่าวิธีการนี้ใช้ได้
แต่การสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายที่มีระยะห่างมากแห่งหนึ่งจำเป็นต้องใช้เวลา ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเสร็จสมบูรณ์ได้ในวันเดียวคืนเดียว สำนักขุนคีรีถูกล้อมอยู่ตอนนี้ ‘จักรพรรดิดาบ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงก็เหมือนหินผา นั่งอยู่ส่วนหัวเรือของเรือวาฬทะยานฟ้าไม่ขยับไปไหน และคอยจับจ้องลงมาที่สำนักขุนคีรี
มีเจ้าเฒ่าคนนี้อยู่ หลี่มู่ยังไม่กล้าออกไปเพ่นพ่าน
เมื่อคิดๆ แล้ว หลังจากที่ได้รับความเห็นชอบจากพวกเจ้าสำนักสวีเยวี่ย เขาจึงกลับมายังด้านในพื้นที่ว่างกลางภูเขาอีกครั้ง เตรียมศึกษา ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ อีกรอบ ดูว่าจะแบ่งพลังดวงดาวบางส่วนมาเป็นแรงขับเคลื่อนค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลได้อย่างไร
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลี่มู่คิดไม่ถึงก็คือ ขณะที่เขากลับมาถึงด้านในและลงมาบนแท่นบูชาศิลาดำเก้าชั้น ก็พบอย่างตกตะลึงว่าด้านบนชั้นหินกลมชั้นที่เก้า กวีที่ว่า ‘หนทางข้างหน้าทั้งเนิ่นนานและยาวไกล ข้าจะไล่ตามไปทุกหนแห่ง’ ประโยคนั้นกลับมองเห็นได้ชัดเจนกว่าเดิม ที่สำคัญคือทุกๆ ลายเส้นอักษรจะมีแสงประหลาดจางๆ ระยิบระยับอยู่ เหมือนส่วนเว้านูนของตัวอักษรมีอะไรบางอย่างกำลังไหลเวียน
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลังจากที่เขาซ่อมแซมค่ายกลเสร็จก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะมีกวีสองประโยคนี้ปรากฏขึ้นมา แต่บนลายเส้นอักษรไม่ได้มีแสงใดๆ ส่องระยิบระยับนี่ เป็นเพียงตัวอักษรธรรมดาเท่านั้น หนำซ้ำหลี่มู่ยังยืนยันอย่างละเอียดแล้ว บนลายเส้นเป็นเพียงอักษรปกติ ไม่ได้มีค่ายกลเต๋าอะไรอยู่ด้านใน
นี่มันตลกแล้ว
ตั้งแต่ที่หลี่มู่ออกไปเมื่อครู่ กระตุ้นค่ายกล จนถึงตอนนี้ในพื้นที่กลางภูเขาไม่มีใครเข้ามาอีก
หลี่มู่จ้องมองตัวหนังสือหนึ่งบรรทัดที่กำลังส่องแสง ครู่หนึ่งก็เกิดอาการเหมือนผีดลใจ อยากจะเข้าไปสัมผัสมัน
พริบตาที่นิ้วสัมผัสกับอักษร พลังดึงดูดรุนแรงขุมหนึ่งปะทุออกมาจากตัวอักษรนี้ หลี่มู่ถึงขั้นยังอุทานคำว่า ‘เวรละ’ ออกมาไม่ทัน ร่างของเขาก็ถูกฉุดกระชาก ดูดเข้าไปด้านในลายเส้นตัวอักษร
กว่าเขาจะรู้สึกตัวกลับมา ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปทั้งหมดแล้ว
รอบๆ มีแสงดาวระยิบระยับ เหมือนอยู่ในจักรวาลสุญญากาศ
แสงของดวงดาวมากมาย สีสันหลากตา งดงามวิจิตรถึงที่สุด
หลี่มู่ลอยอยู่กลางสุญญากาศ
“หรือว่าถูกส่งออกมาจากแผ่นดินใหญ่เสินโจวแล้ว?”
ชั่วพริบตานี้ หลี่มู่รู้สึกว่าตนเองคล้ายมาถึงท้องฟ้าด้านนอก
เขาอยู่กลางสุญญากาศ ค่อยๆ ลอยไปตามคลื่น ไม่มีทิศทาง ไม่มีเป้าหมาย
ด้านหน้า ดาวขนาดยักษ์ดวงหนึ่งเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาทุกที
“นั่นคือ…โลกมนุษย์?”
หลี่มู่ตาเบิกโต แทบจะส่งเสียงออกมา
เขามองเห็นดาวสีฟ้าดวงนี้ค่อยๆ เข้าใกล้ตนเองมากขึ้น และร่องรอยเป็นลายพร้อยบนพื้นผิวพวกนั้น ภาพเหล่านั้น ช่างคุ้นตาจริงๆ นี่เป็นภาพการมองโลกจากบนอวกาศชัดๆ
หรือว่า…กลับมาถึง…ดาวโลกแล้ว?
หัวใจของหลี่มู่เต้นรัวแรงขึ้นมา
กลับบ้าน มาอย่างไม่ทันตั้งตัว มาอย่างกะทันหันเช่นนี้เลยหรือ?
หรือว่าประโยค ‘หนทางข้างหน้าทั้งเนิ่นนานและยาวไกล ข้าจะไล่ตามไปทุกหนแห่ง’ เมื่อครู่ จริงๆ แล้วคือสิ่งที่เรียกว่าเส้นทางเซียน แล้วตนเองก็เข้ามาเส้นทางนี้โดยไม่ตั้งใจ จนย้อนกลับมาที่ดาวโลกได้?
ความยินดีในใจหลี่มู่ยากที่จะเอ่ยเป็นคำพูดได้จริงๆ
กลับมาบ้านแล้วจริงหรือ?
จากนั้น เขาบินตรงไปยังดาวสีฟ้าตรงหน้าอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ ความเร็วดุจแสง เหมือนกับร่างกายเปลี่ยนเป็นดาวตกดาวหาง พุ่งผ่านชั้นบรรยากาศเข้าไป ร่างกายลุกเป็นไฟด้วยความเร็วที่เสียดสีกับอากาศ
เปลวไฟระดับนี้ สำหรับหลี่มู่ไม่ใช่พลังคุกคามใดๆ เลย
แต่ควันไฟที่เกิดจากการเสียดสีกลับบดบังสายตาไปมาก
หลี่มู่ขมวดคิ้วตามสัญชาตญาณ สองมือคิดจะปัดแหวกสิ่งที่บังอยู่ด้านหน้าทั้งหมดออกไป แต่ควันไฟตรงหน้ากลับยิ่งร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจึงบดบังภาพทั้งหมด
หลี่มู่มองไม่เห็นอะไรเลย
จนกระทั่งสายตาของเขากลับมามองเห็นวัตถุได้อีกรอบ ก็พบว่ามีดาวโลกสีฟ้าอะไรเสียที่ไหน ตนเองมาปรากฏตัวในสถานที่เหมือนพื้นที่กลางภูเขาแห่งใหม่ รอบด้านมืดสนิท บนกำแพงหินเขาไม่มีอักขระใดๆ สลักอยู่
หลี่มู่ตระหนักได้ทันที สิ่งที่ตนเองเห็นล้วนเป็นภาพลวงตา
วิชาลวงตาขั้นสูงมาก หลอกได้กระทั่งหลี่มู่ ทำเอาเขาแทบจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
เขากวาดตามองรอบๆ
‘นี่เหมือนเป็นอาณาเขตของค่ายกลบางอย่าง’
หลี่มู่ใช้งานเนตรสวรรค์ มองเห็นกลิ่นอายธาตุค่ายกลเป็นชั้นๆ ไหลเวียน ชัดเจนมากว่านี่เป็นมิติระนาบขนาดเล็กซึ่งเปิดทางมาจากพื้นที่กลางภูเขาของ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ เดิม
‘น่าจะเป็นที่ด้านในกวีประโยคนั้น ใครกันแน่สามารถใช้กวีประโยคหนึ่งเป็นตาค่ายกล เปิดพื้นที่ว่างแยกเป็นเอกเทศได้แบบนี้ น่ากลัวว่าแม้แต่ผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ก็ไม่น่าจะทำได้’
หลี่มู่ทอดถอนใจ
เขาตอนนี้ยืนยันได้เลยว่า พื้นที่ค่ายกลเล็กนี้เป็นผลงานของปรัชญาเมธีชาวโลกที่มาจากเส้นทางเซียนคนหนึ่ง แต่จะเป็นชวีหยวนหรือไม่ ยังไม่สามารถยืนยันได้
ไม่นานนักเขาก็คิดขึ้นได้ ความหมายของการมีอยู่ของพื้นที่นี้คืออะไรกัน?
ปรัชญาเมธีชาวโลกที่สร้างสำนักขุนคีรีผู้นั้นจะต้องทิ้งบางอย่างไว้ในพื้นที่นี้อย่างแน่นอน
เป็นของบางอย่างที่ล้ำค่าเอามากๆ ดังนั้นจึงต้องซ่อนไว้ขนาดนี้
และค่ายกลลวงตาก่อนหน้านั้น ที่ทำให้มองเห็นภาพของดาวโลกก็เหมือนจะเป็นการทดสอบบางอย่าง หรืออาเป็นการประเมิน? คงมีเพียงแค่คนที่ผ่านการประเมินจึงจะเข้ามายังพื้นที่เล็กๆ นี้ได้กระมัง
อย่างไรเสียถ้าไม่ใช่คนจากดาวโลก ตอนที่มองเห็นดาวสีฟ้าดวงนั้นคงไม่มีทางตื่นเต้นเหมือนหลี่มู่แน่
หลี่มู่เหมือนความสุขมาปัญญาเกิด เข้าใจปัญหามากมายในพริบตา
จากนั้นกลับมาที่ปัญหาแรกสุด ในพื้นที่เล็กนี้มีอะไรที่ทำให้ปรัชญาเมธีชาวโลกรู้สึกว่าเป็นสมบัติล้ำค่ายิ่งได้?
หลี่มู่กวาดตามองรอบด้าน
ทั่วทั้งพื้นที่นี้กว้างโล่งมาก ไม่มีอะไรอยู่เลย มีเพียงหินยักษ์ประหลาดสูงราวสามสิบจั้งตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง มองไปแล้วดำทะมึน ดูไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์ และไม่มีคลื่นพลังงานใดๆ แม้เพียงน้อย
หินก้อนนี้คงไม่ใช่สมบัติล้ำค่าหรอกใช่ไหม?
หลี่มู่มองไม่ออกไปชั่วขณะ
เมื่อใช้เนตรสวรรค์กวาดดูครู่หนึ่ง ก็รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าเป็นสีเขียวมรกต ประหนึ่งท้องทุ่งหญ้าและผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์งอกงาม พลังชีวิตกลุ่มหนึ่งโถมเข้ามาหา
“นี่คือพลังธาตุไม้ในพลังธาตุทั้งห้า”
หลี่มู่ตกตะลึงอย่างมาก
สิ่งที่ดูเหมือนก้อนหินสีดำกลับมีพลังธาตุไม้มหาศาลซ่อนไว้ด้านใน ด้านในหินมีพลังธาตุไม้แฝงอยู่เสียได้ พูดไม่ออกเลยจริงๆ
เขาเรียกดาบวัฏจักรออกมา ฟันลงไปหนึ่งดาบ
เปลือกหินผิวนอกชั้นหนึ่งถูกฟันแตก
แสงสว่างสีเขียวปานมรกตสายหนึ่งปะทุออกมาจากรอยแยกของเปลือกหิน
แสงสีเขียวเปล่งประกาย ทำให้พื้นที่ว่างทั้งห้องไหลเวียนด้วยแสงสีเสมือนภาพฝัน
หลี่มู่ตรวจสอบอย่างละเอียดผ่านเปลือกหินเข้าไป เนื้อหินด้านในมองแล้วราวกับหยกน้ำแข็งบนโลก เหมือนดอกกรีนไอซ์แช่แข็งอย่างไรอย่างนั้น สวยสดงดงาม ไม่มีสิ่งใดเจือปนสักนิด
“เหมือนจะเป็น…หินดารา?”
หลี่มู่พลันตั้งสติกลับมา
หินยักษ์ก้อนนี้เป็นหินดาราที่มีพลังธาตุไม้บริสุทธิ์แฝงอยู่
เขาสูดลมหายใจเฮือก
หินดาราก้อนมหึมาขนาดนี้…จำได้ว่าหินดาราที่พวกองค์ชายสองและหวงเซิ่งอี้เก็บเอาไว้ก่อนนี้มีขนาดแค่กำปั้นเท่านั้น ยังไม่ถึงหนึ่งส่วนหมื่นของหินก้อนนี้เลย
ถ้าเรื่องหินดาราก้อนนี้แพร่งออกไป น่ากลัวว่าบนแผ่นดินใหญ่เสินโจวคงเกิดศึกนองเลือดแย่งชิง กระทั่งบรรดาเก้ายอดคนจะมาร่วมด้วย เพราะมันล้ำค่ายิ่งนัก
หลี่มู่คำนวณครู่หนึ่ง ใหญ่เกินไป ช่องเก็บของมิติที่ใหญ่ที่สุดของตนก็บรรจุหินดาราก้อนนี้ไม่ได้
หรือจะตัดแบ่งมันออกมาดี
ไม่เหมาะ
หินดาราก้อนนี้ควรจะเป็นสมบัติของสำนักขุนคีรี
หลี่มู่คิดๆ ดูแล้ว รู้สึกว่าตนเองไม่ควรชิงของที่ไม่ใช่ของตนมาไว้กับตัว
เขาเปิดใช้เนตรสวรรค์ ตรวจสอบพื้นที่นี้อย่างละเอียดอีกครั้ง พบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติอื่นใดอีก สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังที่สุดก็คือพื้นที่เล็กๆ นี้ไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าเป็นทางออกเลย
นี่มันตลกร้ายอะไรกันเนี่ย
หรือว่าจะต้องถูกขังอยู่ในนี้ ออกไปไม่ได้อีกแล้ว?
ปรัชญาเมธีบนดาวโลกทำอะไรไม่น่าไร้สาระเช่นนี้นา
ขณะที่กำลังขบคิด ด้านบนหินดารามีพลังงานจางๆ ขุมหนึ่งหมุนวนออกมา
หลี่มู่ตกตะลึงในใจ
เห็นแต่พลังที่หมุนวนนั้นกลายเป็นร่างผอมแห้งในชุดคลุมตัวยาวร่างหนึ่ง บนศีรษะสวมหมวกครอบมวยผมสูง สวมรองเท้าเหยียบเมฆา สองมือไพล่ไว้ด้านหลัง มีเพียงโครงร่างจางๆ เห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ยืนนิ่งอยู่บนก้อนหิน แต่กลับให้ความรู้สึกเศร้าตรม กลัดกลุ้ม ในใจเต็มไปด้วยเรื่องราว
“ข้าคือเชื้อสายแห่งเกาหยาง บิดานามว่าป๋อยง…”
เสียงที่แฝงความโศกเศร้า ความแน่วแน่ ความกระตือรือร้น ความหวัง และความสิ้นหวัง รวมทั้งประสบการณ์ที่โชกโชนและยาวนาน ขับขานขึ้นอย่างเอื่อยๆ
หลี่มู่ใจสั่นสะท้าน
นี่คือหลีเซา[1]
มีเพียงชวีหยวนเท่านั้นถึงจะขับขานบทกวีหลีเซาได้ฮึกเหิมและมีอารมณ์เปี่ยมล้นเช่นนี้ ทำให้รู้สึกปวดร้าวบีบหัวใจคนได้ถึงเพียงนี้
เป็นชวีหยวนจริงๆ!
หลี่มู่ตอนนี้ ความสงสัยทั้งหมดในใจสลายไปราวเมฆควัน
เขาตอนนี้สามารถยืนยันได้แล้ว สำนักขุนคีรีเป็นสำนักที่ชวีหยวนเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น
นักกวีรักชาติแนวจินตนิยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคจั้นกั๋วคนนี้ก้าวสู่เส้นทางเซียน ออกจากดาวโลก พเนจรมายังดาวดวงนี้จริงๆ
กวีหลีเซาบทยาว ทุกตัวอักษรทุกประโยค เมื่อขับขานออกมามีความรู้สึกรุนแรง ซาบซึ้งจับใจคน
“คารวะท่านชวีหยวน”
หลี่มู่คุกเข่าลงคารวะอย่างจริงใจและนอบน้อม
นี่แทบจะเหมือนการตอบสนองตามสัญชาตญาณ เป็นความพ้องต้องกันของความรู้สึก เป็นความสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับสายเลือด เป็นการยอมรับของสิ่งมีชีวิตเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิด และไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาอย่างฝืนใจ
ร่างบนก้อนหินขับขานกวีหลีเซาทีละอักษรทีละประโยคจนจบ
จากนั้นเขาค่อยๆ ก้มหน้าลง ราวกับจับจ้องมาที่หลี่มู่ และเหมือนพูดกับตนเองว่า “บ้านเมืองสุขสบายดีหรือไม่?”
หลี่มู่รู้สึกว่าความรู้สึกในใจปะทุเร่าร้อนขึ้นดุจเปลวไฟ ควบคุมตัวเองไม่ได้โดยสินเชิง กระทั่งน้ำเสียงขณะตอบสะอื้นไห้อยู่เล็กน้อย “ขุนเขาแม่น้ำยังคงอยู่ บ้านเมืองสงบ ชาวประชาร่มเย็น”
……………………………………….
[1] กวีหลีเซา เป็นบทกลอนอมตะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและยาวที่สุดของชวีหยวน ชวีหยวนประพันธ์ขึ้นระหว่างที่ถูกเนรเทศ เนื้อหาโดยรวมพูดถึงความทุกข์ที่ต้องถูกเนรเทศ ความรักชาติ ความทุกข์ยากของชาวประชาที่มีกษัตริย์โง่เขลา และความแค้นต่อพวกขุนนางกังฉิน