จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 379 หลงเอ๋อร์กับท่านอา
“เจ้าเก็บเด็กกำพร้ามาจากข้างทาง?” หลี่มู่มองแม่นางน้อยที่ไป๋ม่อโฉวพาเข้ามาพลางถามอย่างประหลาดใจ
ไป๋ม่อโฉวถามกลับ “เก็บได้น่ะสิ ทำไม? ไม่ได้รึไง”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้” หลี่มู่ลูบๆ คาง “เพียงแต่ว่าเด็กคนนี้ ไอปีศาจในร่างทำไมถึงได้รุนแรงขนาดนี้?” ใช่รุนแรงเสียที่ไหน นี่เรียกว่าไอปีศาจทะลุฟ้าแล้วชัดๆ
ไป๋ม่อโฉวกล่าว “เผ่าปีศาจมีเด็กกำพร้าไม่ได้รึไง? หรือว่าเจ้าดูถูกเผ่าปีศาจ”
หลี่มู่อึ้งไป
เป็นเผ่าปีศาจจริงๆ เสียด้วย
เด็กสาวดูแล้วอายุสิบห้าสิบหก หน้าตางดงามเป็นอย่างมาก ใช้คำว่างามเป็นหนึ่งก็ไม่เกินไป ผมยาวสีเขียวสดทั้งหายากและงามยิ่ง เครื่องหน้าประณีตแฝงด้วยเสน่ห์เย้ายวนอย่างหนึ่ง เป็นความเย้ายวนที่ในความบริสุทธิ์มีความเพริศพริ้ง กลมกลืนเป็นธรรมชาติ ทำให้เมื่อมองไปอดเกิดความรู้สึกชั่ววูบว่าอยากกอดไว้แนบอกแล้วทะนุถนอมเอาอกเอาใจไม่ได้
สวยขนาดนี้ เป็นปีศาจจิ้งจอกใช่ไหมนี่?
หลี่มู่คิดเช่นนี้ในใจ
แต่คิดอีกมุมหนึ่ง เช่นนี้ไม่ถูกนี่ จิ้งจอกขาวน้อยต๋าจี่ปีศาจจิ้งจอกที่แท้จริงก็ไม่มีลักษณะยั่วยวนแบบนี้ หรือจะเป็นเพราะต๋าจี่อายุยังน้อยเกินไปจึงยังไม่เผยออกมา?
หลี่มู่คิดๆ แล้วก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ไม่ว่าจะเก็บมาหรือไม่ ให้นางใส่เสื้อผ้าก่อนไม่ได้หรือไง?”
เรือนร่างของปีศาจน้อยนี่พราวเสน่ห์ ส่วนโค้งเว้าชัดเจน ผิวขาวเนียนปานหยก แต่ปัญหาคือทั้งตัวนางไม่มีเสื้อผ้าเลยสักชิ้น ผมยาวสีเขียวดกหนาราวน้ำตกทิ้งตัวลงมาปิดดอกไม้ตูมข้างหน้าหน้าอกเอาไว้ ทั้งยังปกปิดบริเวณหว่างขาทั้งสองด้วย ผมยาวสีเขียวสดทอประกายระยับบางๆ ชวนให้คนตาพร่า
ไป๋ม่อโฉวหัวเราะเสียงเย็น จ้องหลี่มู่พลางบอก “หึๆ ทำไมรึ? ผู้ชายปากไม่ตรงกับใจอย่างพวกเจ้าต่างชอบมองสตรีตัวเปล่าเปลือยไม่ใช่หรือไง”
หลี่มู่อับจนวาจา
เจ้าโดนผู้ชายทิ้งมาเป็นหมื่นครั้งหรืออย่างไร ทำไมให้ความรู้สึกว่ามีประสบการณ์โชกโชนนัก
หลี่มู่ให้สวีหว่านเอ๋อร์นำเสื้อผ้ามาชุดหนึ่งอย่างอับจนคำพูด ให้เด็กสาวใส่เสียก่อนจึงจะถามขึ้น “บอกพี่ชายมาซิ เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้าชื่อหลงเอ๋อร์” เด็กสาวขี้เล่นมาก ตอบมาเสียงใส ก่อนเอ่ยอีกว่า “ขอบคุณท่านอา”
ท่านอา?
หลี่มู่รู้สึกว่าใจตนได้รับการโจมตีกระทบกระเทือนแสนสาหัส
เจ้าเคยเห็นท่านอาอายุสิบห้าหรือไง?
เราสองคนก็เหมือนอายุจะพอๆ กันไม่ใช่หรือ
เขาหันกลับมามองไป๋ม่อโฉว ถามยืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง “เก็บมาจากข้างทางจริงๆ รึ?” คงไม่ได้ลักพาตัวมาหรอกนะ?
ไป๋ม๋อโฉวหัวเราะเสียงเย็นอย่างเป็นเอกลักษณ์ “ข้าจำเป็นต้องโกหกเจ้าหรือไง?”
นั่นก็จริง
แต่ถูกผีสาวนี่ยอกย้อนอยู่เรื่อย หลี่มู่ก็รู้สึกไม่ชอบใจเหมือนกัน “ทำไมเจ้าถึงครอบครองร่างของถิงเอ๋อร์ตลอดเลย? ให้ถิงเอ๋อร์ออกมาคุยกับข้า ยึดครองร่างคนอื่นเขาเจ้าไม่อายหรือไง?”
ไป๋ม่อโฉวหัวเราะหยัน “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร หากถิงเอ๋อร์ครอบครองร่างนี้ เช่นนั้นทั้งร่างกายของพวกเราจะมิถูกเจ้าแต๊ะอั๋งไปทุกกระเบียดนิ้วเลยรึ? ถิงเอ๋อร์เด็กโง่คนนี้ในใจมีแต่เจ้า หากนางควบคุมร่างนี้จะต้องต้านทานคำหวานของเจ้าไม่ได้แน่ ดังนั้นข้าจึงครอบครองร่างนี้ไว้ หนึ่งเพื่อป้องกันถิงเอ๋อร์แม่เด็กโง่นี่ไม่ให้ถูกเจ้ารังแก สองวิชาลับวิญญาณที่ถิงเอ๋อร์ฝึกฝนจะต้องสงบจิตใจนานนัก…สองเหตุผลนี้พอหรือไม่?”
หลี่มู่โมโหจนขำแล้ว
ปกป้องบ้าบออะไรกัน
ยังมีหน้ามาพูดว่าร่างของพวกเราอีก นั่นมันร่างเจ้าหรือไร? เจ้าบ้านี่เป็นมือที่สามไม่ละอายบ้างหรือ
แต่พูดจาด้วยเหตุผลกับแม่ผีสาวตนนี้จะมีประโยชน์อะไร?
“เจ้าเก็บปีศาจน้อยขั้นแปลงกายตนหนึ่งจากข้างทางมาได้ตามใจชอบเลยหรือ? เจ้าเก็บอีกตนมาให้ข้าดูหน่อยเป็นไง” หลี่มู่เปลี่ยนหัวข้อ
ไป๋ม่อโฉวแค่นหัวเราะ “ไม่เชื่อก็แล้วแต่”
หลี่มู่จึงก้มหน้ามองสาวน้อย ถามว่า “หลงเอ๋อร์ ป้าคนนี้เก็บเจ้ามาจริงหรือ?”
ป้า?
ไป๋ม่อโฉวหน้าดำคล้ำไปในทันที
“ใช่แล้ว ท่านอา พี่สาวคนสวยผู้นี้เป็นคนเก็บข้ามาจริงๆ” ปีศาจน้อยหลงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นพูด “ข้ามึนๆ งงๆ ไม่รู้ยังไงก็มาถึงที่นี่แล้ว”
ใบหน้าเรียวเล็กที่เย้ายวนงดงามแฝงความบริสุทธิ์ซึ่งทำให้คนเชื่ออย่างเป็นธรรมชาติไว้ แต่เนื้อหาคำตอบนี่…’ ‘ทำไมถึงเรียกข้าว่าอา แต่เรียกไป๋ม่อโฉวว่าพี่สาวคนสวยเล่า แม่ปีศาจน้อยนี่คงไม่ใช่ว่าจงใจหรอกกระมัง?’
“หน้าผากเจ้าไปโดนอะไรมา?” หลี่มู่เห็นรอยช้ำขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือเล็กๆ บนหน้าผากของปีศาจน้อยหลงเอ๋อร์ เหมือนว่าจะบวมขึ้นมา หากไม่มองให้ละเอียดก็มองไม่ออกจริงๆ
“ฮือๆๆ ถูกคนไม่ดีตีเอา คนไม่ดีนั่นใจร้ายมาก เกือบจะฆ่าหลงเอ๋อร์แล้วด้วยซ้ำ หลงเอ๋อร์สู้สุดชีวิตหนีออกมาซ่อนตัว รักษาบาดแผลให้หายแล้ว ถึงหนีจากการไล่ฆ่าของคนไม่ดีคนนั้นมาได้ จากนั้นก็มาถึงที่นี่อย่างงงๆ ท่านอา ท่านปกป้องข้าได้ไหม?” ปีศาจน้อยหลงเอ๋อร์พูดพลางดึงแขนเสื้อหลี่มู่ไปมาอย่างน่าสงสาร
หลี่มู่เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมาทันใด
“ใครกันที่ชั่วช้าถึงขนาดนี้ กล้ามารังแกหลงเอ๋อร์เสียได้ เจ้าวางใจเถอะ หากมันกล้ามาเมืองขาวพิสุทธิ์ อา…ไม่สิ พี่ชายคนนี้จะให้มันชดใช้คืนแน่” หลี่มู่ตบอกปุๆ รับประกัน
“หากมันมายืนต่อหน้าท่าน ท่านอาช่วยข้าฆ่ามันได้หรือไม่?” ปีศาจน้อยหลงเอ๋อร์คว้าแขนหลี่มู่เขย่าไปมาอย่างออดอ้อน ท่าทางน่าสงสาร น้อยอกน้อยใจ
หลี่มู่รู้สึกว่านิ้วของเด็กสาวเย็นเฉียบ ประหนึ่งน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น เอ่ยตอบไปว่า “เจ้าวางใจได้ หากมันกล้ามาข้าจะสั่งสอนมันแน่นอน” ทำไมมือถึงเย็นขนาดนี้
“ต้องช่วยข้าฆ่ามันต่างหาก ท่านอา” ปีศาจน้อยหลงเอ๋อร์แก้คำ
หลี่มู่เกือบจะหลุดปากตอบว่า ‘ดี’ ไปอยู่แล้วเชียว แต่ไม่รู้ทำไมถึงตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัว “ฆ่าฟันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา หลักการของพวกเราคือเรียนรู้ข้อผิดพลาดในอดีต รักษาโรคช่วยเหลือคน”
“ท่านอา ท่านใจแคบเสียจริง” ปีศาจน้อยหลงเอ๋อร์ปล่อยแขนหลี่มู่ กระโดดโลดเต้นมายังข้างกายไป๋ม่อโฉว ซบหัวกับแขนของนาง “เช่นนั้นข้าคงต้องขอร้องให้พี่สาวคนสวยช่วยข้าจัดการเจ้าคนชั่วที่รังแกกันแล้ว”
ไป๋ม่อโฉวยื่นมือลูบผมยาวสีเขียวสดของหลงเอ๋อร์ ตาหรี่เป็นจันทร์เสี้ยว ท่าทางสุขสำราญ “ฮ่าๆ หลงเอ๋อร์วางใจเถอะ นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็อยู่ที่เรือนดาบแห่งนี้นี่แหละ ข้าขอประกาศ เจ้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของที่นี่แล้ว”
หลงเอ๋อร์ร้องยินดี
จากนั้นสตรีทั้งสองก็จูงมือกระโดดโลดเต้นเข้าไปในเขตเรือนด้านหลังเรือนดาบ
หลี่มู่อึ้งงัน
เดี๋ยวก่อน เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า เหมือนว่าข้าจะเป็นเจ้าของที่นี่นะ? ดังนั้นแล้วเจ้ามาประกาศทำซากอะไร
หลี่มู่ลูบคาง เขามองออกแล้วว่าที่มาที่ไปของหลงเอ๋อร์แปลกประหลาดจริงๆ
เผ่าปีศาจที่มาถึงขั้นแปลงกาย ไม่แคล้วเป็นไปได้สองอย่าง
หนึ่งคือพรสวรรค์ธรรมดาแต่ผ่านการสั่งสมฝึกบำเพ็ญมาไม่รู้ต่อกี่ปี จนวันหนึ่งบรรลุเบิกปัญญา หลอมรวมพลังเวทได้ สุดท้ายหลุดพ้นจากข้อจำกัดของชาติกำเนิดเดิมและได้ร่างมนุษย์มา อีกหนึ่งคือเกิดมาก็มีสายเลือดปีศาจแข็งแกร่ง หลังจากฝึกฝนเกิดสติปัญญาได้ง่ายนัก และก้าวสู่ขั้นแปลงกายผ่านการกระตุ้นพลังสายเลือด…เทียบกันแล้วอย่างหลังได้รับความเมตตาจากสวรรค์มากกว่าอย่างชัดเจน
หลี่มู่รู้สึกว่าปีศาจน้อยหลงเอ๋อร์คือแบบหลังแน่นอน เป็นผู้โชคดีที่มีสายเลือดปีศาจแข็งแกร่ง ดังนั้นถึงฝึกฝนร่างมนุษย์มาได้ทั้งที่อายุยังน้อย พลังฝึกที่แท้จริงน่าจะประมาณฟ้าประทานสมบูรณ์เท่านั้น หากแบ่งตามระดับพลังของเผ่าปีศาจน่าจะอยู่ประมาณขั้นราชาปีศาจที่ยังไม่สมบูรณ์ดี
เจ้าตัวน้อยนี่เป็นสายเลือดปีศาจอะไรกันแน่?
เมื่อครู่หลี่มู่ไม่ได้เปิดเนตรสวรรค์ลองวิเคราะห์ดู
เพราะลางสังหรณ์บอกเขาว่า ปีศาจน้อยตนนี้ไม่ได้เป็นปีศาจชั่วร้ายอะไร กลิ่นอายในกายก็บริสุทธิ์ยิ่งนัก เป็นเผ่าปีศาจแท้ดั้งเดิม ไม่มีกลิ่นอายวิชามาร ทั้งยังมีลักษณะผุดผ่องอยู่ส่วนหนึ่ง ปีศาจแบบนี้มักเป็นปีศาจดี เรื่องนี้ซินแสเฒ่ากรอกหูหลี่มู่มาไม่รู้กี่รอบนานแล้วตั้งตอนที่ยังอยู่บนโลก
ซินแสเฒ่าเกิดมาก็รู้สึกดีกับเผ่าปีศาจ มองในแง่ดี เอ่ยในทางที่ดีหลายครั้ง จึงทำให้หลี่มู่ไม่ต่อต้านปีศาจเลยสักนิดไปด้วย
อีกทั้งต่อให้หลงเอ๋อร์คิดไม่ซื่อ อยู่ในเรือนดาบนางก็สร้างเรื่องวุ่นวายอะไรไม่ได้
เรือนดาบ เมืองขาวพิสุทธิ์ เทือกเขาขาวพิสุทธิ์ในตอนนี้ รวมถึงทุกสิ่งในรัศมีหลายพันลี้ ก็เหมือนอยู่ภายใต้สายตาของเขา เกิดเรื่องอะไรขึ้นเขาจะสามารถรู้อย่างชัดเจนทันที โดยเฉพาะในเรือนดาบ เพียงแค่เสี้ยวความคิดเขาก็สามารถพันธนาการฟ้าดิน ควบคุมทุกสิ่งได้แล้ว
นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่หลี่มู่ปล่อยให้ไป๋ม่อโฉวที่ยึดครองร่างของซ่างกวนอวี่ถิงอยู่ในเมืองขาวพิสุทธิ์ไปอย่างสบายใจ
ทว่า หลังจากปีศาจน้อยนามหลงเอ๋อร์ตนนี้จากไป หลี่มู่ถึงได้ค่อยๆ รู้สึกว่ามีอะไรไม่ปกติ
จากนั้นเขาพลันตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตนถูกมนตร์สะกดเข้าแล้ว ตอนที่พูดคุยกับปีศาจน้อยหลงเอ๋อร์โดนปฏิกิริยาและคำพูดของนางชักนำ เห็นได้ชัดว่าเขาในสภาพปกติไม่มีทางตอบสนองแบบนั้นได้
“จิ๊ๆ ไม่นึกว่าจะโดนสีหน้าท่าทางของสาวน้อยชักนำโดยไม่รู้ตัวเลย…”
หลี่มู่ลูบคางพลางทอดถอนใจ ขนาดตัวเองยังโดนมนตร์สะกด ดูท่าทางสายเลือดของปีศาจน้อยตนนี้จะต้องน่าตกใจเป็นอย่างมากแน่
แต่ว่า นี่ก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขายังวางแผน ‘พันธมิตรจัดตั้งโรงเรียน’ กับสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ หาทางเพิ่มพลังให้กับเมืองขาวพิสุทธิ์ บ่มเพาะบุคลากร สุดท้ายก็ได้ปีศาจน้อยที่มีพลังสายเลือดน่าตกใจมาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในเมืองขาวพิสุทธิ์ซึ่งห่างไกลกันดารอย่างรวดเร็วปานนี้ ค่อยๆ อบรมขัดเกลาไปได้ หลังจากที่นางเติบใหญ่ ต่อให้ไม่ได้มาเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชา แต่ก็ถือว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
อย่างไรเสียความเข้มข้นของพลังฟ้าดินในเมืองขาวพิสุทธิ์ตอนนี้ก็ใช้ได้ไม่มีหมด
คนมากกิจการใหญ่ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สำเร็จ
ผู้ที่ทำให้หลี่มู่ค่อนข้างปวดหัวคือผีสาวไป๋ม่อโฉว
แม่นี่ยึดร่างของซ่างกวนอวี่ถิงอยู่ตลอด เมื่อไหร่จะเลิกครอบครองร่างนางสักที
และคำพูดของนางเมื่อครู่ก็หลุดบอกมาว่าซ่างกวนอวี่ถิงกำลังฝึกฝนวิชาอะไรบางอย่าง เข้าสู่สภาวะปิดกั้นจิตใจไปแล้ว หลี่มู่เดาว่าสิ่งที่ไป๋ม่อโฉวพูดมาน่าจะเป็นความจริง ซ่างกวนอวี่ถิงคงได้รับโอกาสที่ขัดลิขิตฟ้าอย่างยิ่งมาจากตำหนักจันทราในฟ้านิจนิรันดร์ หากปิดด่านกักตนสำเร็จจริง หลี่มู่ย่อมยินดีเป็นล้นพ้น
แต่ปัญหาคือ หลี่มู่รู้สึกเลาๆ ว่าไป๋ม่อโฉวเหมือนจะมีปัญหาหน่อยๆ
ผีสาวตนนี้เหมือนจะเป็นเลสเบี้ยน
ในฐานะคนจากดาวโลกที่เปิดกว้าง แน่นอนว่าเขาไม่ได้ดูถูกหญิงรักหญิง
ปัญหาก็คือนางครอบครองร่างของซ่างกวนอวี่ถิง ไม่ใช่ว่าทุกวันก็ทำนู่นนี่นั่นได้หรอกหรือ อีกทั้งสาวงามคนอื่นๆ อย่างสวีหว่านเอ๋อร์ ลู่เซิ่งหนานที่อยู่ในเรือนดาบ ก็ถูกไป๋ม่อโฉวฉวยโอกาสตอนถ่ายทอดวิชาหรือชี้แนะการฝึกแตะเนื้อต้องตัวไปไม่น้อย ถึงแม้ว่าระดับการชี้แนะและถ่ายทอดวิชาของนางจะลึกล้ำกว่าซ่างกวนอวี่ถิงหลายร้อยเท่า แต่ว่า…มารดามัน นี่มันเรื่องอะไรกัน
………………………………………….……